ประตูบรันเดนบูร์ก (เยอรมัน: Brandenburger Tor) เป็นอดีตประตูเมืองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นประตูชัยที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิก (Neoclassical) และปัจจุบันถือว่าเป็นสถานที่สำคัญที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีใน กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ประตูบรันเดนบูร์กตั้งอยู่ฝั่งตะวันของใจกลางกรุงเบอร์ลินบริเวณชุมทางระหว่างถนนหลวงอุนเทอร์ เดน ลินเดน (Unter den Linden) กับถนนอีบัทสทราสเซ่ (Ebertstra?e) และอยู่ทางทิศตะวันตกของจัตุรัสพาริเซอร์ (Pariser Platz) ห่างประตูออกไปทางเหนือหนึ่งบล็อก เป็นที่ตั้งของ อาคารรัฐสภาไรชส์ทาค
ประตูแห่งนี้เป็นอนุสรณ์ของทางเข้าสู่ถนนอุนเทอร์ เดน ลินเดน ซึ่งเป็นถนนหลวงที่มีชื่อเสียงมาจากต้นลินเดน (บางที่เรียกต้นทิเลีย หรือต้นไลม์) ซึ่งเป็นถนนที่ตรงไปสู่พระราชวังเมือง (Stadtschloss/Berlin City Palace) ของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรปรัสเซีย (Prussia) พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 2 แห่งปรัสเซียทรงมีรับสั่งให้สร้างประตูบรันเดนบูร์กเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2331 ถึงปี 2334 โดยนายคาร์ล ก็อทท์ฮาร์ด แลงฮานส์ แล้วได้รับความเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาประตูบรันเดนเบิร์กก็ได้รับการบูรณะจนเสร็จสิ้นในช่วงปีพุทธศักราช 2543 ถึง 2545 โดยมูลนิธิอนุรักษ์อนุสาวรีย์เบอร์ลิน (Stiftung Denkmalschutz Berlin)
ในช่วงหลังสงครามที่ได้แบ่งประเทศเยอรมนีออกเป็นสองส่วน ประตูบรันเดนบูร์กตั้งอยู่ในเยอรมนีตะวันออก และได้แยกออกจากเยอรมนีตะวันตก ซึ่งมีกำแพงเบอร์ลินกั้นไว้ บริเวณโดยรอบประตูถือว่าเป็นจุดเด่นที่เด่นชัดที่สุดในการคุ้มครองสื่อในการเผยแพร่การเปิดผนังกำแพงในปีพุทธศักราช 2532 ตั้งแต่มีการสร้างประตู บ่อยครั้งเกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเยอรมนีในบริเวณประตูบรันเดนบูร์ก และวันนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความปั่นป่วนในประวัติศาสตร์ยุโรป แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพและสันติภาพของยุโรปด้วย
ปีพุทธศักราช 2231 ในรัชสมัยของพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 1 หลังผ่านเหตุการณ์สงครามสามสิบปี และก่อนการสร้างประตูบรันเดนบูร์กไม่นาน กรุงเบอร์ลินนั้นเต็มไปด้วยทางเดินเล็กๆ ภายในป้อมดาว (star fort) ที่มีประตูมากมายหลายชื่อ แต่ประตูบรันเดนเบิร์กไม่ใช่ส่วนหนึ่งของป้อมปราการเก่า แต่หนึ่งใน 18 ประตูของกำแพงเข้าเมืองเบอร์ลิน (Berlin Customs Wall) ซึ่งถูกสร้างในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1730 โดยสร้างทับไปกับป้อมปราการเก่าขยายไปถึงชานเมือง
ประตูบรันเดนบูร์กถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 2 เพื่อเป็นตัวแทนแห่งสันติภาพ ประตูถูกออกแบบโดยคาร์ล ก็อทท์ฮาร์ด แลงฮานส์ผู้อำนวยการสำนักงานศาลสิ่งก่อสร้าง ประตูบรันเดนบูร์กใช้เวลาก่อสร้างระหว่างปี พ.ศ. 2331 ถึง พ.ศ. 2334 เพื่อทดแทนประตูดั้งเดิมของกำแพงเข้าเมืองเบอร์ลิน ประตูนี้ประกอบไปด้วยเสาแบบดอริก 12 ต้น ด้านละ 6 ต้น และมี 5 ช่องทางเดิน ประชาชนทั่วไปอนุญาตให้เดินผ่านแต่ช่องทางเดินริมสุดของทั้งสองด้านเท่านั้น บนสุดเป็นปฏิมากรรมรูปควอดริก้า ซึ่งก็คือรถม้าลาก มีม้า 4 ตัว เป็นราชรถของวิคตอเรีย เทพแห่งชัยชนะ
ประตูบรันเดนบูร์กออกแบบโดยมีประตูโพรไพเลีย (Propylaea) ของป้อมปราการอะโครโพลิส กรุงเอเธนส์เป็นต้นแบบ ผสมผสานกับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของเบอร์ลินในยุคคลาสสิค (ยุคแรก, บารอก, และพาลเลเดียน) และปฏิมากรรมควอดริก้าถูกแกะสลักโดยโจฮานน์ ก็อทฟริด ชาโดว์
ตั้งแต่มันถูกสร้างเสร็จ รูปแบบหลักของประตูบรันเดนบูร์กยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นเช่นไรก็ตามในช่วงประวัติศาสตร์เยอรมนีหลังจากนั้น ต่อมา (พ.ศ. 2349) ปรัสเซียได้พ่ายแพ่สงครามในสมรภูมิจีน่า-ออสเตรดท์ (Battle of Jena-Auerstedt) นโปเลียน โบนาปาร์ตก็เป็นบุคคลแรกที่ใช้ประตูบรันเดนบูร์กจัดขบวนแห่ฉลองชัย และได้เอาควอดริก้ากลับไปยังกรุงปารีส
หลังจากนโปเลียนแพ้สงครามในปี พ.ศ. 2357 อาณาจักรปรัสเซียเข้ายึดครองกรุงปารีสโดยนายพลเอิร์นส์ ฟอน ฟิว (Ernst Von Pfuel) และได้นำเอาควอดริก้ากลับมาบูรณะยังกรุงเบอร์ลิน ทั้งยังได้เพิ่มมงกุฎใบโอ้คให้เทพวิคตอเรีย และเพิ่มสัญลักษณ์กางเขนเหล็ก (Iron cross) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ใหม่ที่แสดงอำนาจของปรัสเซีย และหัวหน้าไปทางทิศตะวันออกเช่นเดิมที่เคยเป็นมา โดยทั่วไปแล้วมีแค่พระราชวงศ์เท่านั้นที่อนุญาตให้ผ่านทางเดินช่องกลาง แต่กระนั้นตระกูลของฟิวและเหล่าเอกอัคราชทูตที่มาส่งสาส์นให่แก่สภาก็ได้รับอนุญาตให้ผ่านทางเดินช่องกลางด้วยเช่นกัน
เมื่อกองทัพนาซีขึ้นมามีอำนาจก็ได้ใช้ประตูแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของพรรค ประตูบรันเดนบูร์กรอดพ้นจากสงครามโลกครั้งที่สองมาได้ แต่ก็ได้รับความเสียหายมากจากกระสุนและระเบิดที่เกิดขึ้นบริเวณใกล้เคียง ชิ้นส่วนโครงสร้างบางส่วนยังคงอยู่ในจัตุรัสพาริเซอร์ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ที่สถาบันวิจิตรศิลป์ (Academy of Fine Arts) ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจากที่เยอรมันยอมยกธงขาวและสงครามสิ้นสุดลง คณะบริหารของเบอร์ลินตะวันออกและเบอร์ลินตะวันตกได้ร่วมกันซ่อมแซมบูรณะประตูขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังเห็นรอยปะรอยซ่อมแซมอยู่นานหลายปีหลังการบูรณะ
ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2533 ควอดริก้าถูกย้ายออกจากประตู เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการปรับปรุงโดยเจ้าหน้าที่ของเยอรมันตะวันออก หลังจากการทำลายกำแพงเบอร์ลินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2533 ประเทศเยอรมนีก็รวมกันอย่างเป็นทางการ
ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ประตูบรันเดนบูร์กได้รับการตกแต่งฟื้นฟูใหม่โดยองค์กรเอกชน ใช้งบประมาณ 6 ล้านยูโร
ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ครบรอบ 12 ปีของการรวมประเทศเยอรมนี ประตูบรันเดนบูร์กก็เปิดตัวครั้งใหม่ หลังจากได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมอย่างมากมาย
ปัจจุบันประตูบรันเดนบูร์กไม่อนุญาตให้รถยนต์สัญจรผ่าน พื้นที่ส่วนใหญ่ของจัตุรัสพาริเซอร์เป็นถนนคนเดินที่ปูด้วยหิน มีถนน 17 มิถุนา (Stra?e des 17. Juni) ผ่านทางทิศตะวันตกของประตู ประตูบรันเดนบูร์กถือว่าเป็นรวมตัวจุดหนึ่งของเบอร์ลินที่ผู้คนนับล้านรวมตัวกันเพื่อชมการแสดงบนเวที, งานเฉลิมฉลอง, และชมดอกไม้ไฟที่จุดขึ้นตอนเที่ยงคืนของคืนวันปีใหม่
ยานพาหนะและคนเดินถนนสามารถท่องเที่ยวชมประตูบรันเดนบูร์กได้ฟรี ประตูบรันเดนบูร์กตั้งอยู่ในเยอรมนีตะวันออกในช่วงที่ยังคงมีกำแพงเบอร์ลินอยู่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ช่องข้ามกำแพงเบอร์ลินบางส่วนถูกเปิดออกมาจากเยอรมนีตะวันออก โดยทั่วไปแล้วช่องข้ามนี้จะไม่เปิดให้ชาวเบอร์ลินตะวันออกหรือชาวเยอรมันตะวันออกข้ามไปแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาเหล่านั้นจะขอวีซ่าเดินทางออกนอกประเทศไปไหนได้ ในวันที่ 14 ตุลาคม ชาวเยอรมันตะวันตกได้รวมตัวกันบริเวณกำแพงฝั่งตะวันตกเพื่อแสดงการต่อต้านการมีอยู่ของกำแพงเบอร์ลิน ท่ามกลางกระแสของนายกเทศมนตรีเบอร์ลินตะวันตก นายวิลลี่ แบรนด์ท ผู้ที่กลับมาจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งระดับชาติของเยอรมนีตะวันตกในช่วงรุ่งสางของวันเดียวกัน
ภายใต้ข้ออ้างที่เหล่าผู้ชุมนุมประท้วงจากเยอรมนีตะวันตกต้องการ เยอรมนีตะวันออกได้ทำการปิดด่านตรวจคนเข้าเมืองบริเวณประตูบรันเดนบูร์กในวันเดียวกัน จนกว่าจะมีการประกาศสถานการณ์ที่เป็นไปจนถึงวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2532
กำแพงถูกสร้างเป็นทางโค้งล้ำไปทางทิศตะวันตก ตัดขาดการเข้าถึงกับเบอร์ลินตะวันตก ทางฝั่งตะวันออกมีกำแพงเล็กๆ เรียกว่า "Baby Wall" กั้นอยู่สุดทางของจัตุรัสพาริเซอร์ เป็นการจำกัดการเข้าถึงของชาวเยอรมันตะวันออกเช่นกัน
เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2532 มีการทำลายกำแพงเบอร์ลิน ประตูบรันเดนบูร์กจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพและความปรารถนาในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเบอร์ลิน คนนับพันชุมนุมกันที่บริเวณกำแพงเพื่อเฉลิมฉลองการพังทลายของมันในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 ต่อมาวันที่ 22 ธันวาคมปีเดียวกัน ทางข้ามกำแพงตรงประตูบรันเดนบูร์กก็เปิดอีกครั้งโดยนายเฮลมุต โคห์ล นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนีตะวันตก เมื่อเขาเดินผ่านทางข้ามก็ได้รับการต้อนรับจากนายฮานส์ โมโดรว นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนีตะวันออก ส่วนการรื้อถอนกำแพงส่วนที่เหลือก็เกิดขึ้นในปีถัดไป
ประตูบรันเดนบูร์กกลายเป็นสถานที่หลักในการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินหรือ "เทศกาลแห่งอิสรภาพ" (Festival of Freedom) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จุดสนใจของงานนี้คือการล้มกระเบื้องโฟมโดมิโนสีสันสดใสสูง 2.5 เมตรกว่า 1000 ชิ้น ที่ตั้งอยู่ตามเส้นแนวกำแพงเก่ากลางเมืองเบอร์ลิน มาบรรจบชนกันพอดีตรงประตูแห่งนี้
ธงของสหภาพโซเวียตโบกสะบัดอยู่ยอดเสาบนของประตูบรันเดนบูร์กตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 จนถึง พ.ศ. 2500 ต่อมาเปลี่ยนเป็นธงของเยอรมันตะวันออกแทน จนกระทั่งประเทศเยอรมนีรวมเป็นหนึ่ง ก็ได้นำเอาธงและเสาธงออกจากประตูบรันเดนบูร์ก
ในปี พ.ศ. 2506 จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเดินทางมาบริเวณประตูบรันเดนบูร์ก โซเวียตทำการแขวนป้ายสีแดงขนาดใหญ่เพื่อป้องกันมิให้เขามองเข้ามายังเยอรมนีตะวันออก
ในคริสต์ทศวรรษที่ 1980 การสืบข่าวระหว่างเยอรมันทั้งสองฝั่งยังคงเกิดขึ้น นายริชาร์ด ฟอน ไวซ์แซคเกอร์นายกเทศมนตรีของเยอรมนีตะวันตกในขณะนั้นกล่าวว่า "ความคลางแคลงใจของชาวเยอรมันยังคงมีอยู่ตราบใดที่ประตูบรันเดนบูร์กยังถูกปิด"
ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2530 โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ปราศัยแก่ชาวเยอรมนีตะวันตกบริเวณประตูบรันเดนบูร์ก ว่ามีความประสงค์อยากจะรื้อถอนกำแพงเบอร์ลิน โดยได้กล่าวถึงเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตมีฮาอิล กอร์บาชอฟว่า
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2532 เกือบสองเดือนหลังจากกำแพงเริ่มถูกทำลาย นายเลนนาร์ด เบิร์นสไตน์ วาทยกรชื่อดังชาวอเมริกัน ร่วมกับคณะซิมโฟนีเบอร์ลิน บรรเลงเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ของลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน ที่ประตูบรันเดนบูร์ก ในตอนจบของเพลงได้เปลี่ยนคำร้องของคณะประสานเสียงจาก "Joy" ที่แปลว่าความปีติยินดี เป็น "Freiheit" ที่แปลว่าอิสรภาพ เพื่อเฉลิมฉลองการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินและการรวมประเทศที่ใกล้ที่เกิดขึ้น
วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 ประธานาธิดีสหรัฐอเมริกาบิล คลินตัน ได้ปราศัยถึงสันติภาพหลังสงครามเย็นในยุโรป ที่ประตูแห่งนี้
วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมนี ร่วมด้วยนายมีฮาอิล กอร์บาชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต และนายเลช วาเลซาอดีตประธานาธิบดีโปแลนด์ในช่วงที่เกิดการทุบทำลายกำแพง ได้เดินทางไปยังประตูบรันเดนบูร์กเพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครบ 20 ปีการพังทลายกำแพงเบอร์ลิน
วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554 วันครบรอบ 50 ปีของการสร้างกำแพงเบอร์ลิน มีการรำลึกและไว้อาลัยแก่ผู้ที่เสียชีวิตจากความพยายามที่จะหนีไปยังฝั่งตะวันตก นายเคล้าส์ โวเวอไรท์ นายกเทศมนตรีกรุงเบอร์ลินกล่าวว่า "มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกันที่จะระลึกถึงการที่มีชีวิตอยู่และที่จะผ่านไปยังคนรุ่นต่อไป เป็นการยืนหยัดเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยเพื่อให้แน่ใจว่าความอยุติธรรมจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง" ส่วนนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ผู้ที่เกิดในส่วนที่เป็นเยอรมนีตะวันออก ได้เข้าร่วมระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ประธานาธิบดีเยอรมนีนายคริสเตียน วูล์ฟฟ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "มันได้แสดงให้เห็นว่า เสรีภาพจะคงอยู่ยืนนานให้ตอนจบ ไม่มีกำแพงใดถาวรที่จะปิดกั้นความปรารถนาต่ออิสรภาพ"