ประวัติศาสตร์เดนมาร์ก (History of Denmark) ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรเดนมาร์กมีจุดเริ่มต้นเมื่อย้อนกลับไป 12,000 ปีก่อน ในช่วงการสิ้นสุดยุคน้ำแข็งช่วงสุดท้าย ด้วยจากหลักฐานการตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ เรื่องราวของชาวเดนส์ได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในเอกสารครั้งแรกในช่วงปีค.ศ. 500 (พ.ศ. 1043) ซึ่งเอกสารเหล่านี้รวมทั้งงานเขียนของจอร์ดาเนสกับโปรโคไพอัส ด้วยการนับถือศาสนาคริสต์ของชาวเดนส์ราวค.ศ. 960 (พ.ศ. 1503) เป็นที่ชัดเจนว่ามีการสถาปนาระบอบกษัตริย์ในสแกนดิเนเวียที่ซึ่งปกครองในดินแดนที่เป็นประเทศเดนมาร์กในปัจจุบัน สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก พระประมุของค์ปัจจุบันของเดนมาร์กทรงสืบราชสันตติวงศ์จากกษัตริย์ชาวไวกิงซึ่งก็คือ พระเจ้ากอร์ม เดอะ โอลด์และพระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธ พระมหากษัตริย์พระองค์แรกๆของเดนมาร์ก ถือว่าราชาธิปไตยแห่งเดนมาร์กนั้นมีอายุเก่าแก่และยาวนานที่สุดในยุโรป
ประวัติศาสตร์เดนมาร์กได้รับอิทธิพลโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเหนือกับทะเลบอลติก ซึ่งหมายความว่าประเทศได้ตั้งอยู่ระหว่างสวีเดนกับเยอรมนี และเพราะฉะนั้นประเทศจึงอยู่ศูนย์กลางอิทธิพลเหนือทะเลบอลติกหรือที่เรียกว่า "Dominium maris baltici" (จักรวรรดิทะเลบอลติก) เดนมาร์กมีข้อพิพาทกับสวีเดนมาเป็นระยะเวลานานในเรื่องการเข้าควบคุมเหนือสเคนลันด์ (ดินแดนทางตอนใต้ของสวีเดน)ในสงครามสเคนเนียน (Scanian War) และกรณีพิพาทในการครอบครองนอร์เวย์ และมีข้อพิพาทกับสันนิบาตฮันเซียติกในการครอบครองดัชชีชเลสวิกและโฮลชไตน์
ในที่สุดเดนมาร์กได้สูญเสียดินแดนพิพาทเหล่านี้ทั้งหมดและยุติบทบาทการอ้างสิทธิหลังจากสวีเดนผนวกสเคนลันด์และรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ไปเข้าร่วมกับจักรวรรดิเยอรมัน หลังจากการให้เอกราชในท้ายสุดแก่นอร์เวย์ในปีพ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) เดนมาร์กได้เข้าครอบครองอาณานิคมของนอร์เวย์ตั้งแต่โบราณซึ่งได้แก่ หมู่เกาะแฟโร, กรีนแลนด์ และไอซ์แลนด์ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไอซ์แลนด์ได้รับเอกราช กรีนแลนด์และแฟโรกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก และรัฐชเลสวิกเหนือได้รวมเข้ากับเดนมาร์กอีกครั้งจากผลการลงประชามติค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เดนมาร์กถูกยึดครองโดยนาซีเยอรมนีและได้รับการปลดปล่อยในปีค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) หลังจากนั้นเดนมาร์กได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
การเปลี่ยนสภาพของธารน้ำแข็งวิชเซลในยุคน้ำแข็งช่วงสุดท้าย (Weichsel glaciation) ได้ปกคลุมทั่วทั้งเดนมาร์ก ยกเว้นชายฝั่งทางตะวันตกของคาบสมุทรจัตแลนด์ ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อ 13,000 ปีก่อนส่งผลให้มนุษย์ได้อพยพกลับมายังดินแดนที่เคยถูกน้ำแข็งปกคลุมและตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร ในช่วงระหว่างระยะเวลาหนึ่งพันปีแรกหลังยุคน้ำแข็งสภาพภูมิประเทศได้เปลี่ยนจากทุนดราเป็นป่า และสัตว์หลากหลายรวมถึงสัตว์ขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในปัจจุบันได้ปรากฏในช่วงนี้ วัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบในช่วงยุคสมัยใหม่ของเดนมาร์กรวมทั้ง วัฒนธรรมมาเกิลโมเซียน (Maglemosian culture; 9,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช), วัฒนธรรมคองก์โมส (Kongemose culture; 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 5,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช), วัฒนธรรมเออร์เทโบล (Erteb?lle culture; 5,300 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 3,950 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และ วัฒนธรรมฟุนเนลเบรเกอร์ (Funnelbeaker culture; 4,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 2,800 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
การตั้งถิ่นฐานในระยะเริ่มต้นของช่วงหลังยุคน้ำแข็งได้เรียกว่า ยุคบอเรียล (Boreal) ซึ่เป็นยุคที่จำนวนประชากรมีเพียงเล็กน้อยและตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายกันไปดำรงชีพด้วยการล่ากวางเรนเดียร์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ และทำการเก็บผลไม้ในป่าตามฤดูกาล ในรอบ 8,300 ปีก่อนคริสต์ศักราช อุณหภูมิได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้ฤดูร้อนมีอุณหภูมิประมาณ 15 องศา และภูมิประเทศได้เปลี่ยนไปเป็นป่าทึบ เป็นป่าอัสเพน, เบิร์ชและไพน์ และกวางเรนเดียร์ได้อพยพไปทางเหนือ ในขณะที่ควายอูรูสและกวางมูสได้อพยพมาถึงทางใต้ของเดนมาร์ก ด้วยอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นโอ๊ค, เอลม์และเฮเซิลกำเนิดขึ้นในเดนมาร์กในช่วงรอบ 7,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในตอนนี้สัตว์พวกหมูป่า, กวางแดง และโรอีได้เริ่มมีมากมายในเดนมาร์ก
จากการฝังศพจากบ้อคบัคเคนในวีทเบ็คในช่วง 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และมีศพของมนุษย์ 22 ร่าง รวมทั้งศพทารก 4 ร่างและเด็กเล็ก 1 ร่าง แปดในยี่สิบตายก่อนที่จะมีอายุครบ 20 ปี แสดงให้เห็นถึงการดำรงชีวิตที่แข็งแกร่งของพวกนักล่าในเขตหนาวเย็นทางเหนือ จากการประเมินของนักวิชาการด้านการแก่งแย่งแข่งขันของสัตว์ได้ประเมินว่ามีมนุษย์ในดินแดนเดนมาร์กประมาณ 3,300 - 8,000 คนในช่วงเวลารอบ 7,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีการเชื่อว่าก่อนที่พวกนักล่าจะดำรงชีวิตแบบเร่ร่อน การกระทำที่กล้าหาญในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างในเวลาที่แตกต่างกันในรอบปี ได้เปลี่ยนสภาพวิถีชีวิตเป็นแบบกึ่งตั้งถิ่นฐาน
ด้วยการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเล ได้เรียกว่า ยุคแอตแลนติกในเดนมาร์ก ที่ซึ่งทวีปยังคงเชื่อมติดกันในช่วง 11,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดย 4,500 ปีก่อนคริสต์ศักราชได้เปลี่ยนสภาพเป็นเกาะแก่ง มนุษย์ได้เปลี่ยนมากินอาหารทะเล ซึ่งส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของประชากรเพิ่มขึ้น
เกษตรกรรมได้มีการบุกเบิกใน 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ยุคสำริดนอร์ดิกในเดนมาร์กได้มีวัฒนธรรมการฝังศพด้วยความดีภายใต้เนินสุสานเก่าแก่ เนินหินและหินสุสานมากมายได้มีขึ้นในช่วงนี้ สามารถค้นพบเครื่องสำริดจากยุคนี้มากมายรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ทางศาสนาที่สวยงามและเครื่องดนตรี และมีการค้นพบหลักฐานของชนชั้นทางสังคมและการแบ่งชนชั้นทางสังคม
ในช่วงยุคก่อนยุคเหล็กโรมัน สภาพภูมิอากาศในเดนมาร์กและสแกนดิเนเวียตอนใต้ได้เย็นและชื้นขึ้น ทำให้การเกษตรกรรมถูกจำกัดและลดอัตราการอพยพของชาวพื้นเมืองทางตอนใต้ของยุโรปเข้ามาสู่เยอร์มานิค ในยุคนี้มนุษย์สามารถแยกเหล็กออกจากแร่ในพรุ หลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับวัฒนธรรมเซลติกได้เข้ามามีอิทธิพลในช่วงยุคนี้ของเดนมาร์กและยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ และวัฒนธรรมเหล่านี้ยังคงอยู่จากชื่อสถานที่เก่าแก่
จักรวรรดิโรมันได้หยุดการขยายอาณาเขตที่พรมแดนเดนมาร์ก อย่างไรก็ตามยังคงรักษาเส้นทางการค้าและความสัมพันธ์กับชาวเดนมาร์กหรือชาวเดนมาร์กดั้งเดิม ซึ่งเห็นได้ชัดจากหลักฐานการค้นพบเหรียญกษาปณ์ของโรมัน ได้เป็นที่รู้จักแรกๆจากการจารึกอักษรรูนที่ย้อนกลับไปราวพ.ศ. 743 (ค.ศ. 200) อักษรรูนถือเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มชนชาติที่ใช้ภาษากลุ่มเยอรมัน มีการนำชื่อเทพเจ้าต่างๆ มารวมเข้ากับชื่ออักษร ต่อมาได้แพร่หลายเข้าไปในสแกนดิเนเวีย มีการสลักอักษรรูนไว้ในเหรียญกษาปต์ โลงศพ หรือใช้ประดับตกแต่งสถานที่ การเรียนรู้ภาษาได้มาจากทางตอนใต้ การสูญสิ้นของที่ดินเพาะปลูกในช่วงศตวรรษสุดท้ายก่อนคริสต์ศักราชได้เพิ่มอัตราการอพยพสู่ยุโรปเหนือและเพิ่มความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าทิวทอนิคและชาวโรมันที่ตั้งถิ่นฐานในกอล ซึ่งก็คือดินแดนทางยุโรปตะวันตก ซึ่งปัจจุบันเทียบได้ประมาณบริเวณประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม และอาจรวมไปถึงหุบเขาโพ ในสวิตเซอร์แลนด์ตะวันตก บางส่วนของเนเธอร์แลนด์และเยอรมนีทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์ สิ่งประดิษฐ์ของโรมันในช่วงคริสตวรรษที่ 1 สามารถค้นพบได้มากมาย ได้แสดงให้เห็นถึงว่าบางส่วนของนักรบชนชั้นสูงได้สวามิภักดิ์ต่อกองทัพโรมัน
บางครั้งในช่วงเวลานี้ได้มีการฆ่ากันและโยนศพลงไปในพรุ และมักจะมีการค้นพบมนุษย์พรุพีตที่มีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงสภาพสังคมเดนมาร์กในสมัยนั้น มนุษย์พรุพีต (Bog body หรือ bog people) คือร่างของมนุษย์ที่ได้รับการรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพที่ดีโดยธรรมชาติที่พบในพรุพีตทางตอนเหนือของยุโรปและเกาะบริติช ร่างของมนุษย์ที่ตายในพรุพีตไม่เหมือนกับร่างของมนุษย์โบราณอื่นๆ ตรงที่ร่างที่ตายในพรุพีตจะยังคงมีหนังและอวัยวะภายในอยู่ เพราะได้รับการรักษาไว้โดยสภาพแวดล้อมที่มีคุณสมบัติพิเศษ สภาพแวดล้อมดังกล่าวก็รวมทั้งน้ำที่เป็นค่อนข้างเป็นกรด, อุณหภูมิที่ต่ำ และบรรยากาศที่ขาดออกซิเจน ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้ผิวของผู้เสียชีวิตออกเป็นสีน้ำตาลแดงจัด แม้ว่าหนังจะอยู่ในสภาพดีแต่กระดูกจะไม่มีเหลืออยู่ เพราะกรดจากพีตทำการละลายแคลเซียมฟอสเฟตในกระดูก
นักประวัติศาสตร์ได้บรรยายถึงวัสดุวัฒนธรรมในยุโรปเหนือระหว่างช่วงเพิ่มมวลการอพยพในคริสต์ศตวรรษที่ 5 และคริสต์ศตวรรษที่ 7 ว่า ยุคเหล็กเยอร์มานิค ในยุคนี้ยังมีสิ่งที่มีชื่อเสียงจากยุคก่อนคือ "มนุษย์พรุพีต" และได้มีการค้นพบสองร่างในเดนมาร์กที่มีสภาพสมบูรณ์มากคือ มนุษย์โทลลุนด์และสตรีฮัลเดรอโมส
ในคำอธิบายของนักเขียนเกี่ยวกับสคันด์ซา (จากงานเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 6 เรื่องเกติกา) ของนักเขียนสมัยก่อนชื่อ จอร์ดาเนส ได้กล่าวว่า ชาวเดนมาร์กหรือเดนิ (Dani) เหมือนกับ ซูติดิ (Suetidi) (ชาวสวีดส์ (ชนเผ่าเยอร์มานิค) Swedes) และทำการขับไล่ชาวเฮรูลิและยึดครองดินแดนของพวกเขา
บทกวีในภาษาอังกฤษเก่าเรื่องวิทซิธและเบวูล์ฟ วิทซิธเป็นบทกลอนที่ชาวแองโกลแซ็กซอนมักขับร้องและเบวูล์ฟ เป็นบทกวีมหากาพย์เกี่ยวกับวีรบุรุษยุคอังกฤษโบราณแต่งโดยผู้ประพันธ์หลายคนที่ไม่ทราบชื่อ งานวรรณกรรมภาษาแองโกลแซกซอนชิ้นนี้คาดว่าแต่งขึ้นในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 11 โดยมีต้นฉบับที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน คาดว่าเขียนขึ้นในราวปี ค.ศ. 1010 (พ.ศ. 1553) มีความยาวทั้งสิ้น 3183 บรรทัด ซึ่งถือเป็นบทกวีที่มีความยาวมาก ได้รับยกย่องเป็นวรรณกรรมมหากาพย์แห่งประเทศอังกฤษ ตลอดจนงานเขียนจากนักประพันธ์ชาวสแกนดิเนเวียนหลังๆ ที่มีชื่อเสียงคือ แซ็กโซ แกรมมาติคัส (ราวค.ศ. 1200; พ.ศ. 1743) นักประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 1 มหาราชแห่งเดนมาร์กดังที่จะกล่าวในบทต่อไป ได้นำความรู้ในการอ้างอิงมาสู่ชาวเดนมาร์ก
ด้วยการเริ่มต้นของยุคไวกิ้งในคริสต์ศวรรษที่ 9 จบยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของเดนมาร์ก ชาวเดนมาร์กเกือบทั้งหมดกลายเป็นที่รู้จักในนาม "ไวกิง" (Viking) ในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 11 นักสำรวจชาวไวกิงได้ค้นพบและตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในไอซ์แลนด์ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยเดินทางจากหมู่เกาะแฟโร จากที่นั่น กรีนแลนด์และไวน์แลนด์(ปัจจุบันเป็นบริเวณของเกาะนิวฟันด์แลนด์)ก็ได้มีการตั้งถิ่นฐานด้วย พวกเขามีทักษะสูงในการสร้างเรือและการสำรวจทางทะเล พวกเขาได้ทำการเข้าปล้นและยึดครองบางส่วนของฝรั่งเศสและหมู่เกาะอังกฤษ
พวกเขายังมีความสามารถในการค้าขายตามแนวชายฝั่งและแม่น้ำในยุโรป เปิดเส้นทางการค้าจากกรีนแลนด์ทางตอนเหนือถึงคอนสแตนติโนเปิลทางใต้โดยผ่านทางแม่น้ำในรัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะตามแม่น้ำนีเปอร์และเคียฟ ที่ซึ่งตอไปจะเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเคียฟรุส ไวกิงเดนมาร์กมักจะเข้าไปมีอิทธิพลในบริเตน, ไอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกสและอิตาลี ที่ซึ่งพวกเขาได้เข้าปล้น,ยึดครอง และตั้งถิ่นฐาน (การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกรวมถึงดินแดนในบริเวณเดนลอว์,ไอร์แลนด์และนอร์ม็องดี) บริเวณเดนลอว์ได้กลายเป็นของไวกิงเมื่อพระเจ้าอัลเฟรดมหาราชแห่งราชอาณาจักรเวสเซกซ์ทรงถูกบีบบังคับให้มอบครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรแก่ไวกิง ที่ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนั้นในขณะนั้นและร่วมการค้าขายแบบสันติแต่การโจมตีก็ยังคงดำเนินต่อและกษัตริย์อังกฤษจะต้องทรงมอบราชบรรณาการ (เดนเกลด์)
ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 9 ชาร์เลอมาญแห่งจักรวรรดิคริสต์ได้ขยายอาณาเขตมายังชายแดนตอนใต้ของชาวเดนส์และจากแหล่งข้อมูลของชาวแฟรงก์(อย่างเช่น รายงานของนักบวชน็อทเกอร์ ผู้ติดอ่าง)ได้รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาวเดนส์ มีการบันทึกเกี่ยวกับพระเจ้ากุดเฟรดแห่งเดนมาร์ก ผุ้ซึ่งปัจจุบันปรากฏในโฮลชไตน์กับกองทัพเรือในปีค.ศ. 804 (พ.ศ. 1347) สถานที่ซึ่งทรงเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาวแฟรงก์ ในปีค.ศ. 808 (พ.ศ. 1351) พระเจ้ากุดเฟรดทรงโจมตีชาวโอโบไทรต์และเข้ายึดครองเมืองรีริค ที่ซึ่งประชากรถูกขับไล่ออกไปและพาไปที่เฮเดบี ในปีค.ศ. 809 (พ.ศ. 1352) พระเจ้ากุดเฟรดกับนักการทูตของชาร์เลอมาญได้ล้มเหลวในการเจรจาสงบศึก ถึงอย่างไรก็ตามพระขนิษฐาของพระเจ้ากุดเฟรดได้ทรงกลายเป็นพระสนมในจักรพรรดิชาร์เลอมาญ และในปีต่อมาพระเจ้ากุดเฟรดทรงเข้าโจมตีชาวฟรีเซียนด้วยเรือ 200 ลำ
พวกไวกิงได้เข้าโจมตีแนวยาวตลอดชายฝั่งฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ได้ขยายขอบเขตขึ้นมาก เมืองปารีสถูกล้อมรอบและลอยรีวัลเลย์ถูกทำลายในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 10 กลุ่มหนึ่งของชาวเดนส์ได้รับสิทธิในการปกครองและตั้งถิ่นฐานทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส โดยรอลโลได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ผู้เป็นตัวอย่างที่ดีแห่งฝรั่งเศสให้ปกครองดินแดนตามสนธิสัญญาแซงต์ แคลร์-ซูร์-อิบเตในปีค.ศ. 911 (พ.ศ. 1454) เพื่อเป็นการปกป้องราชอาณาจักรจากการรุกราน เป็นผลให้กำเนิดดินแดนที่เรียกว่า "นอร์ม็องดี" รอลโลจึงกลายเป็นดยุคแห่งนอร์ม็องดี และเชื้อสายของรอลโลได้ทำการบุกอังกฤษในปีค.ศ. 1066 (พ.ศ. 1609) โดยวิลเลียม ดยุคแห่งนอร์ม็องดีได้รับชัยชนะต่อกองทัพแองโกล-แซ็กซอนที่นำโดยพระเจ้าฮาโรลด์ กอดวินสัน สงครามครั้งนี้รู้จักกันในนามว่า “ชัยชนะของชาวนอร์มันต่ออังกฤษ” (Norman Conquest) และทรงเป็นเชื้อสายจากไวกิงและพระประมุขของอังกฤษปัจจุบันก็สืบเชื้อสายมาจากชาวไวกิงหรือนอร์มัน
นอกจากนี้ชาวเดนส์และนอร์วีเจียนได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปยังตะวันตกที่มหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งถิ่นฐานบนไอซ์แลนด์, กรีนแลนด์และหมุ่เกาะเช็ทแลนด์ โดยรวมชาวไวกิงทำการสำรวจทวีปอเมริกาเหนือโดยรอบหนึ่งพันคนแต่ไม่ใช่ผลของการตั้งถิ่นฐานและพวกเขาได้ถูกขับไล่โดยชาวพื้นเมือง ไวกิงพวกอื่นโจมตีเยอรมนีและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ยึดเพียงช่วงสั้นๆ ไม่มีผลอะไรมากมายนัก
ส่วนเก่าแก่ของงานแนวป้องกันเดนเวอร์เกใกล้เฮเดบีอย่างน้อยตั้งแต่ฤดูร้อนค.ศ. 755 (พ.ศ. 1298) และได้รับการขยายด้วยกองกำลังที่ใหญ่กว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ขนาดและจำนวนทหารต้องการเกณฑ์บุรุษที่แข็งแกร่งในแต่ละท้องที่ ที่ซึ่งสามารถต้านทางอำนาจของกษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ในค.ศ. 815 (พ.ศ. 1358) จักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธาทรงส่งกองทัพมาโจมตีคาบสมุทรจัตแลนด์อย่างชัดเจนหลังจากชาวไวกิงสนับสนุนศัตรูในราชบัลลังก์ของพระองค์ ซึ่งในบางครั้งคือพระเจ้าฮารัลด์ คล้ากแห่งเดนมาร์ก แต่ทรงถูกเรียกกลับโดยพระโอรสของพระเจ้ากุดเฟรด ผู้ซึ่งเป็นพระโอรสที่ไม่มีการกล่าวชื่อของพระเจ้ากุดเฟรด ในเวลาเดียวกันนักบุญอันส์การ์ได้เดินทางสู่เฮเดบีและถือเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์ในสแกนดิเนเวียนิกายโรมันคาทอลิก และยุคไวกิ้งได้สิ้นสุดในรัชสมัยของพระเจ้าคนุตที่ 4 แห่งเดนมาร์กดังจะกล่าวถัดไป
พระเจ้ากอร์ม เดอะ โอลด์ เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าฮาร์ทาคานูทแห่งเดนมาร์กซึ่งทรงเป็นกษัตริย์กึ่งตำนานพระองค์สุดท้าย และพระเจ้ากอร์มทรงได้รับการบันทึกให้เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งเดนมาร์กอันเนื่องมาจากทรงรวมประเทศเป็นปึกแผ่น ตามตำนานโบราณเฮล์มสริงก์ลา (Heimskringla) ได้บันทึกว่า พระเจ้ากอร์มทรงยึดส่วนน้อยของราชอาณาจักรต่างๆและรวมเป็นหนึ่งเดียว พระองค์ทรงเป็นที่จดจำครั้งแรกโดยทรงเชิญบิชอปอุนนิแห่งฮัมบูร์กและเบรเมินเข้ามาในอาณาจักรในปีค.ศ. 936 (พ.ศ. 1479) และเขาได้สานต่องานของนักบุญอันส์การ์ในการเผยแพร่คริสต์ศาสนา ตามที่กองหินเจลลิงในเจลลิงซึ่งเป็นหมู่บ้านในเดนมาร์กปัจจุบัน พระเจ้ากอร์มทรงประกาศ ณ ที่แห่งนั้นว่า "ชัยชนะต่อเดนมาร์กทั้งมวล" แต่ก็เป็นที่เลื่องลือว่าทรงปกครองคาบสมุทรจัตแลนด์ขณะทรงประทับที่เจลลิง
พระเจ้ากอร์มทรงอภิเษกสมรสกับไธรา เดนเนบอด สตรีซึ่งเข้ามามีอิทธิพลมากในรัชสมัยนี้ด้วยความรอบคอบ และทรงอิทธิพลในราชสำนักเหนือพระสวามี ทั้งๆที่ภูมิหลังของพระนางยังไม่เป็นที่แน่ชัด พระนางอาจเป็นธิดาในหัวหน้าเผ่าแถบคาบสมุทรจัตแลนด์ทางใต้ บางข้อมูลกล่าวว่าทรงเป็นธิดาในพระเจ้าฮารัลด์ คลากหรือเป็นพระธิดาในพระเจ้าเอเธลเรดแห่งเวสเซ็กส์ ในตำนานกล่าวว่าทรงนำกองทัพเข้าโจมตีเยอรมนีด้วยตัวพระนางเอง พระนางทรงมีส่วนในการสร้างแนวป้องกันเดนเวอร์เกบริเวณชายแดนทางใต้ระหว่างเดนมาร์กกับศัตรูคือพวกแซ็กซอน ซึ่งปัจจุบันเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่เก่าแก่มาก
พระเจ้าฮารัลด์ที่ 1 แห่งเดนมาร์ก หรือ พระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธ กอร์มสัน เป็นพระราชโอรสในพระเจ้ากอร์ม เดอะ โอลด์กับพระนางไธรา เดนเนบอด ทรงครองราชย์สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชบิดาในปีค.ศ. 958 (พ.ศ. 1501)
ชาวเดนส์ได้รวมชาติและนับถือศานาคริสต์อย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 965 (พ.ศ. 1508) โดยพระบรมราชโองการของพระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธ เรื่องราวได้ถูกบันทึกในกองหินเจลลิง ขอบเขตของราชอาณาจักรของพระเจ้าฮารัลด์ในขณะนั้นยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แม้จะสมเหตุสมผลจากการยึดเอาแนวป้องกันเดนเวอร์เกที่สร้างในรัชกาลก่อนมาเป็นหลัก ซึ่งรวมทั้งเมืองไวกิงเฮเดบี, ตลอดคาบสมุทรจัตแลนด์, หมู่เกาะเดนมาร์กและทางภาคใต้ที่ปัจจุบันเป็นอาณาเขตของสวีเดนคือแคว้นสคาเนียและบางทีครอบครองส่วนของฮัลลันด์และเบรกิงก์ นอกจากนี้ กองหินเจลลิงยืนยันได้ว่า พระเจ้าฮารัลด์ทรงมี"ชัยชนะ"เหนือนอร์เวย์
ประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์ในเดนมาร์กนั้นได้ทับซ้อนกับยุคสมัยของไวกิง และมีอาณาจักรน้อยใหญ่ในบริเวณเดนมาร์กมานานหลายปี พระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธทรงขยายอาณาเขตจากคาบสมุทรจัตแลนด์ไปยังสแคน ในรอบช่วงเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงรับมิชชันนารีชาวเยอรมันเข้ามา ผู้ซึ่งตามที่บันทึกในตำนาน ได้รอดชีวิตจากการพิจารณาคดีโดยทรมานที่ซึ่งทำให้สามารถโน้มน้าวพระทัยพระเจ้าฮารัลด์ให้เปลี่ยนมานับถือศานาคริสต์ ในความเป็นจริงแล้วพระองค์ทรงรบแพ้กองทัพของจักรพรรดิออทโทที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ทรงยอมเข้ารีตเป็นคริสเตียน
ศาสนาใหม่ที่ซึ่งได้เข้ามาแทนที่เทพปกรณัมนอร์สศาสนาในสมัยโบราณได้สร้างประโยชน์มากมายแก่กษัตริย์ การนับถือศานาคริสต์ได้นำมาซึ่งการสนับสนุนจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถทำให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการกำจัดศัตรูของพระองค์ผู้ซึ่งยังคงยึดมั่นในเทพปกรณัมนอร์สอยู่ ในช่วงต้นนั้นไม่มีหลักฐานว่าคริสตจักรเดนมาร์กได้จัดระเบียบการต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพที่ซึ่งพระเจ้าฮารัลด์สามารถใช้ศาสนจักรนี้เพื่อสร้างพระราชอำนาจควบคุมราชอาณาจักรของพระองค์แต่อาจมีส่วนพัฒนารากฐานการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทางการเมืองและคตินิยมทางศาสนาระหว่างอภิชนชั้นในสังคมที่ซึ่งทรงรักษาและยกระดับพระราชอำนาจของระบอบกษัตริย์ให้สูงยิ่งขึ้น
พระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกกับเจ้าหญิงกิริธ โอลาฟสดอทเทียร์แห่งสวีเดน มีรัชทายาท 4 พระองค์ หลังจากพระนางกิริธ โอลาฟสดอทเทียร์สิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 970 (พ.ศ. 1513) พระองค์ได้อภิเษกสมรสครั้งที่สองกับเจ้าหญิงทอรา มิสทิวอจแห่งโอโบไทรต์ ไม่มีรัชทายาทด้วยกัน
พระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธเสด็จสวรรคตในปีค.ศ. 986 (พ.ศ. 1529) สิริพระชนมายุราว 50 พรรษา พระโอรสได้ครองราชย์สืบต่อ
พระเจ้าสเวนที่ 1 แห่งเดนมาร์ก หรือ พระเจ้าสเวน ฟอร์กเบียร์ด เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธกับเจ้าหญิงกิริธ โอลาฟสดอทเทียร์แห่งสวีเดน พระมเหสีองค์แรก เสด็จพระราชสมภพราว ค.ศ. 960 (พ.ศ. 1503) ทรงอภิเษกเสกสมรสกับเจ้าหญิงกันฮิลด์แห่งเว็นเด็นและต่อมาอาจจะเป็นพระนางซิกริดผู้ทรนง (เรื่องของพระมเหสีของพระองค์ยังเป็นที่ถกเถียงจนทุกวันนี้) และทรงราชย์บัลลังก์เดนมาร์กระหว่างค.ศ. 986 (พ.ศ. 1529) ถึง 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1014 (พ.ศ. 1557) ในปี ค.ศ. 1000 (พ.ศ. 1543) พระองค์ทรงละทิ้งคริสต์ศาสนา โดยทรงกล่าวหาว่าการเข้ารีตเป็นคริสต์ของพระบิดาถือเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบน
พระเจ้าสเวน ฟอร์กเบียร์ดทรงเป็นพันธมิตรกับทรอนด์จาร์ล อีริคแห่งเลด ทำสงครามกับพระเจ้าโอลาฟที่ 1 แห่งนอร์เวย์ในยุทธการสวอลเดอร์ส่งผลให้พระเจ้าโอลาฟที่ 1 แห่งนอร์เวย์เสด็จสวรรคตในสนามรบ ซึ่งทำให้ได้ครองราชอาณาจักรนอร์เวย์เกือบทั้งหมดและทรงสถาปนาพระองค์เองเป็นพระมหากษัตริย์แห่งนอร์เวย์ จากเหตุการณ์การสังหารหมู่วันเซนต์บริซ (St. Brice's Day massacre) ซึ่งเป็นการสังหารหมู่ชาวเดนส์ในราชอาณาจักรอังกฤษในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1002 (พ.ศ. 1545) โดยพระราชโองการของพระเจ้าแอเธลเรดที่ 2 แห่งอังกฤษ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นการสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่ของชาวเดนส์ ในจำนวนผู้ถูกสังหารเชื่อว่ารวมทั้ง เจ้าหญิงกุนฮิลด์แห่งเดนมาร์ก พระขนิษฐาในพระเจ้าสเวน ฟอร์กเบียร์ดกับพาลลิก โทเกเซน พระสวามีของเจ้าหญิงก็ถูกสังหารในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย เมื่อพระเจ้าสเวนทราบทรงพิโรธยิ่งที่พระขนิษฐาสิ้นพระชนม์ทรงระดมทัพเพื่อพิชิตอังกฤษให้ได้
ตามบันทึกของไซมอน ไคนส์ พระองค์ทรงเข้ายึดครองเวสเซ็กส์และแองเกลียตะวันออกในปีค.ศ. 1003 (พ.ศ. 1546) - ค.ศ. 1004 (พ.ศ. 1547) และในปีค.ศ. 1004 (พ.ศ. 1547) อังกฤษได้ยอมจำนนต่อเดนมาร์กอย่างเด็ดขาด และพระเจ้าสเวนทรงเป็นปฐมกษัตริย์ชาวเดนส์พระองค์แรกของอังกฤษ แต่หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าสเวนและจากการขาดแคลนเสบียงทำให้กองทัพเดนมาร์กต้องยกทัพกลับในค.ศ. 1005 (พ.ศ. 1548) ในเดือนสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จสวรรคตทรงสถาปนาพระองค์เองเป็นพระมหากษัตริย์แห่งจักรวรรดิทะเลเหนือ
พระเจ้าคนุตมหาราช เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าสเวน ฟอร์กเบียร์ดกับพระนางซิกริดผู้ทรนง เสด็จพระราชสมภพราวค.ศ. 985 (พ.ศ. 1528) - ค.ศ. 995 (พ.ศ. 1538) ทรงเสกสมรสกับพระนางเอลกิฟูแห่งนอร์ทแธมตัน และต่อมา พระนางเอ็มมาแห่งอังกฤษ
ขณะทรงดำรงพระอิศริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเดนมาร์ก พระองค์ได้รับชัยชนะในอังกฤษจากยุทธการแอชชิงดัน ทรงชนะกองทัพของพระเจ้าเอ็ดมันด์ที่ 2 แห่งอังกฤษ หรือ พระเจ้าเอ็ดมันด์ ไอรอนไซด์ หลังจากนั้นพระมหากษัตริย์สองพระองค์ก็ทรงเจรจาต่อรองสงบศึกซึ่งระบุให้พระเจ้าเอ็ดมันด์ได้เอสเซ็กซ์ และพระเจ้าคานูทได้ดินแดนส่วนที่เหนือจากแม่น้ำเทมส์ นอกจากนั้นก็ยังทรงตกลงกันว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตดินแดนของผู้ที่เสียชีวิตก็จะตกไปเป็นของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าเอ็ดมันด์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1016 (พ.ศ. 1559) ที่อ็อกฟอร์ดหรือลอนดอน ดินแดนของพระองค์จึงตกไปเป็นของเจ้าชายคานูท และเจ้าชายคนุตทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษในปีค.ศ. 1016 (พ.ศ. 1559) ถือเป็นการยึดครองอังกฤษอย่างสมบูรณ์ ในปีค.ศ. 1018 (พ.ศ. 1561) ทรงสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กจากสมเด็จพระเจ้าฮารัลด์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก พระเชษฐาซึ่งเสด็จสวรรคต ทำให้ทรงราชบัลลังก์ทั้งเดนมาร์กและอังกฤษร่วมกัน พระเจ้าคนุตทรงใช้พระราชอำนาจร่วมโดยรวมชาวเดนส์และอังกฤษเข้าด้วยกันทั้งด้านเศรษฐกิจและขนบธรรมเนียมประเพณีมากกว่าการปกครองอย่างกดขี่
ในปีค.ศ. 1016 (พ.ศ. 1559) พระเจ้าโอลาฟ ฮารัลด์สันแห่งนอร์เวย์ทรงได้รับชัยชนะจากกองทัพเดนส์ในนอร์เวย์ และต่อมาทรงร่วมมือกับพระเจ้าอนุนด์ จาค็อบแห่งสวีเดนโดยทรงอาศัยช่วงที่พระเจ้าคนุตมหาราชทรงจัดการความยุ่งยากในอังกฤษ ทั้งสองพระอค์ทรงวางแผนเริ่มโจมตีเดนมาร์กในปีค.ศ. 1026 (พ.ศ. 1569) ในยุทธการเฮลเกีย โดยกองทัพเรือสวีเดนและนอร์เวย์ได้รับกับดองทัพเรือของพระเจ้าคนุตซึ่งบัญชาการโดยอูล์ฟ จาร์ล ขุนนางซึ่งเป็นพระสวามีในเจ้าหญิงแอสตริด สเวนสเด็ทเทอร์แห่งเดนมาร์ก พระขนิษฐาในพระเจ้าคนุต ในที่สุดสงครามจบลงโดยกองทัพเดนมาร์ก-อังกฤษเป็นฝ่ายชนะ ส่งผลให้พระเจ้าคนุตมหาราชทรงมีอิทธิพลสูงสุดในสแกนดิเนเวียโดยในปีค.ศ. 1027 (พ.ศ. 1570) พระเจ้าคนุตมหาราชทรงสถาปนาพระองค์เองเป็น พระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษและเดนมาร์กทั้งมวลและปวงชนชาวนอร์วีเจียนและบางส่วนของปวงชนชาวสวีดิช
หลังจากสิ้นสุดทศวรรษแห่งความขัดแย้งระหว่างศัตรูของพระองค์ในสแกนดิเนเวีย พระเจ้าคนุตทรงอ้างสิทธิในราชบัลลังก์แห่งนอร์เวย์ที่ทรอนด์เฮมในปีค.ศ. 1028 (พ.ศ. 1571) เมืองซิกกูนาของสวีเดนได้ถูกยึดครองโดยพระเจ้าคนุต พระองค์ทรงมีเหรียญตราที่มีการบันทึกถึงพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ในดินแดนนั้นแต่ไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับการเข้ายึดครองของพระองค์
ราชาธิปไตยแห่งอังกฤษมีการเชื่อมโยงทางทะเลโดยกำหนดของชาวเดนส์ซึ่งเชื่อมระหว่างเกาะบริเตนใหญ่และเกาะไอร์แลนด์ ที่ซึ่งพระเจ้าคนุตก็มีพระราชดำริเช่นเดียวกับพระราชบิดาในให้ความสนใจอย่างยิ่งและการขยายอิทธิพลเหนือบริเวณที่เรียกว่า แกล-กาเอดิล
พระเจ้าคนุตทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดิเฮนรีที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, จักรพรรดิคอนราดที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เจ้าผู้ครองนครของชนเจอร์มานิค และทรงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระสันตะปาปา
พระเจ้าคนุตมหาราชเสด็จสวรรคตในปีค.ศ. 1035 (พ.ศ. 1578) สิริพระชนมายุราว 40 พรรษา พระราชโอรสได้ครองราชย์ต่อ การเสด็จสวรรคตของพระองค์ทำให้ในรัชสมัยต่อมาสูญเสียราชอาณาจักรอังกฤษและการรุกรานของนอร์เวย์ทำให้ราชวงศ์กอร์มสิ้นสุดด้วย เป็นการแบ่งแยกอาณาจักรระหว่างเดนมาร์กกับอังกฤษอย่างชัดเจนและจะไม่มีวันรวมกันได้อีก
พระเจ้าฮาร์ธาคนุต หรือ สมเด็จพระเจ้าคานูทที่ 3 แห่งเดนมาร์ก เสด็จพระราชสมภพราว ค.ศ. 1018 (พ.ศ. 1561) เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าคานูทมหาราช และ เอ็มมาแห่งนอร์ม็องดี สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ และทรงราชบัลลังก์เดนมาร์กระหว่างปี ค.ศ. 1035 (พ.ศ. 1578) ถึงปี ค.ศ. 1042 (พ.ศ. 1585) และราชบัลลังก์อังกฤษระหว่างวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1040 (พ.ศ. 1583) หลังจากที่พระราชบิดาพระเจ้าคานูทมหาราชเสด็จสวรรคต จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1042 (พ.ศ. 1585)
พระเจ้าฮาร์ธาคานูทได้รับราชบัลลังก์เดนมาร์กเมื่อปี ค.ศ. 1035 (พ.ศ. 1578) หลังจากที่พระราชบิดาพระเจ้าคานูทมหาราชเสด็จสวรรคต แต่การรุกรานของพระเจ้าแม็กนัสที่ 1 แห่งนอร์เวย์ทำให้ไม่ทรงสามารถมารับราชบัลลังก์อังกฤษได้ ทางอังกฤษจึงตกลงยกพระราชบัลลังก์ให้ฮาโรลด์ แฮร์ฟุตพระเชษฐาต่างพระมารดาผู้เป็นพระโอรสนอกสมรสของพระเจ้าคานูทมหาราชเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว แต่พระเจ้าฮาโรลด์ แฮร์ฟุตทรงยึดราชบัลลังก์เป็นของพระองค์เองในปี ค.ศ. 1037 (พ.ศ. 1580) พระเจ้าฮาร์ธาคานูท “ถูกทิ้งเพราะไปอยู่เสียใกลในเดนมาร์ก” — และเอ็มมาแห่งนอร์ม็องดีพระราชมารดาของพระเจ้าฮาร์ธาคานูทผู้ที่ประทับอยู่ที่วินเชสเตอร์กับกองทหารของฮาร์ธาคานูทก็ทรงถูกบังคับให้หนีไปบรูจส์ (Bruges) ในฟลานเดอร์ส พระเจ้าฮาร์ธาคานูททรงสงบศึกกับทางสแกนดิเนเวียด้วยสนธิสัญญาที่ทรงทำกับพระเจ้าแม็กนัสราวปี ค.ศ. 1038 (พ.ศ. 1581) หรือ ค.ศ. 1039 (พ.ศ. 1582) โดยตกลงกันว่าถ้าคนหนี่งคนใดสวรรคตดินแดนของผู้ที่สวรรคตก่อนไปก็จะตกไปเป็นของผู้ที่มีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นพระเจ้าฮาร์ธาคานูทก็เตรียมการรุกรานอังกฤษเพื่อไปปลดพระเจ้าฮาโรลด์ แฮร์ฟุตจากราชบัลลังก์ แต่พระเจ้าฮาโรลด์ แฮร์ฟุตเสด็จสวรรคตเสียก่อนเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1040 (พ.ศ. 1583) พระเจ้าฮาร์ธาคานูทจึงได้รับการอัญเชิญจากอังกฤษ ทรงขึ้นฝั่งอังกฤษที่แซนด์วิชในเค้นท์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1040 (พ.ศ. 1583) พร้อมกับเรือรบ 62 ลำ เมื่อเสด็จมาถึงก็มีพระราชโองการให้ขุดร่างของพระเจ้าฮาโรลด์ แฮร์ฟุตขึ้นมาแล้วเอาไปโยนทิ้ง พระเจ้าฮาร์ธาคานูทเป็นพระมหากษัตริย์ที่โหดร้ายและไม่เป็นที่นิยม ทรงเรียกเก็บภาษีอย่างหนักเพื่อที่ทรงใช้ในการบำรุงกองทัพเรือของพระองค์
ในปี ค.ศ. 1041 (พ.ศ. 1584) พระเจ้าฮาร์ธาคานูททรงอัญเชิญพระอนุชาต่างพระบิดาสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ กลับจากการลี้ภัยในนอร์ม็องดีมาอยู่ในราชสำนักของพระองค์และคงคิดจะตั้งเอ็ดเวิร์ดให้เป็นรัชทายาทด้วย พระเจ้าฮาร์ธาคานูทมิได้ทรงเสกสมรสและไม่มีพระราชโอรสธิดา แต่ก็มีข่าวลือว่ามีพระโอรสนอกสมรส วิลเลียม คานูท พระเจ้าฮาร์ธาคานูทเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1042 (พ.ศ. 1585) ที่แลมเบ็ธ พระบรมศพถูกฝังไว้ที่วินเชสเตอร์ที่เดียวกับพระราชบิดาและพระราชมารดา สิ้นสุดราชวงศ์กอร์ม เอ็ดเวิร์ดขึ้นครองราชบัลลังก์อังกฤษเป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ ฟื้นฟูราชวงศ์เวสเซ็กซ์ของแซ็กซอน ในการโจมตีอังกฤษครั้งสุดท้ายของชาวนอร์เวย์ล้มเหลว แต่เป็นการนำไปสู่การยึดครองอังกฤษของพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิตในปีค.ศ. 1066 (พ.ศ. 1609)
พระเจ้าแม็กนัส ผู้ทรงธรรม หรือ สมเด็จพระเจ้าแม็กนัสที่ 1 แห่งนอร์เวย์ เป็นพระโอรสนอกสมรสในพระเจ้าโอลาฟที่ 2 แห่งนอร์เวย์กับนางอัลวีฮิลด์ เสด็จพระราชสมภพราวค.ศ. 1024 (พ.ศ. 1567) ทรงราชบัลลังก์นอร์เวย์ระหว่างปีค.ศ. 1035 (พ.ศ. 1587) ถึงค.ศ. 1047 (พ.ศ. 1590) และทรงราชบัลลังก์เดนมาร์กระหว่างปีค.ศ. 1042 (พ.ศ. 1585) ถึงค.ศ. 1047 (พ.ศ. 1590)
เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์และพระมารดาต้องเสด็จลี้ภัยจากการที่พระบิดาถูกขับออกจากอำนาจในปีค.ศ. 1028 (พ.ศ. 1571)โดยพระราชโองการของพระเจ้าคนุตมหาราช พระองค์ได้เสด็จกลับนอร์เวย์ในปีค.ศ. 1035 (พ.ศ. 1587) หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าคนุตมหาราช และทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์แห่งนอร์เวย์ขณะมีพระชนมายุเพียง 11 พรรษา พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะกำจัดศัตรูของพระราชบิดาทุกคน แต่ซืกวาร์ท ทอร์ดาร์สัน กวีในราชสำนักได้ห้ามปรามพระองค์ไว้ ที่ซึ่งทำให้พระองค์เป็นที่กล่าวขานในนาม "ผู้ทรงธรรม"
พระองค์ได้ประกาศสงครามกับเดนมาร์กในรอบค.ศ. 1040 (พ.ศ. 1583) ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าฮาร์ธาคนุต ที่มีพระราชประสงค์ที่จะยึดครองนอร์เวย์มารวมกับเดนมาร์ก แต่ทั้งสองพระองค์ก็ได้เจรจาสงบศึกกันโดยเสด็จมาพบปะกัน โดยตกลงกันว่าถ้าคนหนี่งคนใดสวรรคตดินแดนของผู้ที่สวรรคตก่อนไปก็จะตกไปเป็นของผู้ที่มีชีวิตอยู่ พระเจ้าฮาร์ธาคานูทเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1042 (พ.ศ. 1585) ถือเป็นจุดสิ้นสุดราชวงศ์กอร์ม ทำให้พระเจ้าแม้กนัสได้เป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์และเดนมาร์ก สถาปนาราชวงศ์แฟร์แฮร์ในเดนมาร์ก พระองค์ต้องเผชิญกับการอ้างสิทธิของเจ้าชายสเวน แอสตริดเซนแห่งเดนมาร์ก พระนัดดาในพระเจ้าคนุตมหาราช ในขณะที่เจ้าชายฮารัลด์ ฮาร์ดราดาแห่งนอร์เวย์ พระปิตุลาในพระเจ้าแม็กนัสได้เสด็จกลับนอร์เวย์จากทางตะวันออกและทรงประกาศปกครองที่นั่น ในขณะที่เจ้าชายสเวนทรงคุกคามเดนมาร์ก เจ้าชายฮารัลด์ได้เจริญสัมพันธไมตรีกับเจ้าชายสเวน พระเจ้าแม็กนัสทรงจำใจทำให้พระปิตุลาพอพระทัย โดยให้เจ้าชายฮารัลด์ครองราชบัลลังก์นอร์เวย์ร่วมกับพระองค์ในปีค.ศ. 1046 (พ.ศ. 1589)
พระเจ้าแม็กนัสแห่งนอร์เวย์เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุบนเรือพระที่นั่ง พระองค์ทรงหมดสติ ขณะกำลังยกกองทัพเพื่อไปพิชิตอังกฤษในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1047 (พ.ศ. 1590) สิริพระชนมายุราว 23 พรรษา พระองค์มิได้อภิเษกสมรสและไม่มีทายาท โดยมีการรายงานว่าพระองค์ทรงยินยอมให้เจ้าชายสเวนสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กต่อจากพระองค์ ถือเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์แฟร์แฮร์สายนอร์เวย์ที่เข้ามาปกครองเดนมาร์ก ราชอาณาจักรนอร์เวย์-เดนมาร์กจึงแตกออกเป็นสองส่วน เจ้าชายฮารัลด์ ฮาร์ดราดาแห่งนอร์เวย์ทรงราชบัลลังก์นอร์เวย์และเจ้าชายสเวน แอสตริดเซนแห่งเดนมาร์กทรงราชบัลลังก์เดนมาร์ก
รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าสเวนที่ 2 แอสตริดเซน หรือ สมเด็จพระเจ้าสเวนที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงเป็นพระราชโอรสในอูล์ฟ จาร์ลกับเจ้าหญิงแอสตริด สเวนสเด็ทเทอร์แห่งเดนมาร์ก พระองค์ทรงครองราชสมบัติเดนมาร์กในปีค.ศ. 1047 (พ.ศ. 1590) ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าแม็กนัส ผู้ทรงธรรม และทรงสถาปนาราชวงศ์แอสตริดเซนขึ้นแทนที่ราชวงศ์แฟร์แฮร์แห่งนอร์เวย์
พระองค์ได้สถาปนาราชอาณาจักรเดนมาร์กที่เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง และทรงดำเนินการสานสัมพันธไมตรีที่ดีกับอาร์คบิชอปอดาลเบิร์ตแห่งฮัมบูร์ก ซึ่งในขณะนั้นเป็นอาร์คบิชอปแห่งสแกนดิเนเวียทั้งมวลและมีอิทธิพลสูงสุด, ภายใต้อิทธิพลของพระเจ้าสเวน ทำให้ขณะนั้นเดนมาร์กได้ถูกแบ่งเป็นแปดเขตปกครองโดยบิชอปในรอบปีค.ศ. 1060 (พ.ศ. 1603)
การครองราชย์ของพระเจ้าสเวนและการประดิษฐานราชวงศ์แอสตริดเซนในเดนมาร์กนั้น พระองค์ทรงมีความเชื่อมโยงกับสายสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กผ่านทางพระมารดาของพระองค์คือ เจ้าหญิงแอสตริด และทรงได้รับชื่อตระกูลผ่านทางพระมารดาว่า "แอสตริดเซน" โดยมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของสายสันตติวงศ์ทางพระองค์ให้เชื่อมโยงกับพระราชวงศ์เดนมาร์ก พระองค์ยังทรงผลิตเหรียญกษาปณ์เอง
พระเจ้าสเวนทรงสถาปนาและรวมพระราชอำนาจทั้งหมดมาไว้ที่ส่วนกลางโดยทรงสานสัมพันธ์กับคริสตจักรและมหาอำนาจต่างชาติ และทรงดำเนินการเป็นพันธมิตรกับพระสันตปาปา พระองค์ทรงมีความทะเยอทะยานโดยมีพระราชประสงค์ให้พระราชโอรสองค์หนึ่งคือ เจ้าชายคนุต แม็กนัสแห่งเดนมาร์กสวมมงกุฎเป็นสมเด็จพระสันตปาปา แต่เจ้าชายทรงสิ้นพระชนม์ในระหว่างการเดินทางไปยังกรุงโรม พระองค์ทรงล้มเหลวในการพยายามผลักดันให้มีการล้างบาปของพระเจ้าฮารัลด์ บลูทูธ กษัตริย์ชาวคริสต์พระองค์แรก พระองค์ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับจักรพรรดิไฮน์ริชที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในการต่อต้านจักรพรรดิบอลด์วินที่ 1 แห่งคอนสแตนติโนเปิลในปีค.ศ. 1049 (พ.ศ. 1592) และพระเจ้าสเวนยังทรงสนับสนุนเจ้าชายก็อตต์ชอล์กแห่งโอโบไทรต์ พระชามาดา(ลูกเขย)ทำสงครามกับพวกสงครามกลางเมือลูติชิ ในปีค.ศ. 1057 (พ.ศ. 1600)
หลังจากสมเด็จพระเจ้าฮารัลด์ ฮาร์ดราดาแห่งนอร์เวย์พ่ายแพ้และเสด็จสวรรคตกลางสมรภูมิในการต่อสู้ที่สะพานสแตมฟอร์ดในอังกฤษและพระเจ้าวิลเลียม ผู้พิชิตสามารถพิชิตอังกฤษได้ พระเจ้าสเวนกลับมาให้ความสนพระทัยในอังกฤษที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองโดยพระเจ้าคนุตมหาราช พระปิตุลาของพระองค์ พระองค์ทรงเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับสมเด็จพระเจ้าเอ็ดการ์ เอเธลลิง ซึ่งเป็นเชื้อสายสุดท้ายแห่งราชวงศ์ชาวแองโกล-แซกซันและได้รวมกองทัพโจมตีพระเจ้าวิลเลียมในปีค.ศ. 1069 (พ.ศ. 1612) อย่างไรก็ตามหลังจากเข้ายึดเมืองยอร์ก พระเจ้าสเวนได้ยอมรับการจ่ายของพระเจ้าวิลเลียมที่ให้ละทิ้งพระเจ้าเอ็ดการ์ ผู้ซึ่งได้ลี้ภัยในสก็อตแลนด์ ที่ซึ่งพระเจ้าสเวนได้ล้มเหลวในการพิชิตในปีค.ศ. 1074/1075 (พ.ศ. 1617/1618)
สมเด็จพระเจ้าสเวนที่ 2 แอสตริดเซนเสด็จสวรรคตวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1074/76 (พ.ศ. 1617/19) พระชนมายุราว 55 พรรษา หลังจากสวรรคต พระองค์ทรงถูกขนานนามว่า "พระบิดาแห่งเหล่ากษัตริย์" เนื่องจากพระโอรส 5 พระองค์จาก 15 พระองค์ทรงครองราชบัลลังก์เดนมาร์กต่อมา
รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าคานูทที่ 4 นักบุญ เป็นพระราชโอรสนอกกฎหมายในสมเด็จพระเจ้าสเวนที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงสืบราชบัลลังก์ต่อจากสมเด็จพระเจ้าฮารัลด์ที่ 3 แห่งเดนมาร์ก พระเชษฐาซึ่งเสด็จสวรรคตในปีค.ศ. 1080 (พ.ศ. 1623) พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอเดลาแห่งฟลานเดอร์ มีพระราชโอรส 1 พระองค์และพระราชธิดา 2 พระองค์
พระเจ้าคานูทเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทะเยอทะยาน ทรงเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชาธิปไตยแห่งเดนมาร์ก ทรงเป็นผู้ศรัทธาในคริสตจักรโรมันคาทอลิกอย่างยิ่ง และทรงมีแผนการที่จะครองราชบัลลังก์อังกฤษ
พระองค์ทรงศรัทธาในพระศาสนาอย่างยิ่ง ทรงทำการให้อำนาจแก่ฝ่ายศาสนาและทรงเฝ้าสังเกตพิธีกรรมในวันหยุดทางศาสนาอย่างเข้มงวด พระองค์ทรงถวายธรรมทานอันมหาศาลแก่โบสถ์ในดาลบี, ออเดนส์, รอสกิลด์และวีบอร์ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ลุนด์ การเพิ่มพระราชอำนาจให้แก่ศาสนจักรของพระองค์เป็นการสร้างพันธไมตรีที่แข็งแกร่ง ซึ่งเปลี่ยนมาสนับสนุนสถานะอำนาจของพระเจ้าคานูท
ในรัชสมัยของพระองค์เป็นที่จดจำในการสถาปนาพระราชอำนาจเพื่อเพิ่มอำนาจของราชสำนักเดนมาร์กด้วยการระงับอำนาจของขุนนางและบังคับให้ฝ่ายศักดินาอยู่ภายใต้กฎหมาย ผลจากกฎหมายของพระเจ้าคานูทได้ทำให้การถือสิทธิ์ของพระองค์ในการที่ทรงเป็นเจ้าของที่ดินโดยรวม สิทธิ์ในสินค้าจากเรืออัปปาง และสิทธิสืบครอบครองทรัพย์สมบัติของชาวต่างชาติและประชาชนซึ่งไร้ญาติ ผลของกฎหมายยังทำการคุ้มครองอิสรภาพของทาส บุคคลในวงการศาสนาและพ่อค้าชาวต่างชาติ พระกุศโลบายเหล่านี้ได้นำไปสู่ความไม่พอใจแก่บริวารของพระองค์ ซึ่งไม่คุ้นเคยกับการรวมพระราชอำนาจของกษัตริย์และทรงเข้าไปก้าวก่ายชีวิตประจำวันของพวกเขา
แต่ความทะเยอทะยานของพระเจ้าคานูทยังคงไม่สิ้นสุดแต่เพียงภายในราชอาณาจักร ในฐานะเป็นพระราชปนัดดาในพระเจ้าคนุตมหาราช ซึ่งทรงเคยปกครองอังกฤษ,เดนมาร์กและนอร์เวย์จนกระทั่งค.ศ. 1035 (พ.ศ. 1578) พระเจ้าคานูททรงพิจารณาว่าราชบัลลังก์อังกฤษนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพระองค์ ในขณะนั้นพระองค์ทรงมองพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษในฐานะผู้ช่วงชิงราชบัลลังก์ ในปีค.ศ. 1085 (พ.ศ. 1628) ด้วยการสนับสนุนจากพระสัสสุระ โรเบิร์ตที่ 1 เคานท์แห่งฟลานเดอส์และพระเจ้าโอลาฟที่ 3 แห่งนอร์เวย์ พระเจ้าคานูททรงวางแผนที่จะรุกรานอังกฤษและทรงรวมกำลังพลเรือที่ลิมฟยอร์ด เรียกว่า "เลดิง" (leding) กองทัพเรือมิได้เคลื่อนออก โดยพระองค์ทรงเตรัยมการที่จะยึดครองดัชชีชเลสวิก เนื่องจากภัยคุกคามศัตรูที่สำคัญอย่างจักรพรรดิไฮน์ริชที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งไม่ทรงเป็นมิตรกับทั้งเดนมาร์กและฟลานเดอส์ พระเจ้าคานูททรงเกรงราชภัยจากการรุกรานของจักรพรรดิไฮน์ริช ที่ซึ่งศัตรูของพระจักรพรรดิอย่าง รูดอล์ฟแห่งไรน์เฟลเดนได้ลี้ภัยอยู่ในเดนมาร์ก
เหล่านักรบในกองทัพเรือซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชน ต้องการที่จะกลับบ้านเดิมของตนในฤดูเก็บเกี่ยว ทั้งเหนื่อยล้าจากการรอคำสั่ง ที่ซึ่งได้เลือกให้พระอนุชาของพระเจ้าคานูทคือ เจ้าชายโอลาฟ (ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าโอลาฟที่ 1 แห่งเดนมาร์ก)ให้ทรงแก้ไขปัญหา สิ่งนี้ได้นำมาซึ่งความระแวงในตัวเจ้าชายโอลาฟของพระเจ้าคานูท พระองค์จึงมีพระบัญชาให้จับกุมเจ้าชายโอลาฟและส่งไปยังฟลานเดอส์ ในที่สุดกลุ่มเลดิงก็กระจายตัวและประชาชนต่างกลับไปทำการเกษตรในภูมิลำเนาของตน แต่พระเจ้าคานูทก็ทรงวางแผนที่จะระดมพลภายในปีนั้น
ก่อนที่จะมีการระดมพล ประชาชนได้ก่อจลาจลที่เวนด์ซิสเซล ที่ซึ่งพระเจ้าคานูททรงประทับอยู่ ในต้นปีค.ศ. 1086 (พ.ศ. 1629) ในช่วงแรกพระเจ้าคานูททรงลี้ภัยไปยังชเลสวิกและในที่สุดเสด็จมาที่ออเดนส์ ในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1086 (พ.ศ. 1629) พระเจ้าคานูทและข้าราชบริพารของพระองค์กำลังพาผู้ลี้ภัยเข้ามายังสำนักสงฆ์เซนต์อัลบานในออเดนส์ กลุ่มกบฏได้บุกเข้ามาในสำนักสงฆ์และปลงพระชนม์พระเจ้าคานูท รวมทั้งพระอนุชาของพระองค์ เจ้าชายเบเนดิกต์และข้าราชบริพาร 17 คนก่อนที่จะถึงแท่นบูชา สิริพระชนมายุราว 43 - 44 พรรษา จากการที่ทรงเป็นมรณสักขี ทำให้ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นนักบุญในรัชสมัยต่อมาของสมเด็จพระเจ้าโอลาฟที่ 1 พระอนุชาซึ่งเคยถูกพระองค์เนรเทศ การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าคานูท นักบุญถือเป็นจุดสิ้นสุดยุคสมัยแห่งไวกิงของเดนมาร์ก
ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 12 เดนมาร์กได้มีที่นั่งในภาคคริสตจักรอย่างเป็นอิสระในสแกนดิเนเวีย ไม่นานหลังจากนั้นสวีเดนและนอร์เวย์ได้สถาปนาตำแหน่งหัวหน้าบิชอปเองโดยเป็นอิสระจากเดนมาร์ก ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งยากของเดนมาร์ก สงครามกลางเมืองที่รุนแรงได้ทำให้แผ่นดินสะเทือน ในที่สุดพระเจ้าวาลเดมาร์ที่ 1 มหาราชแห่งเดนมาร์ก ทรงควบคุมอาณาจักร ทรงทำให้มั่นคงและปรับโครงสร้างการจัดการ พระเจ้าวาลเดมาร์ที่ 1 และแอบซาลอน ผู้ดำรงเป็นบิชอปแห่งรอสคิลด์ได้สร้างประเทศขึ้นใหม่
ในช่วงรัชกาลของพระเจ้าวาลเดมาร์ที่ 1 ได้มีการเริ่มต้นก่อสร้างปราสาทในหมู่บ้านฮาฟน์ ในที่สุดนำไปสู่การสถาปนาโคเปนเฮเกน เมืองหลวงสมัยใหม่ของเดนมาร์ก พระเจ้าวาลเดมาร์และแอบซาลอนได้สร้างเดนมาร์กให้เป็นมหาอำนาจหลักในทะเลบอลติก เป็นอำนาจที่ภายหลังได้แข่งขันกับสันนิบาตฮันเซียติก, บรรดาเคานท์แห่งโฮลชไตน์และอัศวินทิวทอนิกในการค้า ดินแดน และอิทธิพลต่อบอลติกทั้งหมด ในปีค.ศ. 1168 (พ.ศ. 1711) พระเจ้าวาลเดมาร์และแอบซาลอนได้รับฐานที่มั่นคงในชายหาดทางใต้ของทะเลบอลติก เมื่อทรงปราบปรามราชรัฐรือเกินได้
ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1180 เม็กเคลนบวร์กและดัชชีพอเมอเรเนียได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กเช่นกัน ในแคว้นใหม่ทางใต้ ชาวเดนส์ได้ส่งเสริมศาสนาคริสต์(ภารกิจของชาวรานี พระอารามเหมือนอัลเดนาแอบบี)และการตั้งถิ่นฐาน(การร่วมของเดนมาร์กในออสเซียดลุงก์) ชาวเดนส์สูญเสียดินแดนทางใต้หลังจากสมรภูมิบอร์นโฮวีด แต่ราชรัฐรือเกินยังคงอยู่กับเดนมาร์กจนกระทั่งค.ศ. 1325 (พ.ศ. 1868)
ในปีค.ศ. 1202 (พ.ศ. 1745) พระเจ้าวาลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์กทรงขึ้นครองราชย์และทรงก่อ "สงครามครูเสด" หลายครั้งเพื่ออ้างสิทธิในดินแดนซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศเอสโตเนีย มีตำนานว่าธงชาติเดนมาร์กคือ ธงแดนเนอบรอกได้ปลิวมาจากท้องฟ้าในสมรภูมิลินดันนิสเซในเอสโตเนียปีค.ศ. 1219 (พ.ศ. 1762) เดนมาร์กได้ชัยชนะสูงสุดในสมรภูมิบอร์นโฮวีดในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1227 (พ.ศ. 1770) ต่อมาด้วยการเสียดินแดนเยอรมันตอนเหนือของเดนมาร์ก พระเจ้าวาลเดมาร์เองก็ทรงได้รับการบันทึกในวีรกรรมที่กล้าหาญของอัศวินชาวเยอรมันผู้ซึ่งคุ้มครองพระองค์อย่างปลอดภัยบนม้าของเขา
ในช่วงเวาลาที่พระเจ้าวาลเดมาร์ทรงพยายามจัดการกิจการภายใน หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงคือพระองค์ทรงก่อตั้งระบอบศักดินาที่ซึ่งพระองค์ได้มอบที่ดินแก่บุรุษด้วยความเข้าพระทัยว่าพวกเขาจะเป็นหนี้บุญคุณพระองค์ การทำเช่นนี้ช่วยเพิ่มอำนาจของตระกูลขุนนาง (เดนมาร์ก: h?jadelen) และก่อให้เกิดขุนนางขนาดเล็ก (เดนมาร์ก: lavadelen) ผู้ซึ่งควบคุมเดนมาร์กส่วนใหญ่ ชาวนาสูญเสียสิทธิในแบบดั้งเดิมและสิทธิพิเศษที่พวกเขาเคยมีความสุขตั้งแต่สมัยไวกิง
พระมหากษัตริย์เดนมาร์กทรงมีความยากลำบากในการควบคุมรักษาสถานะของราชอาณาจักรในการเผชิญหน้ากับฝ่ายต่อต้านทั้งจากชนชั้นขุนนางและศาสนจักร เป็นการขยายระยะเวลาความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งโรม ที่เรียกว่า "ข้อพิพาทรองบาทหลวง" (archiepiscopal conflicts)
โดยในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 พระราชอำนาจได้ลดลงเรื่อยๆและขุนนางได้บีบบังคับให้พระมหากษัตริย์ทรงยอมรับกฎบัตรซึ่งได้มีการพิจารณาให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของเดนมาร์ก ที่ตามมาคือสมรภูมิบอร์นโฮวีดในปีค.ศ. 1227 เดนมาร์กที่อ่อนแอได้ให้หน้าต่างแห่งโอกาสแก่ทั้งสันนิบาตฮันเซียติกและเคานท์แห่งชอนบวร์กและโฮลชไตน์ เคานท์แห่งโฮลชไตน์ได้ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเดนมาร์กเพราะพระมหากษัตริย์จะพระราชทานที่ดินแก่พวกเขาเป็นการแลกเปลี่ยนสำหรับเงินเพื่อการดำเนินการในกิจการของพระราชวงศ์
พระเจ้าวาลเดมาร์ที่ 2 ทรงใช้พระชนม์ชีพที่เหลือของพระองค์ในการวางรากฐานประมวลกฎหมายแก่คาบสมุทรจัตแลนด์, เกาะเชลลันด์และสคาเนีย ประมวลกฎหมายเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นประมวลกฎหมายของเดนมาร์กจนกระทั่งค.ศ. 1683 (พ.ศ. 2226) นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่สำคัญจากกฎหมายท้องถิ่นที่รวมตัวกันทางภูมิภาค (เดนมาร์ก: landting) ที่เคยเป็นธรรมเนียมมาอย่างยาวนาน มีวิธีการหลายวิธีในการกำหนดความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ทำผิดกฎหมายรวทั้งการพิจารณาโดยทดสอบและการพิจารณาโดยต่อสู้ ประมวลกฎหมายจัตแลนด์ (เดนมาร์ก: Jyske Lov) ได้รับการอนุมัติโดยประชุมของสภาขุนนางที่วอร์ดิงบอร์กในปีค.ศ. 1241 (พ.ศ. 1784) เพียงก่อนการสวรรคตของพระเจ้าวาลเดมาร์ เนื่อมาจากสถานะของพระองค์คือ "พระมหากษัตริย์แห่งเดนเนบอร์ก" (the king of Dannebrog) และทรงเป็นผู้บัญญัติกฎหมาย พระเจ้าวาลเดมาร์ทรงเป็นศูนย์กลางในประวัติศาสตร์เดนมาร์ก ถึงสงครามกลางเมืองของชนรุ่นหลังและการสลายตัวที่เกอดขึ้นหลังจากการสวรรคตของพระองค์ได้ทำให้พระองค์กลายเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งยุคทอง
ยุคกลางเป็นช่วงเวลาที่มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างพระมหากษัตริย์และโรมันคาทอลิก อาคารโบสถ์จำนวนหลายพันถูกสร้างขึ้นทั่วประเทศในช่วงเวลานี้ เศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ฐานส่วนใหญ่มาจากความร่ำรวยในการค้าปลาแฮร์ริ่ง แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 กลายเป็นช่วงเวลาของความยุ่งยากและการล่มสลายชั่วคราวของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์