ประวัติศาสตร์โรม กินระยะเวลากว่า 2,700 ปีของการมีนครซึ่งเติบโตขึ้นจากหมู่บ้านละตินเล็ก ๆ ในศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตกาล มาเป็นศูนย์กลางอารยธรรมไพศาลอันครอบงำภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนหลายศตวรรษ ประชากรของนครลดลงในช่วงปลายจักรวรรดิโรมันหลังโรมมิได้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิอีกต่อไป และยังน้อยกว่าที่เคยในอดีตกระทั่งโรมเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีที่กลับมารวมชาติอีกครั้งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งรับประกันความอยู่รอดของวัตถุโรมันโบราณที่สำคัญยิ่งที่ยังเหลืออยู่ใจกลางนคร บ้างถูกทิ้งและบ้างยังใช้มาถึงปัจจุบัน หลายศตวรรษระหว่างนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้ปกครองนครและโรมกลายมาเป็นเมืองหลวงของรัฐสันตะปาปา ซึ่งเติบโตรวมบริเวณกวางของอิตาลีตอนกลาง แม้จะไม่ค่อยเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ แต่โรมยังเป็นศูนย์กลางของการจาริกแสวงบุญและการท่องเที่ยวด้วย
กรุงโรมเป็นเมืองเล็ก ๆ ในอิตาลีที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ท้องถิ่น 7 พระองค์ระหว่างปี 753-509 B.C.E. เริ่มด้วย โรมุลุสและเรมุสซึ่งในตำนานถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม สองในกษัตริย์สามพระองค์สุดท้ายคือ ทาร์ควินิอุส พริสคุส และ ทาร์ควินิอุส ซุแปร์บุส ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่สืบเชื้อสายมาจากชาวเอทรุสกัน (ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของกรีก ได้เขียนว่าพริสคุสเป็นลูกชายของผู้ลี้ภัยชาวกรีกและแม่ชาวเอทรุสกัน) ชื่อของทั้งสองมาจากชื่อเมืองทาร์ควิเนียของชาวเอทรุสกัน
ประชาชนที่อาศัยในกรุงโรมนั้นได้แก่ชาว ซาบีน และละติน ซึ่งได้รับอิทธิพลทางสังคมและวัฒนธรรมจากเพื่อนบ้านทางเหนือคือชาวเอทรุสกัน เชื้อชาติอื่นๆ เช่นๆ ชาวซิคุลีและซาร์ด
สาธารณรัฐโรมันถูกก่อตั้งขึ้นในปี 509 B.C.E. หลังจากที่กษัตริย์ทาร์ควินที่สอง หรือ ลูชิอุส ทาร์ควินิอุส ซุแปร์บุส ถูกขับไล่ออกจากกรุงโรมโดยจูนิอุส บรูตุส ผู้นำของกลุ่มผู้มีฐานะในสมัยนั้น
สาธารณรัฐโรมันก็ได้กำเนิดขึ้นโดยถือเป็นสาธารณรัฐแห่งแรกของโลก ชาวโรมันได้ก่อตั้งรัฐบาลโดยนำแบบอย่างมาจากกรีกโบราณ
แม้ว่าอาณาจักรโรมันจะกลายเป็นสาธารณรัฐที่ไม่ถูกปกครองโดยกษัตริย์แต่สาธารณรัฐโรมันก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจของทหารและกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมือง (คือผู้มีฐานะ) เกิดความไม่พอใจของประชาชนทั่วไป ความขัดแย้งของชนทั้งสองชั้นทำให้เกิดประมวลกฎหมายแรกของสาธารณรัฐโรมันคือ กฎหมาย 12 โต๊ะ ซึ่งเป็นหลักฐานอันเป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกที่จารึกเกี่ยวกับการปกครอง
ด้วยการพยายามปกป้องอาณาเขตของตนเองจากเพื่อนบ้านและศัตรูผู้รุกราน ชาวโรมันได้ขยายอาณาเขตของสาธารณรัฐโรมันไปจนครอบครองดินแดนทางตอนเหนือ (ชาวเอทรุสกัน) ของประเทศอิตาลี จรดใต้ คือเกาะซิซิลีซึ่งเคยอยู่ใต้การปกครองของชาวกรีก สรุปได้ว่าสาธารณรัฐโรมันในปี 270 B.C.E. กินพื้นที่เกือบทุกส่วนของประเทศอิตาลี ต่อมาไม่นานโรมก็ขัดแย้งกับชาวคาร์เธจ (ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา) ในเรื่องการทำการค้าในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมาได้เกิดสงครามพิวนิคขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 60 ปี ในระยะเวลา 60 ปีนั้น ชาวโรมันได้ปะทะกับฮันนิบาลแม่ทัพที่พยายามบุกไปยึดประเทศอิตาลีโดยผ่านทางเทือกเขาแอลป์แต่ต่อมาเขาก็ต้องยกทัพกลับไปที่แอฟริกาเมื่อในขณะเดียวกันชิพิโอแม่ทัพโรมยกทัพไปตีคาร์เธจ จนในที่สุดชิพิโอก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะเหนือชาวคาร์เธจ
100 B.C.E. ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นผู้ดีและประชาชนธรรมดาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กองทัพที่ใครๆต่างเข้าร่วมได้ให้รางวัลพลทหารทุกคนด้วยการให้ที่ดินทำกินและยศถาบรรดาศักดิ์ ทำให้เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด จูเลียส ซีซาร์ ในภาษาอังกฤษหรือ ยูลิอุส กาเอซาร์ ในภาษาละติน คือขุนพลที่สำคัญของโรมันที่ได้ทำศึกในกอล (ฝรั่งเศสในปัจจุบัน) และในบริเวณเกาะอังกฤษจนได้รับชัยชนะ ภายใต้การนำของจูเลียส ซีซาร์ พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส สเปน อังกฤษ กรีซ อียิปต์ ซีเรีย และเอเชียไมเนอร์ในปัจจุบันตกเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐโรมันทั้งสิ้น เป็นเหตุให้สภาเซเนตแห่งโรมหวั่นเกรงอำนาจของซีซาร์เป็นอย่างมาก สภาเซเนตจึงคบคิดกับปอมเปย์ ออกบัญชาให้ซีซาร์ยกทัพกลับ แต่ซีซาร์ก็ไม่กลับและยังเดินทัพไปทำสงครามกับปอมเปย์จนได้รับชัยชนะ และได้ตั้งตนเป็นผู้เผด็จการในปี 44 B.C.E. สองปีต่อมาซีซาร์ได้ถูกรุมสังหารในสภาซีเนตโดยมีบรูตุส คนสนิทเป็นหนึ่งผู้รุมสังหารเขา เมื่อซีซาร์เห็นว่าบรูตุสเป็นหนึ่งในนั้น เขาก็ได้พูดว่า "นี่เจ้าด้วยหรือ บรูตุส"