บิกินี (อังกฤษ: bikini) โดยทั่วไปคือชุดว่ายน้ำสองชิ้นซึ่งประกอบด้วยท่อนล่างในลักษณะกางเกงชั้นในที่ปกปิดช่วงขาหนีบและบั้นท้ายของผู้หญิง และท่อนบนลักษณะเสื้อชั้นในที่ปกปิดหน้าอก ซึ่งเปิดเผยร่างกายในส่วนกลางลำตัว รวมทั้งสะดือและเอว ขนาดของบิกินีชิ้นล่างมีหลากหลายตั้งแต่ปกปิดเต็ม จนถึงที่เปิดเผยแบบ ธองหรือจีสตริง
บิกินีในยุคใหม่ทำให้เป็นที่นิยมโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส หลุยส์ เรอาด์ และแฟชั่นดีไซเนอร์ ณาคส์ เอียม ณ กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2489 การริเริ่มนำมาใช้ก่อให้เกิดข้อขัดแย้ง และหลายประเทศทางตะวันตกมีการห้ามในบริเวณชายหาดและพื้นที่สาธารณะหลายแห่ง โดยทางสำนักวาติกัน ได้ประกาศให้เป็นสิ่งซึ่งผิดศีลธรรม บิกินีได้รับความนิยมขึ้นโดย บรีฌิต บาร์โด และ เออร์ซูล่า แอนเดรส และได้กลายมาเป็นที่ใช้กันทั่วไปในประเทศตะวันตกในช่วงกลางยุค 1960s (ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 ถึง 2512)
บิกินีรูปแบบดั้งเดิมที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดวัฒนธรรมร่วมสมัย ให้ความหมายเชิงบวกโดยใช้คำที่แสดงความหลากหลายในการอธิบายรูปแบบของชุดที่หลายหลายเช่นกัน รูปแบบต่างๆ นี้ถูกใช้เพื่อการส่งเสริมทางการโฆษณาเป็นหลัก และเพื่อการจัดหมวดหมู่ในอุตสาหกรรมซึ่งไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับคนทั่วไป โดยถูกเรียกรวมว่าเป็นบิกินีรูปแบบต่างๆ บิกินีรูปแบบต่างๆ มักมีชื่อที่ลงท้ายด้วย –กินี และ -อินี เช่น ไมโครกินี แทงกินี ไตรกินี พิวบิกินี แบนโดกินี และ สเกิร์ตตินี คำที่ใช้เรียก และคำที่สร้างขึ้นใหม่ได้ถูกนำมาใช้โดยไม่เกี่ยวกับบิกินีแบบดั้งเดิมที่หมายถึงชุดว่ายน้ำสองชิ้นของผู้หญิง เช่น นำไปใช้อธิบายถึงแบบชุดชั้นในผู้ชายและผู้หญิง ไปจนถึงบิกินี แวกซ์ และ คำอธิบายอื่นๆ โมโนกินี หมายถึงชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวแบบเปลือยท่อนบนของผู้หญิง และ บิกินีผู้ชาย (เรียก แมนกินี) อาจหมายถึงกางเกงว่ายน้ำของผู้ชาย หรือ ชุดชั้นในแบบ บิกินี สลิงบิกินี คือชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวที่ตัดส่วนเนื้อผ้าออกไปมาก
การออกแบบชุดว่ายน้ำแบบสองชิ้นปรากฏขึ้นในสมัยคลาสสิก ส่วนการออกแบบยุคใหม่ออกสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2489 วิศวกรเครื่องกลชาวฝรั่งเศส หลุยส์ เรอาด์ ได้เปิดเผยการออกแบบชุดที่เขาเรียกว่า “บิกินี” โดยนำชื่อมาจากเกาะบิกินีอะทอลล์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งก่อนหน้านั้นสี่วัน สหรัฐอเมริกาได้เริ่มทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก เป็นส่วนของโครงการ โอเปอเรชั่น ครอสโรด ชื่อภาษาอังกฤษของเกาะมาจากชาวเยอรมันชื่อ บิกินี ที่ตั้งให้เกาะอะทอลล์ขณะที่เป็นส่วนหนึ่งของ เยอรมัน นิวกินี ซึ่งเป็นการรับเอาคำของภาษามาร์แชลมาใช้ จากชื่อ พิกินนี ([p?i?????in??ii?]), หมายถึง ผิวของมะพร้าว เรอาด์ หวังว่าชุดว่ายนู้ปแบบที่เปิดเผยของเขาจะสามารถสร้างปรากฏการณ์นิยมอย่างดังระเบิดได้ทั้งทางการตลาดและในเชิงวัฒนธรรม เช่นเดียวกับการระเบิดที่เกาะบิกินีอะทอลล์ R?ard hoped his swimsuit's revealing style would create an "explosive commercial and cultural reaction" similar to the explosion at Bikini Atoll. ชื่อสำหรับชุดของเขาจึงเป็นที่ติดหูของสื่อมวลชนและสาธารณชน
ถึงแม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงทางภาษา เช่น bilingual และ bilateral ที่มีคำนำภาษาละตินว่า “bi-” (แปลว่า “สอง” ในภาษาละติน) คำว่า บิกินี กลายคำมาจากคำสองส่วน [bi+kiji] โดย รูดิ เกิร์นไรค ผู้แนะนำ โมโนกินี ในปี พ.ศ. 2507 Later swimsuit designs like the tankini and trikini further cemented this false assumption. ชุดว่ายน้ำรูปแบบต่อมา เช่น แทงกินี และ ไตรกินี ยิ่งทำให้ยึดติดกับการทึกทักความหมายที่ผิดนี้มากขึ้น เวลาต่อมา คำในหมวด –กินี (ตั้งชื่อโดยนักเขียน วิลเลียม ซาไฟร์) รวมถึงหมวดคำ –อินี (ตั้งชื่อโดยดีไซเนอร์ แอนน์ โคล) บิกินีได้กลายมาสู่รูปแบบที่หลากหลาย โดยมากมักจะมีชื่อเฉพาะที่แปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น โมโนกินี (นูโมกินี หรือ ยูนิกินี) ซีกินี แทงกินี คามิกินี ไฮกินี (ฮิปกินี) มินิกินี และ ไมโครกินี
จุดเริ่มต้นของชุดว่ายน้ำสองชิ้นสามารถย้อนไปถึงยุคโบราณที่เมือง ชาตัลเฮอยืค ในภาพแสดงเทพธิดาทรงเสือดาวสองตัว โดยสวมชุดแต่งกายในลักษณะคล้ายบิกินี และในสมัยจักรวรรดิเกรโก-โรมัน ซึ่งปรากฏภาพชุดแต่งกายเหมือนบิกินีที่นักกีฬาหญิงสวมใส่ บนโกศและภาพวาดในสมัย 1400 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในภาพชุด Coronation of the Winner งานโมเสกบนพื้นของโรมันวิลลาในซิซิลี ซึ่งอยู่ในช่วงยุคไดโอเคลเตียน (ค.ศ. 286-305) แสดงภาพหญิงสาวที่ร่วมการแข่งขันยกน้ำหนัก ขว้างจักร และ เลี้ยงลูกบอลในชุดคล้ายบิกินี (แบนโดกินี ในสมัยปัจจุบัน) ภาพโมเสก ที่ถูกพบในวิลลาโรมานา เดล คาซาเล ของซิซิลี แสดงภาพหญิงสาวสิบคนซึ่งถูกเรียกชื่อดูไม่เข้ากับยุคสมัยว่า “บิกินี เกิร์ล” โบราณคดีโรมัน ค้นพยภาพวาดเทพีวีนัส ในเครื่องแต่งกายที่คล้ายกัน ในปอมเปอี ภาพวาดของเทพีวีนัสได้ถูกค้นพบใน คาซาเดลลาเวเนเร ในห้องทำงานของบ้านฟีลิกซ์จูเลีย และในสวนกลางอาคารของ เวีย เดล แอบบอนแดนซา
การว่ายน้ำหรืออาบน้ำกลางแจ้งไม่ได้รับการสนับสนุนจากคริสเตียนตะวันตก ส่งผลให้อุปสงค์หรือความต้องการชุดว่ายน้ำหรือชุดอาบน้ำมีน้อยจนกระทั่งศตวรรษที่ 18 ชุดอาบน้ำสำหรับศตวรรษที่ 18 คือชุดเสื้อคลุมยาวกรอมเท้า ในแบบเสื้อตัวหลวมที่มีแขนยาวทำมาจากขนแกะหรือผ้าสักหลาด ความพอประมาณหรือความสุภาพจึงไม่ถูกคุกคาม
ในปี พ.ศ. 2450 แอนเนตต์ เคลเลอร์แมน นักว่ายน้ำและนักแสดงชาวออสเตรเลีย ถูกจับกุมที่ชายหาดบอสตัน จากการสวมใส่ชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวแขนกุดที่รัดรูปปกปิดจากคอถึงนิ้วเท้าโดยเป็นชุดที่เธอรับแบบมาจากอังกฤษ ถึงแม้ว่าชุดว่ายน้ำสำหรับผู้หญิงจะเป็นที่ยอมรับกันในบางส่วนของยุโรปในปี พ.ศ. 2453 แล้วก็ตาม ในปี พ.ศ. 2456 คาร์ล แจนแซ่น ดีไซเนอร์ผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันว่ายน้ำหญิงในโอลิมปิก ได้ออกแบบชุดว่ายน้ำสองชิ้นชุดแรกขึ้น ชุดรัดรูปชิ้นเดียวที่ท่อนล่างเป็นขาสั้น และท่อนบนเป็นแขนสั้น
ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2463 และปี พ.ศ. 2473 ผู้คนเริ่มเปลี่ยนจาก “การลงเล่นน้ำ” ไปเป็น “การอาบแดด” ที่โรงอาบน้ำ และ สปา การออกแบบชุดว่ายน้ำจึงเปลี่ยนจากการเน้นด้านการใช้งานไปเป็นเพื่อประดับตกแต่ง เรยอน ถูกนำมาใช้ในช่วงปี พ.ศ. 2463 ในการผลิตชุดว่ายน้ำแบบรัดรูป หากแต่ความทนทานโดยเฉพาะเมื่อเปียกน้ำยังคงเป็นปัญหา มีการนำผ้ายืด และ ผ้าไหม มาใช้บ้าง ในปี พ.ศ. 2473 ผู้ผลิตได้ลดระดับคอเสื้อให้ต่ำลง เอาแขนเสื้อออก และปรับด้านข้างให้กระชับตัวขึ้น ด้วยผ้าแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะผ้ายางเลเท็กซ์ และ ผ้าไนล่อน ตลอดช่วงปี พ.ศ. 2473 เป็นต้นมา ชุดว่ายน้ำค่อยๆ รัดรูปมากขึ้นโดยมีสายคล้องไหล่ที่สามารถปลดลงได้เพื่อการทำให้ผิวสีแทน
ชุดว่ายน้ำของผู้หญิงในช่วงยุคปี พ.ศ. 2473 และ ปี พ.ศ. 2483 รวมไปถึงการเพิ่มสัดส่วนของช่วงหน้าท้องที่เปิดเผยมากขึ้น นิตยสารวัยรุ่นในช่วงปลายยุคปีพ.ศ. 2483 และ ปี พ.ศ. 2493 ได้แสดงชุดว่ายน้ำรูปแบบเดียวกันที่เปิดเผยช่วงหน้าท้อง อย่างไรก็ตามแฟชั่นที่เปิดหน้าท้องนี้ คงไว้สำหรับชายหาดและงานที่ไม่เป็นทางการ โดยมองว่าไม่สุภาพสำหรับการสวมใส่ในที่สาธารณะ ฮอลลีวู้ดสนับสนุนชุดที่เย้ายวนใจนี้ในภาพยนตร์ เช่น ลูกสาวเนปจูน ซึ่ง เอสเทอร์ วิลเลียม ใส่ชุดที่ดูยั่วยวนมีชื่อ เช่น สองแง่สองง่าม (ดู-บล' อังทาง-ดร') และ เด็กน้อยที่รัก (ฮันนี ไชด์)
ในปี พ.ศ. 2489 ณ กรุงปารีส แฟชั่นดีไซเนอร์ ณาคส์ เอียม ได้เปิดตัวชุดว่ายน้ำสองชิ้นที่เรียกว่า อะตอม ตามชื่อหน่วยที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งเขาโฆษณาว่าเป็นชุดว่ายน้ำที่เล็กที่สุดในโลก ท่อนล่างของชุดว่ายน้ำนี้มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะปิดสะดือของผู้สวมใส่ได้
ในช่วงเวลาเดียวกัน หลุยส์ เรอาด์ ได้ออกแบบชุดว่ายน้ำสองชิ้นของเขาเองเพื่อมาแข่งขันกัน โดยเขาเรียกว่า เดอะ บิกินี ชุดบิกินีของเรอาด์ เหนือกว่าอะตอมของเอียมที่ความสั้นกะทัดรัด เป็นชุดในรูปแบบเสื้อชั้นในและผืนผ้าสามเหลี่ยมสองชิ้นที่ต่อกันด้วยสายผ้า โดยชิ้นล่างได้ตัดผ้าส่วนบนแบบขแงเอียมออกไป ด้วยขนาดรวมของผ้า 30 ตารางนิ้ว (200 ซ.ม.2) ด้วยลายพิมพ์แบบหนังสือพิมพ์ซึ่งใช้คำโฆษณาว่า “เล็กกว่าชุดว่ายน้ำที่เล็กที่สุด”
หลังจากที่ไม่สามารถหานางแบบมาแสดงชุดที่วาบหวิวของเขาได้ เรอาด์ได้ว่าจ้าง มิเชอลิน เบอร์นาร์ดินี นักเต้นระบำเปลื้องผ้า วัย 19 ปี จาก คาสิโน เดอ ปารีส โดยเบอร์นาร์ดินีได้รับจดหมายจากผู้ที่ชื่นชอบถึง 50,000 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
เรอาด์ กล่าวว่า “เช่นเดียวกับ [อะตอม] ระเบิด บิกินีนั้นมีขนาดเล็กและมีอำนาจทำลายล้างสูง ไดอาน่า วรีแลนด์ นักเขียนแวดวงแฟชั่นได้กล่าวถึงบิกินีว่าเป็น ระเบิดอะตอมของแฟชั่น ในงานโฆษณาเขาได้กล่าวว่าชุดว่ายน้ำไม่อาจเป็นบิกินีที่แท้จริงได้ “หากไม่สามารถดึงรอดผ่านแหวนแต่งงานได้” เลอ ฟิกาโร นักหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส เขียนว่า “ผู้คนถวิลหาความสุขง่ายๆ จากทะเล และแสงแดด สำหรับผู้หญิงแล้ว การได้ใส่ชุดบิกินีเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของการหลุดพ้นเป็นอิสระ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ หากแต่เป็นการเฉลิมฉลองในอิสรภาพและการกลับคืนสู่ความสุขในชีวิต”
ความสำเร็จของบิกินีในช่วงแรกนี้ส่วนหนึ่งจึงมาจากการจำกัดปริมาณการใช้ผ้าภายหลังสงครามดีไซน์ของเรอาด์เป็นที่นิยมส่งให้ธุรกิจของเขารุ่งเรืองในประเทศฝรั่งเศส จากข้อมูล WordIQ.com เป็นเวลานานกว่า 15 ปีที่ บิกินีจะได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2494 บิกินีถูกสั่งห้ามในเวทีการประกวดมิสเวิลด์ ในปี พ.ศ. 2500 บรีฌิต บาร์โด ใส่บิกินีในภาพยนตร์ And God Created Woman ซึ่งสร้างตลาดสำหรับชุดว่ายน้ำในสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2503 เพลงของไบรอัน ไฮแลนด์ Itsy Bitsy Teenie Weenie Yellow Polka Dot Bikini ทำให้เกิดการซื้อบิกินีอย่างมากมาย และในที่สุดบิกินีก็เป็นที่นิยม ในปี พ.ศ. 2506 ภาพยนตร์ Beach Party นำแสดงโดย แอนเน็ต ฟูนิเซลโล และ แฟรงกี้ อวาลอน นำมาซึ่งภาพยนตร์หลายเรื่องที่มีบิกินีเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมร่วมสมัย แม้ว่าดีไซน์ของเอียม จะเป็นชุดแบบแรกที่ปรากฏบนชายหาด แต่ชุดว่ายน้ำสองชิ้นรูปแบบของเรอาด์กลับเป็นบิกินีแบบที่ติดตลาด เมื่อชุดเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก คำเรียกนี้จึงกลายมาเป็นคำทั่วไปหรือคำสามัญที่ใช้สำหรับชุดว่ายน้ำสองชิ้นแทนที่แต่ดั้งเดิมใช้เรียกชื่อตราสินค้า
ดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ บิกินีเป็นมากกว่าเสื้อผ้าที่วาบหวิว แต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจ
แม้ชุดจะได้รับความสำเร็จช่วงเริ่มแรกในประเทศฝรั่งเศส ผู้หญิงทั่วโลกก็ยังคงยึดติดกับชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวแบบดั้งเดิม และเมื่อยอดขายหยุดนิ่ง เรอาด์ก็กลับไปออกแบบและขายชุดทรงหลวม แบบถูกธรรมเนียม ในปี พ.ศ. 2493 นิตยสารไทม์ สัมภาษณ์ เฟรด โคลด์ นักธุรกิจชุดว่ายน้ำชาวอเมริกัน ผู้เป็นเจ้าของบริษัทชุดว่ายน้ำตลาดแมส Cole of California กล่าวว่าเขารู้สึก “รังเกียจบิกินีที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส” เรอาด์เองก็เคยกล่าวว่า “ชุดว่ายน้ำสองชิ้นนี้เปิดเผยทุกอย่างของผู้หญิงยกเว้นเพียงชื่อกลางของเธอ” ในปี พ.ศ. 2493 นิตยสารแฟชั่นโมเดิร์นเกิร์ล เขียนว่า “ไม่จำเป็นจะต้องเปลืองคำไปกับสิ่งที่เรียกว่าบิกินี เพราะมันยากเกินจะคิดว่าผู้หญิงที่รู้จักกาลเทศะหรือมีสมบัติผู้ดีคนไหนจะใส่ชุดเช่นนี้
ในปี พ.ศ. 2494 อีริค มอเรย์ ได้จัดการประกวดบิกินี เพื่อประกวดสาวงาม และโฆษณาชุดว่ายน้ำในงานประจำปีของเทศกาลอังกฤษ สื่อมวลชนให้การตอบรับการประกวดอย่างดีโดยเรียกงานนี้ว่า มิสเวิลด์ ซึ่งมอเรย์ได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า เมื่อ กิกิ ฮาแกนสัน ผู้ชนะการประกวดจากประเทศสวีเดนได้รับการสวมมงกุฎในชุดบิกินี หลายชาติที่เคร่งในศาสนาได้ขู่ที่จะถอนตัวแทนประจำชาติออก เพื่อคลายความโกรธที่เกิดขึ้น มอเรย์จึงสั่งห้ามบิกินีในการประกวดนางงาม และเปลี่ยนเป็นชุดราตรีแทนฮาแกนสันจึงเป็นผู้ชนะการประกวดมิสเวิลด์คนเดียวที่ได้รับการสวมมงกุฎในชุดบิกินี และหลังจากนั้นบิกินีก็ถูกสั่งห้ามจากเวทีการประกวดสาวงามในหลายประเทศทั่วโลก ชุดว่ายน้ำถูกประกาศให้เป็นสิ่งซึ่งผิดศีลธรรมโดยวาติกัน และถูกสั่งห้ามในประเทศแถบชายฝั่งแอตแลนติกฝรั่งเศส เช่น สเปน เบลเยี่ยม อิตาลี โปรตุเกส และ ออสเตรเลีย อีกทั้งยังถูกห้ามหรือไม่สนับสนุนในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกา National Legion of Decency กลุ่มโรมันคาทอลิกซึ่งควบคุมดูแลเนื้อหาของสื่อในสหรัฐอเมริกาได้กดดันฮอลลีวูดจากการนำเสนอบิกินีในภาพยนตร์ต่างๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2473 มีการเริ่มใช้ระบบการเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า Hays production code สำหรับภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมาถูกยกเลิกในปีช่วงปี พ.ศ. 2503 ที่อนุญาตให้แสดงชุดว่ายน้ำสองชิ้นแต่มิให้เปิดเผยส่วนสะดือ ในปี พ.ศ. 2502 แอนน์ โคล ผู้ออกแบบชุดว่ายน้ำรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ไม่มีอะไรมากกว่า จี-สตริง มันเป็นความสุภาพเรียบร้อยในขั้นสุด”
ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2493 ดาราฮอลลีวูด เช่น เอวา การ์ดเนอร์ ริต้า เฮย์เวิร์ท ลาน่า เทอเนอร์ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ ทิน่า ลูอิส มาริลีน มอนโรเอสเทอร์ วิลเลียม และ เบ็ตตี้ เกรเบิล ได้สร้างชื่อด้วยภาพลักษณ์ที่เร่าร้อนจากการสวมใส่บิกินีถ่ายแบบ ภาพโปสเตอร์ของ เฮย์เวิร์ท และ วิลเลียมได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา ในยุโรป บรีฌิต บาร์โด ถูกถ่ายภาพขณะสวมชุดบิกินีที่ชายหาดในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองกาน ในปี พ.ศ. 2496 เช่นเดียวกับภาพของ อานิต้า เอคเบิร์ก และ โซเฟีย ลอเรน ภาพถ่ายในรูปแบบที่เย้ายวนใจของนักแสดงหรือนางแบบชื่อดังกลายเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่งผลสำคัญให้บิกินีพุ่งสู่ความนิยมในกระแสหลัก
เดอะการ์เดียนรายงานว่า ภาพของบาร์โดทำให้ เซนต์โทรเปส กลายเป็นเมืองหลวงแห่งบิกินีของโลก โดยมีบาร์โดเป็นต้นแบบของสาวงามในชุดว่ายน้ำแห่งเมืองกาน ภาพถ่ายของบาร์โดช่วยส่งให้งานเทศกาลเป็นที่รู้จัก ขณะเดียวกันงานเมืองงานก็ถือเป็นจุดหักเหสำคัญของหน้าที่การงานของเธอในปี พ.ศ. 2495 บาร์โดใส่บิกินีในภาพยนตร์ Manina, the Girl in the Bikini (พ.ศ. 2495 ฉายประเทศฝรั่งเศสในชื่อ Manina, la fille sans voiles) ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญด้วยชุดว่ายน้ำของเธอที่ดูจะเกินควรไป ในปี พ.ศ. 2496 ที่งานเทศกาลเมืองกาน บาร์โด มาร่วมงานพร้อมสามีและผู้จัดการ โรเจอร์ วาดิม ได้รับความสนใจจากช่างภาพด้วยการสวมบิกินีบนชายหาดทางตอนใต้ของฝรั่งเศส นิตยสารโว้ก เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2496 ลงภาพชุดโดยบริษัทแคลิฟอร์เนีย ไมว่าจะเป็น โคลด์ ออฟ แคลิฟอร์เนีย คาลเท็กซ์ แคทาลิน่า แอนด์ โรส แมรี่ รีดส์ เพลงของไบรอัน ไฮแลนด์ "Itsy Bitsy Teenie Weenie Yellow Polka Dot Bikini" ขึ้นอันดับ 1 ของ ชาร์ตบิลบอร์ด ในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2503 บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่เขินอายที่จะใส่บิกินีบนชายหาดโดยคิดว่ามันโป๊เปลือยเกินไป นิตยสารเพลย์บอย ขึ้นปกชุดบิกินีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2505 นิตยสารสปอร์ต อิลัสเตรท ฉบับชุดว่ายน้ำ ได้เปิดตัวในสองปีต่อมาด้วยปกของ บาเบ็ทท์ มาร์ช ในชุดบิกินีสีขาว
เออร์ซูล่า แอนเดรส สวมบทบาทฮันนีไรเดอร์ ในปี พ.ศ. 2505 ในภาพยนตร์เจมส์บอนด์ ดร.โน สวมบิกินีสีขาวซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักว่า “ดร.โน บิกินี” ได้รับการพูดถึงว่าเป็นบิกินีที่มีชื่อเสียงที่สุดตลอดกาล และเป็นสัญลักษณ์ในโลกภาพยนตร์ และประวัติศาสตร์วงการแฟชั่น แอนเดรสกล่าวว่าเธอเป็นหนี้บุญคุณบิกินีขาวชุดนั้น “บิกินีชุดนี้ทำให้ฉันประสบความสำเร็จ จากการแสดงเป็นสาวบอนด์ ในภาพยนตร์ ดร.โน ฉันได้มีอิสระที่จะเลือกบทบาทการแสดงในอนาคต และยังได้รับอิสระทางการเงินอีกด้วย” ในปี พ.ศ. 2544 แอนเดรส ขาย ดร.โน บิกินี ที่เธอใส่ในภาพยนตร์ในงานประมูลชุดไปด้วยราคา 35,000 ปอนด์ (61,500 ดอลลาร์สหรัฐ) ในปี พ.ศ. 2508 หญิงคนหนึ่งกล่าวกับนิตยสารไทม์ ว่า “เกือบจะถือว่าโบราณ ถ้าไม่ใส่บิกินี” จากนั้นสองปีต่อมา นิตยสารก็เขียนว่า หญิงสาวร้อยละ 65 ให้การยอมรับบิกินีราเควล เวลซ์ ใส่บิกินีหนังกวางในภาพยนตร์ in One Million Years B.C. (พ.ศ. 2509) ซึ่งส่งให้เธอดังเป็นสาวโปสเตอร์ทันที บทบาทของเธอในบิกินีขนสัตว์ส่งให้เธอเป็นสัญลักษณ์ในแวดวงแฟชั่น และรูปภาพของเธอในชุดบิกินีกลายเป็นภาพโปสเตอร์ที่ขายดีที่สุด เวลซ์ ปรากฏกายในโฆษณาในฐานะ “ผู้สวมใส่บิกินีชุดแรกของมวลมนุษยชาติ” และต่อมาบิกินีขนสัตว์ก็กลายเป็นรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบในช่วงยุค พ.ศ. 2503 ในปี พ.ศ. 2554 นิตยสารไทม์ จัดอันดับให้บิกินี B.C. ของเวลซ์ เป็น “หนึ่งในสิบของบิกินียุควัฒนธรรมร่วมสมัย”
ปี พ.ศ. 2510 ในงานภาพยนตร์ An Evening in Paris เป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้เพราะนักแสดงสาวบอลลีวู้ด ชาร์มิล่า ทากอร์ ได้กลายเป็นนักแสดงหญิงอินเดียคนแรกที่ใส่บิกินีในภาพยนตร์ เธอยังได้ถ่ายแบบในชุดบิกินีในนิตยสาร Filmfare ซึ่งชุดได้สร้างความตกตะลึงในกลุ่มชาวอินเดียที่อนุรักษนิยม แต่ยังได้สร้างกระแสต่อไปโดยซีแนท อามัน ใน Heera Panna (พ.ศ. 2516) และ Qurbani (พ.ศ. 2523)ดิมเพิ่ล กาปาเดีย ใน Bobby (พ.ศ. 2516) และ ปาร์วีน บาบิ ใน Yeh Nazdeekiyan (พ.ศ. 2525)
ปี พ.ศ. 2540 เจมี่ ฟอกซ์ นางงามแมรี่แลนด์ กลายเป็นผู้เข้าประกวดคนแรกใน 50 ปี ที่เข้าแข่งในชุดว่ายน้ำสองชิ้นในช่วงการประกวดชุดว่ายน้ำรอบคัดเลือกของเวทีการประกวดมิสอเมริกา. ถึงแม้ว่าชุดว่ายน้ำแบบชิ้นเดียวจะกลับมานิยมในช่วงปี พ.ศ. 2531 และ พ.ศ. 2541 บริษัทของเรอาด์ปิดลงในปี พ.ศ. 2531 สี่ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต ในช่วงปลายศตวรรษ บิกินีกลายเป็นชุดว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก โอลิวิเย่ร์ เซราท นักประวัติศาสตร์ด้านแฟชั่นชาวฝรั่งเศสกล่าวถึงเหตุนี้ว่าเป็นเพราะ “พลังของผู้หญิง ไม่ใช่พลังของแฟชั่น” เขาอธิบายว่า “การปลดปล่อยเป็นอิสระของชุดว่ายน้ำมักถูกเชื่อมโยงไปยังการปลดปล่อยสู่อิสรภาพของผู้หญิง” ถึงแม้แบบสำรวจหนึ่งจะชี้ว่าบิกินีร้อยละ 85 ไม่เคยสัมผัสกับน้ำเลย เหล่านักแสดงสาวในภาพยนตร์แอคชั่น นางฟ้าชาลี Full Throttle และBlue Crushได้สร้างให้ชุดว่ายน้ำสองชิ้นกลายเป็น “ความเท่าเทียมในสหศวรรษกับชุดเกราะ” จีน่า เบลลาฟอนเต้ กล่าวในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์
ที่เมืองหูหลูเต่า ในเขตมณฑลเหลียวหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้สร้างสถิติโลกจากการเดินพาเหรดบิกินีที่ใหญ่ที่สุดในปี พ.ศ. 2555 ด้วยผู้ร่วมงาน 1,085 คน และมีการถ่ายรูปผู้หญิง 3,090 คน เบ็ธ ดินคัฟ ชาร์ลตัน ผู้ร่วมวิจัยแห่งสถาบัน Costume Institute of the Metropolitan Museum of Art กล่าวว่า “บิกินีแสดงถึงการก้าวกระโดดทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความตระหนักถึงร่างกาย ข้อคำนึงทางศีลธรรม และทัศนคติทางเพศ” ในช่วงต้นยุคปี พ.ศ. 2543 บิกินีกลายเป็นธุรกิจทีสร้างรายได้ 811 ล้านดอลลลาร์ต่อปี อ้างอิงจาก NPD Group บริษัทด้านข้อมูลผู้บริโภคและธุรกิจค้าปลีก, และได้จุดประกายให้เกิดธุรกิจใหม่ เช่น บิกินีแวกซ์ และ การทำผิวสีแทน
คำว่า “บิกินี” เริ่มแรกถูกนำไปใช้กับชุดว่ายน้ำที่เปิดเผยส่วนสะดือของผู้สวมใส่ แต่ปัจจุบันนี้วงการแฟชั่นใช้คำว่าบิกินีกับชุดว่ายน้ำสองชิ้นทุกรูปแบบ แฟชั่นบิกินียุคใหม่ได้จำแนกลักษณะของดีไซน์เรียบง่ายคือ ผ้าสามเหลี่ยมสองชิ้นในรูปแบบเสื้อชั้นในที่ปกปิดหน้าอก และผ้าชิ้นที่สามในรูปแบบกางเกงชั้นในที่อยู่ต่ำกว่าสะดือที่ปกปิดช่วงขาหนีบและบั้นท้าย การปกปิดร่างกายอาจหลากหลาย จากแบบที่เปิดเผยอย่าง พิวบิกินี ไมโครกินี และ สตริง บิกินี ไปจนถึงดีไซน์ที่ปกปิดมากขึ้น เช่น แทงกินี สเกิร์ตตินี และ แบนโดกินี
บิกินีสามารถ และมีการทำมาจากวัสดุผ้าทุกรูปแบบ เส้นใยผ้า และวัสดุอื่นๆ ที่นำมาทำบิกินีนั้นเป็นส่วนสำคัญของดีไซน์ T ผ้าฝ้ายทำให้ชุดว่ายน้ำใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น และเพิ่มการยืดของผ้าจากแบบที่เรียบง่ายในยุคปี พ.ศ. 2503 ในช่วงแรกบิกินียุคใหม่ทำมาจากผ้าฝ้ายและผ้ายืด ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2503 ดูปองท์ เปิดตัวไลคร่า (สเปนเด็กซ์) ซึ่งเปลี่ยนวิธีการออกแบบ และการสวมใส่บิกินีอย่างสิ้นเชิง เคลลี่ คิโลเร็น เบนซิมอน อดีตนางแบบ และผู้เขียนหนังสือ เดอะ บิกินี กล่าวว่า “ไลคร่าทำให้มีผู้หญิงที่อยากใส่บิกินีมากขึ้น มันไม่หย่อนยาน ไม่โป่งนูน มันปกปิดและเปิดเผย ทำให้ไม่เหมือนกับชุดชั้นในอีกต่อไป” ผ้าอื่นๆ เช่น กำมะหยี่ หนัง และผ้าถักไหมพรมถูกนำมาใช้ในช่วงต้นยุคปี พ.ศ. 2513
ความหลากหลายของบิกินีได้รวมถึงรูปแบบต่างๆ ที่เปิดเผยไม่มากก็น้อย เช่น สตริง บิกินี โมโนกินี (เปลือยท่อนบน) ซีกินี (โปร่งใส) แทงกินี ([[แขนกุด]ท่อนบน บิกินีท่อนล่าง) แคมิบิกินี (ชุดชั้นในท่อนบน บิกินีท่อนล่าง) ฮิกินี (หรือฮิปกินี) “แกรนนี บิกินี” (บิกินีท่อนบน ขาสั้นท่อนล่าง) ธอง มินิกินี ไมโครกินี มินิมินี สลิงช็อต แบบผูกด้านข้าง และรูปหยดน้ำตา ในการแสดงแฟชั่นครั้งสำคัญในปี พ.ศ. 2528 มีการแสดงชุดแบบสองชิ้นกับเสื้อแขนกุด แทนแบบที่ใช้เกาะอก ชุดที่เหมือนบิกินีด้านหน้า และแบบชิ้นเดียวด้านหลัง สายรั้งกางเกง มีระบายเป็นชั้นๆ และแบบเปิดสะดือผ่าลึก เครื่องประดับเหล็กและหินมักถูกใช้เพื่อตกแต่งรูปลักษณ์ตามรสนิยม และเพื่อตอบสนองความต้องการ ผู้ผลิตหลายรายทำชุดบิกินีตามสั่งให้แก่ลูกค้าโดยใช้เวลาเพียงเจ็ดนาที บิกินีที่แพงที่สุดในโลกถูกออกแบบในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 โดย ซูซาน โรเซ่น ประกอบด้วยเพชร 150 กะรัต (30 กรัม) ซึ่งมีราคา 20 ล้านปอนด์
ชุดชั้นในบางแบบทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มชุดชั้นในบิกินีด้วยความเหมือนกันทั้งขนาดและรูปแบบในส่วนท่อนล่างของชุดว่ายน้ำบิกินี สำหรับผู้หญิง ชุดชั้นในบิกินีหมายถึงชุดชั้นในแบบรัดรูป ชิ้นเล็กหรือแบบที่เปิดเผยส่วนสัดซึ่งให้การปกปิดช่วงกลางลำตัวน้อยกว่ากางเกงชั้นในทั่วไป สำหรับผู้ชาย บอกินีคือชุดชั้นในซึ่งมีขนาดเล็กและเปิดเผยสัดส่วนมากกว่ากางเกงในขาสั้น บิกินีอาจเอวต่ำหรือเว้าสูง แต่ส่วนใหญ่จะต่ำกว่าเอว มักอยู่ระดับสะโพก และโดยมากไม่มีกระเป๋าหรือชายกางเกง วงขาจะอยู่ตรงต้นขา บิกินีสายจะมีส่วนหน้าและส่วนหลังซึ่งต่อกันตรงเป้ากางเกงโดยไม่เชื่อมต่อตรงเอว และไม่มีผืนผ้าด้านข้างทั้งสอง ชุดว่ายน้ำ และชุดชั้นในมักมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกันเนื่องจากสวมใส่แนบชิดร่างกาย ข้อแตกต่างหลักระหว่างทั้งสองอย่างคือชุดว่ายน้ำนำให้ชุดชั้นในเปิดเผยต่อสาธารณะ ชุดว่ายน้ำยังคงมีรูปแบบใกล้เคียงกับชุดชั้นใน และขณะเดียวกันทัศนคติที่มีต่อบิกินีก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ชุดชั้นในถูกออกแบบไปสู่ขนาดที่เล็กลง ไม่มีตะเข็บซึ่งเน้นที่ความสบายเป็นอันดับแรก
ขณะที่ชุดว่ายน้ำพัฒนาไป ชุดชั้นในก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ระหว่างปี พ.ศ. 2443 ถึง พ.ศ. 2483 ความยาวของชุดว่ายน้ำก็เริ่มเปลี่ยนไปตามการออกแบบชุดชั้นใน ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2463 ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเสื้อยกทรงรัดรูป ขณะที่บริษัทคาโดลในกรุงปารีสเริ่มพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า “สายรัดหน้าอก” ในช่วงยุคมหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก กางเกงชั้นในและเสื้อยกทรงได้ริเริ่มทำขึ้น โดยใช้เส้นด้ายที่ยืดหยุ่นหลายแบบทำให้ชุดชั้นในพอดีตัวเหมือนผิวหนังชั้นที่สอง ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2473 รูปแบบของชุดชั้นในทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชายได้รับอิทธิพลมาจากชุดว่ายน้ำทางยุโรป ถึงแม้ว่าช่วงเอวจะยังอยู่เหนือสะดือ แต่ช่วงขาก็ถูกยกเป็นโค้งจากเป้ากางเกงไปยังสะโพก กางเกงในนี้เป็นต้นแบบของกางเกงชั้นในแบบต่างๆ ตลอดช่วงศตวรรษ ขนาดคัพยกทรงได้ถูกใช้เป็นมาตรฐานในปี พ.ศ. 2478 ยกทรงที่เสริมโครงลวดเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2481 ในช่วงต้นยุคปี พ.ศ. 2463 กางเกงสแกนต์ซึ่งเป็นกางเกงชั้นในแบบหนึ่งของผู้ชายเผยโฉมด้วยขอบขาที่สูง และมีระดับต่ำกว่าเอว ฮาเวิร์ด ฮิวจ์ ออกแบบยกทรงดันทรงที่สวมใส่โดย เจน รัสเซล ใน The Outlaw ในปี พ.ศ. 2486 ในปี พ.ศ. 2493 เมดเดนฟอร์ม เปิดตัวยกทรงที่ดันทรงอย่างเป็นทางการครั้งแรก
ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2503 ชุดว่ายน้ำบิกินีส่งผลต่อรูปแบบของกางเกงชั้นใน และพอดีกับการมาของกางเกงยีนส์และกางเกงเอวต่ำ ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2513 พร้อมกับการมาของกางเกงยีนส์รัดรูป กางเกงในแบบธองกลายเป็นที่นิยม สายกางเกงทำให้ขอบเส้นกางเกงในหายไปทั้งส่วนหลังและส่วนสะโพก ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2523 รูปแบบกางเกงชั้นในฝรั่งเศสทำให้ขอบเอวกลับขึ้นไปสู่ระดับเอวปกติ และยกช่วงขอบขาขึ้นสูง (กางเกงในแบบฝรั่งเศสขอบสูงระดับเอว ขอบขาสูง และด้านหลังมักเต็มตัว) เช่นเดียวกับยกทรงและชุดชั้นในแบบอื่นๆ ในช่วงปลายศตวรรษ ผู้ผลิตมักทำตลาดกางเกงชั้นในที่ออกแบบมาเพื่อยั่วยวนทางเพศ ในช่วงยุคนี้เป็นยุคของการโฆษณาที่ให้ความสำคัญทางเพศ และเป็นเชิงอีโรติกของร่างกายผู้ชายโดยตราสินค้า เช่น คาลวิน ไคลน์ โดยเฉพาะช่างภาพ บรูซ เวเบอร์ และ เฮิร์บ ริตต์ ชุดชั้นในของผู้ชายถูกดัดแปลงและบรรจุหีบห่อเพื่อการบริโภคเป็นจำนวนมาก ชุดว่ายน้ำและชุดกีฬาได้รับอิทธิพลจากภาพถ่ายกีฬา และฟิตเนส ต่อมาชุดว่ายน้ำได้พัฒนาจากขนสัตว์ที่มีน้ำหนักไปเป็นผ้ารัดรูปที่ทันสมัย ซึ่งในที่สุดกลายเป็นการผสมผสานระหว่างชุดกีฬา ชุดชั้นใน และชุดออกกำลัง ส่งผลให้เกิดแฟชั่นที่สลับเปลี่ยนกันได้ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2533
มีหลักฐานว่าผู้หญิงโรมันเล่น Expulsim Ludere หรือแฮนด์บอลยุคเริ่มแรก โดยส่วมใส่ชุดซึ่งถูกระบุว่าเป็น บิกินี บิกินีกลายมาเป็นส่วนสำคัญทำการตลาดของกีฬาผู้หญิงหลายประเภทซึ่งก่อให้เกิดการต่อต้านอยู่บ้าง บิกินีเป็นเครื่องแบบกีฬาที่เป็นทางการของวอลเลย์บอลชายหาด และเป็นที่แพร่หลายในกลุ่มนักกีฬา เมืองปอร์โตเซกูโร
ในปี พ.ศ. 2537 บิกินีกลายมาเป็นเครื่องแบบของการแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาดหญิงในโอลิมปิก ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่การกีฬาบางคนจะมองว่าเป็นการใช้เพื่อหาประโยชน์ และใช้งานไม่ได้จริงในอากาศที่หนาวเย็น ผู้แข่งขัน เช่น นาตาลี คุก และ ฮอลลี แมคพีค เห็นด้วยกับถ้อยแถลงของ FIVB ที่ว่าชุดเครื่องแบบนี้เหมาะกับกีฬาที่เล่นบนทรายในช่วงอากาศร้อน แต่กระนั้นนักกีฬาโอลิมปิกชาวอังกฤษ เดนิส จอห์น ได้โต้แย้งว่าระเบียบของเครื่องแบบนี้มีเพื่อให้เกิดความเซ็กซี่ และเรียกร้องความสนใจ
ในปี พ.ศ. 2542 สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้กำหนดมาตรฐานชุดเครื่องแบบวอลเลย์บอลชายหาดให้ชุดว่ายน้ำเป็นเครื่องแบบจำเป็นสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งทำให้เกิดความขุ่นเคืองของนักกีฬาหลายคน ตามกฎระเบียบของ FIVB ผู้เล่นวอลเลย์บอลชายหาดหญิงสามารถเลือกเล่นโดยใส่ชุดกางเกงขาสั้นหรือชุดว่ายน้ำแบบชิ้นเดียว แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะใส่บิกินี ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2555 สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติประกาศอนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้น (ยาวไม่เกิน 3 ซ.ม. (1.2 นิ้ว) เหนือเข่า) และเสื้อมีแขนในการแข่งขันโอลิปิก ณ กรุงลอนดอน ริชาร์ด เบเกอร์ โฆษกของสหพันธ์ กล่าวว่า “มีหลายประเทศในกลุ่มที่มีเงื่อนไขทางศาสนา และวัฒนธรรม ชุดเครื่องแบบจึงต้องปรับให้ยืดหนุ่นได้กว่านี้” ในช่วงการแข่งขัน อากาศในลอนดอนในช่วงปี พ.ศ. 2555 หยาวเย็นมากจนบางครั้งผู้เข้าแข่งขันต้องใส่เสื้อเชิ้ต และกางเกงเลกกิ้ง ในปี พ.ศ. 2549 ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่โดฮา ประเทศการ์ตา มีประเทศในกลุ่มมุสลิมเพียงประเทศเดียวในการแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาด เนื่องจากข้อกังวลว่าชุดเครื่องแบบไม่เหมาะสม โดยทีมอิรักปฏิเสธที่จะสวมบิกินี
การแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาดกลายมาเป็นกีฬาทางโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับที่ห้า ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ปี พ.ศ. 2543 ที่ชายหาดบอนดิ ประเทศออสเตรเลีย เนื่องมาจากความดึงดูดทางเพศของผู้เล่นหญิงสาวในชุดบิกินี พอๆ กับความสามารถทางกีฬาของพวกเธอ คิมเบอร์ลี่ บิสเซล ทำการศึกษาถึงมุมกล้องที่ใช้ในช่วงการแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาดในโอลิมปิก ปี พ.ศ. 2547 พบว่า ร้อยละ 20 ของมุมกล้องโฟกัสไปที่หน้าอกของผู่หญิง และ ร้อยละ 17 ที่บริเวณบั้นท้าย บิสเซล กล่าวเป็นทฤษฎีว่า รูปลักษณ์ของผู้เล่นสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้มากกว่าความสามารถทางกีฬาที่แท้จริง ความนิยมของวิดีโอเกม Dead or Alive: Xtreme Beach Volleyball สำหรับ เอกซ์บอกซ์ ก็เนื่องมาจากหญิงสาวในบิผ้าชิ้นน้อย ในปี พ.ศ. 2550 มีผู้คลั่งไคล้โหวตให้แก่ผู้เข้าแข่งขันใน ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ดีวาส์ หลังจากดูพวกเธอเล่นวอลเลย์บอลชายหาดในบิกินีชุดจิ๋ว
ในช่วงการแข่งขันโอลิมปิกปี พ.ศ. 2547 กลุ่มนักเต้นวาบหวิวจาก หมู่เกาะคะแนรี ได้ให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม แต่ก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากผู้แข่งขันหญิง ในช่วงเวลาพักครึ่งระหว่างการแข่งขันกลุ่มคนในชุดบิกินีได้วิ่งเข้าไปที่บริเวณชายหาดและเต้นประกอบเพลง เทคโน-ป๊อป นักกีฬาชาวออสเตรเลีย นิโคล แซนเดอสัน กว่าวว่า “มันเป็นการไม่ให้เกียรติผู้เล่นหญิง ฉันเชื่อว่าผู้ชมชายคงจะชอบมัน แต่ฉันคิดว่ามันเป็นการล่วงละเมิดกันไปสักนิด”
ผู้หญิงที่แข่งกรีฑามักใส่บิกินีที่มีขนาดเดียวกับประเภทวอลเลย์บอลชายหาด เอมี่ เอคัฟ นักกระโดดสูงชาวอเมริกัน ใส่บิกินีหนังสีดำแทนที่จะใส่ชุดวิ่งในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี พ.ศ. 2543 ฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ จอยเนอร์ นักวิ่งที่สวมชุดผสมกันระหว่างบิกินีท่อนล่างกับกางเกงรัดรูปหนึ่งข้าง ในการแข่งขัน โอลิมปิกฤดูร้อนปี พ.ศ. 2531 ซึ่งส่งให้เธอเป็นที่สนใจมากกว่าการทำลายสถิติวิ่งแข่ง 200 เมตรหญิง
การแข่งขันเซาท์แปซิฟิกเกมส์ ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการปรับระเบียบอนุญาตให้ผู้เล่นสวมใส่กางเกงขาสั้นที่เปิดเผยน้อยกว่า และเสื้อกีฬาสั้นแทนที่จะใส่บิกินี. ในการแข่งขันกีฬาภูมิภาคเอเชียตะวันตก ปี พ.ศ. 2549 ผู้จัดการแข่งขันได้สั่งห้ามการใส่บิกกินีท่อนล่างสำหรับนักกีฬาหญิง และขอให้ใส่กางเกงขาสั้นที่ยาวหน่อย
ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2493 ถึง กลางยุคปี พ.ศ. 2513 การประกวดของผู้ชายมักถูกเสริมด้วยการประกวดความงามของผู้หญิงหรือการแสดงบิกินี ผู้ชนะจะได้รับตำแหน่ง เช่น นางงามรูปร่างสวย นางงามร่างกายแข็งแรง และ มิสอเมริกานา และเป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดฝ่ายชาย ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2523 เริ่มมีการประกวดมิสโอลิมเปียในสหรัฐอเมริกา และในสหราชอาณาจักร สมาพันธ์นักเพาะการสมัครเล่นแห่งชาติ (NABBA - National Amateur Body Building Association) ได้เปลี่ยนชื่อ มิสบิกินี อินเตอร์เนชั่นแนล ไปเป็น มิสยูนิเวิร์สหรือนางงามจักรวาล ในปี พ.ศ. 2529 การประกวดมิสยูนิเวิร์สได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน “ร่างกาย” (เพื่อเน้นร่างกายที่มีกล้ามเนื้อ) และ “รูปร่าง” (การแสดงรูปร่างผู้หญิงสวมส้นสูงตามประเพณีนิยม) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 สมาพันธ์เพาะกายและฟิตเนสสากล (IFBBF - International Federation of BodyBuilding & Fitness) ได้แนะนำการประกวดบิกินีหญิงสำหรับผู้ที่ไม่อยากสร้างกล้ามเนื้อไปถึงระดับแข่งขันอาชีพ
มีการออกกฎของชุดแต่งกาย “กางเกงว่ายน้ำ” (บิกินีขาสั้น) สำหรับผู้ชาย และบิกินีสำหรับผู้หญิง นักเพาะกายหญิงในอเมริกาถูกสั่งห้ามสวมใส่ธองหรือชุดว่ายน้ำ T-back ในการแข่งขันซึ่งออกอากาศทางโทรทัศน์ ถึงแม้จะมีการอนุญาตให้สำหรับองค์กรฟิตเนสบางแห่งในกิจกรรมที่จัดแบบปิด สำหรับผู้ชาย มีการกำหนดเครื่องแต่งกายไว้ “เฉพาะชุดว่ายน้ำขาสั้น (ไม่ใช่ขาสั้น กางเกงที่ตัดออก หรือ กางเกงสปีโด้)” กฎแบบเดียวกันโดย Family, Career and Community Leaders of America – FCCLA รัฐเวอร์จิเนีย สั่งห้ามบิกินีชิ้นเล็ก หรือ ชุดแบบธองสำหรับผู้หญิง และระบุ “กางเกงว่ายน้ำ” สำหรับผู้ชาย (“ไมใช่สปีโด้”)
สมาพันธ์บิกินีบาสเกตบอล เป็นสมาคมบาสเกตบอลหญิงอเมริกัน ตั้งขึ้นโดย เซดริก มิตเชล และ เอ. เจ. แมคอาเธอร์ ในปี พ.ศ. 2555 ผู้เล่นสวมใส่สปอร์ตบรา และ กางเกงขาสั้นทรงผู้ชาย ในช่วงการแข่งขัน ผู้บรรยายมีความรู้สึกที่หลากหลายทั้งตลก น่ารังเกียจ และเป็นธุรกิจที่ชาญฉลาด สตริง บิกินี และเสื้อผ้าชิ้นน้อยแบบอื่นๆ เป็นสิ่งแกติในกีฬากระดานโต้คลื่น ในปี พ.ศ. 2544 วิกกี้ บอตไรท์ มือวางอันดับ 16 ในการแข่งขันสควอซหญิง และถูกตั้งฉายาว่า 'Lancashire Hot Bot' ถูกสั่งห้ามโดย สมาพันธ์นักกีฬาสควอซหญิงนานาชาติ (WISPA) จากการสวมใส่ชุดที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ คือ ธอง และ สปอร์ตบราในการแข่งขันบริติชโอเพ่นแชมเปี้ยนชิพ ในปี พ.ศ. 2547 อเล็กซานเดอร์ พัทแนม ลงแข่งวิ่งลอนดอนมาราธอน ในชุดธองและระบายรูปต้นไม้เขตร้อนเพื่อต่อต้านการโค่นต้นไม้ในคองโก
คำว่าบิกินีผู้ชายมักใช้อธิบายถึงชุดว่ายน้ำเฉพาะแบบของผู้ชาย บิกินีผู้ชายสามารถมีขาเว้าสูงหรือขอบข้างต่ำ สายด้านข้างหรือผูกข้าง และโดยมากจะไม่มีกระดุมหรือชายด้านหน้า บิกินีจะไม่เหมือนกับกางเกงว่ายน้ำทั่วไปคือไม่มีขอบเอวที่ชัดเจน ชุดที่มีส่วนสะโพกกว้างน้อยกว่า 1.5 นิ้วพบเห็นได้น้อยสำหรับชุดกีฬา และโดยมากจะสวมใส่เพื่อสันทนาการ แฟชั่น และการอาบแดด กางเกงว่ายน้ำเป็นชุดมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาเพาะกาย นักดนตรีพังก์ร็อกชายแสดงบนเวทีโดยใส่ชุดบิกินีของผู้หญิง ภาพยนตร์บอลลีวู้ด Hera Pheri ในปี พ.ศ. 2543 แสดงภาพชายอาบแดดในชุดบิกินีซึ่งมักมองผิดเป็นผู้หยิงจากระยะไกล
ชุดว่ายน้ำมักแสดงในชุดเสื้อผ้าของจีออร์จีโอ อาร์มานี Dolce & Gabbana และ พอลสมิท โดยมักเป็นสีดำ และเล็กพอดีตัว กลับไปสู่รูปแบบในยุคปี พ.ศ. 2473 และ 2483 โฆษณาของ จานนี เวอร์ซาเช แสดงภาพผู้เล่นน้ำในไมอามีที่ดูสง่างามตัดกับชุดว่ายน้ำกึ่งกีฬา กางเกงขาสั้นเหนือเข่าตัวหลวมสีสดใส หรือกางเกงขาสั้น ดีไซเนอร์ชาวกรีก นิโคส อโพสโตพูลูส ออกแบบชุดที่แตกต่างออกไป (สำหรับทั้งสองเพศ แต่เน้นไปที่ผู้ชาย) เพื่อสร้างสรรค์โครงสร้างร่างกาย ตัดและเย็บติดเข้ากับโครงร่างและลักษณะของเพศ บิกินีส่วนบนของผู้ชายก็มีปรากฏ
แมนกินี ไม่ใช่รูปแบบหนึ่งของบิกินี แม่มันจะมีชื่อเช่นนี้ แต่เป็นประเภทหนึ่งของชุดว่ายน้ำแบบสายที่ใส่โดยผู้ชาย ทำให้เป็นที่นิยมโดย ซาชา บารอน โคเฮน ซึ่งใส่ในภาพยนตร์ โบแรต
ในปี พ.ศ. 2493 เฟรด โคลด์ นักธุรกิจชุดว่ายน้ำชาวอเมริกัน ผู้เป็นเจ้าของบริษัท Cole of California กล่าวกับนิตยสารไทม์ว่า บิกินีถูกออกแบบมาเพื่อผู้หญิงตัวเล็ก เพราะสาวฝรั่งเศสมีขาที่สั้น ชุดว่ายน้ำจึงต้องทำให้สูงขึ้นด้านข้างเพื่อให้ขาพวกเขาดูยาวขึ้นเดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานความเห็นว่าบิกินีเหมาะสำหรับคนที่ไม่อ้วนหรือไม่ผอมเกินไป ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2503 เอมิลี่ โพส นักเขียนด้านมารยาทสังคมกล่าวว่า “บิกินีเหมาะกับร่างกายที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น และไม่ใช่สำหรับคนอายุน้อยมาก” ในหนังสื่อ เดอะ บิกินี เคลลี่ คิโลเร็น เบนซิมอน และ นอร์มา คามาลี นักออกแบบชุดว่ายน้ำ กล่าวว่า “ใครก็ตามที่มีหน้าท้อง ไม่ควรใส่บิกินี” จากนั้น นักออกแบบบิกินีรวมถึงมาเรีย มิลล์ จึงสนับสนุนผู้หญิงทุกวัย และรูปร่างทุกแบบให้สวมใส่ ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2513 จึงเห็นรูปร่างที่ผอมเพรียวในอุดมคติอย่าง เชอรีล ทีค ผู้มีโครงร่างเป็นที่นิยมในช่วงยุคศตวรรษที่ 21
ความนิยมของฟิตเนสในช่วงปี พ.ศ. 2523 นำไปสู่การก้าวกระโดดของการพัฒนาการของบิกินี มิลล์ กล่าวว่า “ช่วงขาเว้าสูงมาก ขณะที่ด้านหน้าลงต่ำมาก และสายก็เล็กบางมาก” นิตยสารผู้หญิงใช้ค่ำเช่น “หน้าท้องบิกินี” และมีโปรแกรมออกกำลังเกิดขึ้นเพื่อสร้าง “ร่างกายบิกินี” “บิกินีฟิตเนส” ชิ้นเล็กผลิตขึ้นโดยไลคร่าเพื่อตอบสนองร่างกายที่แข็งแกร่ง ทำให้เห็นชัดเจนโดย แอล แมคเฟอร์สัน ซึ่งขึ้นปกสปอร์ต อิลัสเตรทฉบับชุดว่ายน้ำหกครั้ง ภาพยนตร์ เช่น Blue Crush และ รายการโทรทัศน์ เช่น เซิร์ฟเกิร์ล ได้รวมแนวคิดของนางแบบบิกินี และนักกีฬาเข้าด้วยกัน ยิ่งเน้นย้ำอุดมคติรูปร่างที่ดี
แบบสอบถามหนึ่งของ ไดเอต เชฟ บริการส่งอาหารของสหราชอาณาจักร ที่รายงานโดย เดลิเมล และ ทูเดย์โชว์ และถูกล้อเลียนโดยนิตยสารมอร์ ว่าผู้หญิงควรหยุดใส่บิกินีเมื่อมีอายุ 47 ปี เทศกาลสปริงเบรก เป็นสัญญาณเริ่มต้นของฤดูกาลสวมใส่บิกินี trigger many with eating disorders because of the over-promotion of the bikini body ideal. ซึ่งกระตุ้นให้เกิดโรคการกินผิดปกติ เนื่องมากจากการโปรโมตร่างกายในอุดมคติสำหรับบิกินี
ในปี พ.ศ. 2536 ซูซี่ เมนเกส บรรณาธิการแฟชั่นของ อินเตอร์เนชั่นแนล เฮอราล ทรีบูน แนะนำว่า ผู้หญิงควรปฏิวัติตัวเองจาก “รูปร่างในอุดมคติ” และ การเปิดเผยบิกินี เธอเขียนว่า “ที่จริงแล้ว บนชายหาดหรือบนถนน หญิงสาวที่อายุน้อยที่สุดและสวยที่สุด (ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในคนที่กล้าเปิดเผย) ตัดสินใจได้ว่าการเปิดเผยเช่นนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว” อย่างไรก็ตาม แกเบรียล รีซ นักวอลเลย์บอลชายหาดมืออาชีพ กล่าวว่า “ความมั่นใจเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้บิกินีเซ็กซี่ได้”
การทำบิกินีแวกซ์ คือ การกำจัดขนบนร่างกายบริเวณส่วนหัวหน่าว และรอบบริเวณ (รู้จักกันในชื่อ บิกินีไลน์) โดยมากในผู้หญิง โดยใช้แวกซ์ สำหรับชุดว่ายน้ำบางรูปแบบ ขนบริเวณหัวหน่าวอาจเห็นได้บริเวณเป้ากางเกงชุดว่ายน้ำ บิกินีไลน์ร่างเส้นจากบริเวณหัวหน่าวของผู้หญิงซึ่งปกติจะถูกปกปิดด้วยท่อนล่างของชุดว่ายน้ำ การทำแวกซ์ มักเข้าใจว่าเกี่ยวกับขนบริเวณอวัยวะเพศที่อยู่เกินขอบของชุดว่ายน้ำ ขนบริเวณอวัยวะเพศที่มองเห็นได้มักไม่เป็นที่ยอมรับได้ และถูกมองว่าน่าอับอาย และบ่อยครั้งที่จะถูกกำจัด ด้วยขนาดของบิกินีที่เล็กลง โดยเฉพาะหลังช่วงปี พ.ศ. 2488 ทำให้การทำบิกินีแวกซ์เป็นเรื่องในความนิยม
การสวมใส่บิกินีกลางแดดทำให้ผิวที่ไม่ถูกปกปิดกลายเป็นสีแทน และทำให้เกิดเส้นผิวสีแทน ซึ่งแบ่งผิวในส่วนหน้าอกที่ซีดจาง บริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย ออกจากผิวสีแทนในส่วนอื่นๆ
บิกินีทำให้ร่างกายส่วนที่ถูกเปิดเผยได้รับอันตรายได้จากแสงอาทิตย์ UVB การโดนแสงมากทำให้ผิวไหม้ และอาจเกิดเป็นมะเร็งผิวหนัง เป็นหนึ่งในอันตรายด้านต่างๆ สำหรับมนุษย์แล้ว อาจก็ให้เกิดผลเฉียบพลัน และผลเรื้อรังต่อ ผิวหนัง ตา และระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น แสง UVC อาจก่อให้เกิดผลเสียต่ในเชิง การกลายพันธุ์ของเซลล์ หรือก่อสารที่ทำให้เกิดมะเร็ง จากสาเหตุนี้องค์การแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่สวมใส่บิกินีปกป้องผิวหนังของตนโดยใช้ครีมกันแดดซึ่งมีส่วนผสมของสารเคมีที่แสดงให้เห็นว่าป้องกันหนูจากเนื้องอกผิวหนังได้ อย่างไรก็ตาม สารเคมีในครีมกันแดดอาจก่อให้เกิดสารอันตรายหากโดนแสงขณะสัมผัสเซลล์สิ่งมีชีวิต และปริมาณของครีมกันแดดซึ่งซึมผ่านผิวหนังอาจทำให้เกิดผลเสียได้ บริษัทเคมี BASF ได้ใช้ เทคโนโลยีนาโน เพื่อทำให้บิกินีปกป้องแสงแดดได้ดีขึ้นโดยขณะที่ชุดเปียกจะปกป้องแสงได้น้อยลง