ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

นาซีเยอรมนี

นาซีเยอรมนี (อังกฤษ: Nazi Germany) หรือ จักรวรรดิที่สาม (อังกฤษ: Third Reich) เป็นชื่อสามัญของเยอรมันไรช์ระหว่างปี 1933 ถึง 1945 เมื่ออยู่ในการควบคุมของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซี ในการปกครองของฮิตเลอร์ ประเทศเยอรมนีกลายเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จฟาสซิสต์ซึ่งควบคุมแทบทุกแง่มุมของชีวิต นาซีเยอรมนีล่มสลายหลังกำลังสัมพันธมิตรพิชิตเยอรมนีในเดือนพฤษภาคม 1945 ซึ่งยุติสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป

ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ เพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์กแต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 จากนั้น พรรคนาซีเริ่มกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและรวบอำนาจ ฮินเดนบุร์กถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1934 และฮิตเลอร์เป็นผู้เผด็จการแห่งเยอรมนีโดยรวมอำนาจและตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดี การลงประชามติทั่วประเทศจัดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1934 ยืนยันฮิตเลอร์เป็นฟือแรร์ (ผู้นำ) เยอรมนีเพียงผู้เดียว อำนาจทั้งหมดรวมอยู่ในมือของฮิตเลอร์ และคำของเขาอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง รัฐบาลมิได้เป็นหน่วยที่ร่วมมือประสานกัน หากแต่เป็นหมู่กลุ่มแยกต่าง ๆ ที่แก่งแย่งอำนาจและความนิยมจากฮิตเลอร์ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นาซีฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและยุติการว่างงานขนานใหญ่โดยใช้รายจ่ายทางทหารอย่างหนักและเศรษฐกิจแบบผสม มีการดำเนินการโยธาสาธารณะอย่างกว้างขวาง รวมการก่อสร้างออโตบาห์น ความนิยมของระบอบได้รับการส่งเสริมจากการคืนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

คตินิยมเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต่อต้านยิว เป็นลักษณะหัวใจของนาซีเยอรมนี โดยถือว่า กลุ่มชนเจอร์มานิค หรือเชื้อชาตินอร์ดิก (Nordic race) เป็นเชื้อชาติอารยันซึ่งบริสุทธิ์ที่สุด ฉะนั้นจึงเป็นเชื้อชาติปกครอง (master race) ชาวยิวและชนกลุ่มอื่นที่ถือว่าไม่พึงปรารถนาถูกเบียดเบียนหรือฆ่า และการค้านการปกครองของฮิตเลอร์ถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม สมาชิกฝ่ายค้านเสรีนิยม สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ถูกฆ่า จำคุกหรือเนรเทศ โบสถ์คริสต์ก็ถูกกดขี่เช่นกัน โดยผู้นำหลายคนถูกจำคุก การศึกษามุ่งเน้นชีววิทยาเชื้อชาติ นโยบายประชากร และสมรรถภาพทางกายสำหรับราชการทหาร โอกาสในอาชีพและการศึกษาของสตรีถูกตัดทอน มีการจัดนันทนาการและการท่องเที่ยวผ่านโครงการความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง (Strength Through Joy) และโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 จัดแสดงจักรวรรดิที่สามในเวทีระหว่างประเทศ รัฐมนตรีโฆษณาการ โยเซฟ เกิบเบิลส์ ใช้ภาพยนตร์ การชุมนุมมวลชน และวาทศิลป์จับจิตของฮิตเลอร์เพื่อควบคุมมติมหาชนอย่างได้ผล รัฐบาลควบคุมการแสดงออกทางศิลปะ โดยสนับสนุนศิลปะบางรูปแบบ แต่ขัดขวางหรือห้ามศิลปะรูปแบบอื่น

นาซีเยอรมนีเรียกร้องดินแดนอย่างก้าวร้าวมากขึ้น ๆ และขู่ทำสงครามหากไม่สนองข้อเรียกร้อง เยอรมนียึดออสเตรียและเชโกสโลวาเกียในปี 1938 และ 1939 ฮิตเลอร์ทำสนธิสัญญากับโจเซฟ สตาลิน และบุกครองโปแลนด์ในเดือนกันยายน 1939 เปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป โดยเป็นพันธมิตรกับอิตาลีและฝ่ายอักษะที่เล็กกว่า เยอรมนีพิชิตทวีปยุโรปส่วนใหญ่เมื่อถึงปี 1940 และคุกคามสหราชอาณาจักร ไรช์ซคอมมิสซารีอัทควบคุมพื้นที่ที่ถูกพิชิตอย่างโหดร้ายและมีการสถาปนาการปกครองของเยอรมนีในประเทศโปแลนด์ที่เหลืออยู่ ชาวยิวและกลุ่มอื่นที่ถือว่าไม่พึงปรารถนาถูกจำคุกในค่ายกักกันและค่ายกำจัดนาซี การนำนโยบายเชื้อชาติของระบอบไปปฏิบัติลงเอยด้วยการสังหารชาวยิวและชนกลุ่มน้อยอื่นเป็นอันมากในฮอโลคอสต์ หลังการบุกครองสหภาพโซเวียตในปี 1941 นาซีเยอรมนีก็เริ่มเป็นรอง และปราชัยทางทหารสำคัญหลายครั้งในปี 1943 การทิ้งระเบิดประเทศเยอรมนีทวีในปี 1944 และนาซีถอยจากยุโรปตะวันออกและยุโรปใต้ หลังการบุกครองฝรั่งเศสของสัมพันธมิตร ประเทศเยอรมนีถูกโซเวียตจากทิศตะวันออกและฝ่ายสัมพันธมิตรจากทิศตะวันตกพิชิตและยอมจำนนในหนึ่งปี การที่ฮิตเลอร์ปฏิเสธยอมรับความปราชัยนำให้โครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนีถูกทำลายล้างขนานใหญ่และการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสงครามเพิ่มในเดือนท้าย ๆ ของสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้กำชัยริเริ่มนโยบายขจัดความเป็นนาซี (denazification) และนำผู้นำนาซีที่เหลือรอดหลายคนมาพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก ส่วนประเทศเยอรมนีถูกยึดครองโดยมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตร ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร

ชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐ คือ ดอยท์เชสไรช์ ("ไรช์เยอรมัน") ตั้งแต่ปี 1933 ถึง 1943 และกรอสสดอยท์เชสไรช์ ("มหาจักรวรรดิเยอรมัน") ตั้งแต่ปี 1943 ถึง 1945 ชื่อ ดอยท์เชสไรช์ โดยทั่วไปแปลว่า "จักรวรรดิเยอรมัน" หรือ "ไรช์เยอรมัน" คำว่า "ไรช์" มิได้หมายความว่าจักรวรรดิเสมอไป ชื่ออย่างเป็นทางการของเยอรมนียังเป็น "ดอยท์เชสไรช์" ระหว่างสมัยไวมาร์

ส่วนคำว่า "ไรช์ที่สาม" นั้น พวกนาซีรับมา ใช้ครั้งแรกในนวนิยายเมื่อปี 1923 โดยอาร์ทูร์ เมิลเลอร์ ฟัน เดน บรุค ซึ่งนับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในสมัยกลาง (962–1806) เป็นไรช์ที่หนึ่ง และจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1871–1918) เป็นไรช์ที่สอง ปัจจุบันชาวเยอรมันเรียกสมัยนี้ว่า ไซท์เดสนาซิโยนนัลโซซีอัลอิสมุส หรือย่อเป็น เอ็นเอส-ไซท์ ("สมัยชาติสังคมนิยม") หรือ นาซิโยนนัลโซซีอัลอิสทิสเชอ เกวัลแทร์ชัฟท์ ("ทรราชชาติสังคมนิยม")

พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรคนาซี) ที่เปลี่ยนชื่อมาจากพรรคกรรมกรเยอรมันซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1919 เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองขวาจัดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศเยอรมนีขณะนั้น แนวนโยบายของพรรค ได้แก่ การขจัดสาธารณรัฐไวมาร์ การปฏิเสธเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซาย การต่อต้านยิวอย่างรุนแรง และการต่อต้านบอลเชวิค นาซีสัญญาว่าจะตั้งรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง เพิ่มเลเบนสเราม์ (พื้นที่อยู่อาศัย) สำหรับชนเจอร์แมนิก การสร้างชุมชนชาติที่ยึดเชื้อชาติ และการทำเชื้อชาติให้บริสุทธิ์โดยปราบปรามยิวอย่างแข็งขัน ซึ่งชาวยิวจะถูกถอดความเป็นพลเมืองและสิทธิพลเมือง

ตั้งแต่ปี 1925 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1930 รัฐบาลเยอรมันเปลี่ยนแปลงจากระบอบประชาธิปไตยไปสู่รัฐอำนาจนิยม ชาตินิยมและอนุรักษนิยม ภายใต้ประธานาธิบดี เพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก วีรบุรุษสงคราม ผู้ไม่นิยมระบอบเสรีประชาธิปไตยอย่างในสาธารณรัฐไวมาร์ ผลการเลือกตั้งสหพันธรัฐในปี 1928 ปรากฏพรรคนาซีได้รับคะแนนเสียงต่ำมาก เพียง 12 ที่นั่ง เนื่องจากความเชื่อมโยงระหว่างฮิตเลอร์กับกบฏโรงเบียร์ เมื่อตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาตกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1929 ผลกระทบในเยอรมนีนั้นร้ายแรงมาก หลายล้านคนตกง่าย และธนาคารหลักหลายแห่งล้มละลาย ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเตรียมฉวยโอกาสจากภาวะฉุกเฉินนี้เพื่อให้พรรคได้รับการสันบสนุน พวกเขาสัญญาจะเสริมสร้างเศรษฐกิจและจัดหางาน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจว่าพรรคนาซีสามารถฟื้นฟูระเบียบ ปราบปรามความไม่สงบ และปรับปรุงชื่อเสียงของเยอรมนีในระดับนานาชาติได้ หลังการเลือกตั้งสหพันธรัฐปี 1932 พรรคนาซีเป็นพรรคใหญ่สุดในไรช์ซทัก โดยครอง 230 ที่นั่ง และได้รับคะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 37.4

วันที่ 30 มกราคม 1933 ประธานาธิบดีฮินเดนบูร์ก ภายใต้แรงกดดันจากฟรันซ์ ฟอน พาเพน แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี เหตุการณ์ดังกล่าวรู้จักกันในชื่อ มัคเทอร์ไกรฟุง ("การยึดอำนาจ") ฟอน พาเพนคาดว่าจะสามารถควบคุมฮิตเลอร์ได้ เพราะตนเป็นรองนายกรัฐมนตรีและให้นาซีเป็นเสียงข้างน้อยในคณะรัฐมนตรี แม้นาซีจะมีสัดส่วนคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปไรชส์ทาคสองครั้งในปี 1932 แต่ก็ยังมิได้ครองเสียงข้างมาก ฉะนั้นฮิตเลอร์จึงนำรัฐบาลผสมที่มีอายุสั้นตั้งโดยพรรคนาซีและพรรคประชาชาติเยอรมัน (DNVP)

ภายในไม่กี่เดือน รัฐบาลใหม่จัดตั้งเผด็จการพรรคการเมืองเดียวในเยอรมนีด้วยมาตรการทางกฎหมายที่สถาปนารัฐบาลกลางประสานงาน (ดู ไกลช์ชัลทุง) คืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1933 อาคารไรชส์ทาคถูกวางเพลิง ชาวดัตช์คอมมิวนิสต์คนหนึ่งถูกวินิจฉัยว่ามีความผิด นาซีอ้างว่าเหตุลอบวางเพลิงดังกล่าวเป็นสัญญาณของการลุกฮือของคอมมิวนิสต์ และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หลายพันคนถูกจับกุม สำนักงานของพรรคถูกเข้าตรวจค้น และสื่อสิ่งพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งหมดถูกห้าม นาซีจำคุกนักโทษจำนวนมากในค่ายกักกันดาเชา กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค กำหนดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1933 เพิกถอนเสรีภาพพลเมืองส่วนใหญ่ของเยอรมนีเพื่อปราบปรามคู่แข่งทางการเมือง และเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างไม่มีกำหนดตลอดระยะเวลาการปกครองของนาซี กฤษฎีกาดังกล่าวเป็นการตรากฎหมายฉบับที่สองที่ให้รัฐบาลนาซีจำกัดเสรีภาพพลเมือง ส่วนฉบับแรกเป็นข้อบังคับที่ห้ามชาวเยอรมัน "ละเมิดธง" และข้อบังคับดังกล่าวถูกใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมการต่อต้านทุกรูปแบบ

เดือนมีนาคม 1933 ด้วยรัฐบัญญัติมอบอำนาจผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาด้วยคะแนนเสียง 444-94 (เป็นพวกสังคมประชาธิปไตยที่เหลือ) ไรชส์ทาคเปลี่ยนรัฐธรรมนูญไวมาร์เพื่ออนุญาตให้รัฐบาลของฮิตเลอร์ผ่านกฎหมายโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาเป็นเวลาสี่ปี แม้จะเบี่ยงเบนจากมาตราอื่นในรัฐธรรมนูญก็ตาม ต่อมา รัฐบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเป็นรากฐานกฎหมายของระบอบนาซี ถูกต่ออายุโดยรัฐบาลฮิตเลอร์ในปี 1937 และ 1941 ตลอดทั้งปี 1934 พรรคนาซีกำจัดคู่แข่งทางการเมืองทั้งหมดอย่างไร้ความปรานีทันที รัฐบัญญัติมอบอำนาจห้ามคอมมิวนิสต์ไปแล้ว และพรรคสังคมประชาธิปไตยถูกยุบในเดือนมิถุนายน และในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม พรรคชาตินิยม ประชาชน และรัฐเยอรมันถูกบังคับให้ยุบเช่นกัน อดีตสมาชิกพรรคได้รับการกระตุ้นให้เข้าร่วมพรรคนาซีหรือมิฉะนั้นต้องวางมือทางการเมือง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการกระตุ้นของฟรันซ์ ฟอน พาเพน พรรคศูนย์กลางคาทอลิกที่ยังเหลืออยู่ถูกยุบเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 1933 หลังได้รับคำมั่นของนาซีสำหรับการศึกษาศาสนาคาทอลิกและกลุ่มเยาวชน วันที่ 14 กรกฎาคม 1933 เยอรมนีกลายมาเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพฤตินัย เพราะการตั้งพรรคการเมืองใหม่ถูกห้าม การเลือกตั้งต่อมาในปลายปี 1933,ปี 1936 และ 1938 อยู่ใต้การควบคุมของนาซีโดยสมบูรณ์ และมีเพียงนาซีและ "แขก" อิสระจำนวนน้อยที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปในรัฐสภาตรายาง

ระบอบนาซีเลิกสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐไวมาร์ รวมทั้งธงไตรรงค์ดำ-แดง-ทอง และใช้สัญลักษณ์นิยมจักรวรรดิที่ปรับปรุงใหม่ที่แสดงธรรมชาติคู่ของจักรวรรดิที่สามแห่งเยอรมนี ที่ผ่านมา ไตรรงค์ดำ-ขาว-แดงถูกรื้อฟื้นเป็นหนึ่งในสองธงชาติอย่างเป็นทางการของเยอรมนี ซึ่งธงที่สองนั้นเป็นธงสวัสดิกะของพรรคนาซี ซึ่งกลายเป็นธงชาติเยอรมันอย่างเดียวในปี 1935 เพลงประจำพรรคนาซี "ฮอร์สท์-เวสเซิล-ลีด" กลายเป็นเพลงชาติเพลงที่สอง

วันที่ 30 มกราคม 1934 นายกรัฐมนตรีฮิตเลอร์รวมอำนาจปกครองเข้าสู่ตนเองด้วยรัฐบัญญัติสร้างไรช์ใหม่ (Act to Rebuild the Reich) โดยยุบรัฐสภาแลนเดอร์ (สหพันธรัฐ) และโอนอำนาจและการปกครองรัฐเข้าสู่รัฐบาลกลางกรุงเบอร์ลิน การรวมอำนาจปกครองเริ่มต้นไม่นานหลังการประกาศใช้กฎหมายรัฐบัญญัติมอบอำนาจเมื่อเดือนมีนาคม 1933 เมื่อรัฐบาลของรัฐต่าง ๆ ถูกแทนที่ด้วยผู้ว่าการไรช์ (Reich governor) รัฐบาลท้องถิ่นถูกขับจากตำแหน่ง ผู้ว่าการไรช์แต่งตั้งนายกเทศมนตรีของนครและเมืองที่มีประชากรต่ำกว่า 100,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งนายกเทศมนตรีนครที่มีประชากรมากกว่า 100,000 คน และในกรณีกรุงเบอร์ลินและฮัมบูร์ก (และเวียนนาในปี 1938) ฮิตเลอร์มีดุลยพินิจส่วนบุคคลในการแต่งตั้งนายกเทศมนตรี

จนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1934 มีเพียงกองทัพบกเท่านั้นที่ยังเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาล แต่เดิมกองทัพบกถูกแยกจากรัฐบาลแห่งชาติเป็นองค์การต่างหาก แอร์นสท์ เริม ผู้นำกำลังกึ่งทหารของนาซี ชตูร์มมับไทลุง (เอสเอ, "หน่วยสมทบวายุ") ซึ่งมีสมาชิกหลายล้านคน ตั้งใจเข้าบัญชาไรช์สเวร์ และกลืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเอสเอ เพื่อสานต่อ "การปฏิวัติแห่งชาติ" เริมนิยม "การปฏิวัติที่สอง" ซึ่งจะทำลายนักอุตสาหกรรม ธุรกิจขนาดใหญ่ อภิชนยุงเคอร์ และการควบคุมกองทัพของปรัสเซีย ประเด็นดังกล่าวถึงจุดวิกฤตในเดือนมิถุนายน 1934 เมื่อประธานาธิบดีฮินเดนบูร์กแจ้งฮิตเลอร์ว่า หากเขาไม่ดำเนินการเพื่อจำกัดเอสเอ จะยุบรัฐบาลและประกาศกฎอัยการศึก

ฮิตเลอร์ถูกไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์และแฮร์มันน์ เกอริงว่ามีการดำเนินแผนเพื่อโค่นเขาจากตำแหน่ง จึงสั่งให้ชุทซ์ซทัฟเฟล (เอสเอส) และ เกสตาโปลอบสังหารศัตรูทางการเมืองของเขาทั้งในและนอกพรรคนาซีใน "คืนมีดยาว" (Night of the Long Knives) การกวาดล้างแอร์นสท์ เริม กลุ่มเอสเอของเขา สทรัสเซริสท์ นาซีฝ่ายซ้าย และศัตรูการเมืองอื่นที่กินเวลาตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ถึง 2 กรกฎาคม 1934 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 200 คน ขณะที่ชาวเยอรมันบางคนรู้สึกตกใจกับการฆ่า แต่หลายคนยกย่องการกระทำที่เด็ดขาดของฮิตเลอร์เพื่อฟื้นฟูระเบียบ

ในวันที่ 2 สิงหาคม 1934 ประธานาธิบดีฮินเดนบูร์กถึงแก่อสัญกรรม ไรชส์ทาคที่นาซีควบคุมอยู่รวมตำแหน่งหน้าที่ไรช์ซแพรซิเดนท์ (ประธานาธิบดีไรช์) และไรช์ซคันซเลอร์ (นายกรัฐมนตรีไรช์) เข้าด้วยกัน และตั้งฮิตเลอร์เป็นฟือเรอร์อุนด์ไรช์ซคันซเลอร์ (ผู้นำและนายกรัฐมนตรีไรช์) หลัง "คืนมีดยาว" และอสัญกรรมของฮินเดนบูร์ก ไรช์ซเวร์ถูกตระเตรียมให้ยอมรับความเป็นผู้นำของฮิตเลอร์ เพราะฮิตเลอร์ได้ประกาศแผนการเสริมสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์และเพิ่มขนาดของไรช์ซเวร์ การที่นายพลตกลงจึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจ การลอบสังหารเริมและผู้นำเอสเอรวบรวมให้ไรช์ซเวร์เป็นกองทัพหนึ่งเดียวของไรช์ และคำมั่นสัญญาของฟือเรอร์ในการขยายแสนยานุภาพทางทหารประกันความภักดีของกองทัพต่อฮิตเลอร์ อสัญกรรมของฮินเดนบูร์กเอื้อให้การโอนคำสัตย์ปฏิญาณของทหารเยอรมันจากไรช์ตามรัฐธรรมนูญไวมาร์มายังฟือเรอร์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นไปโดยง่าย

การรวมอำนาจของพรรคนาซียังรวมไปถึงการควบคุมระบบการศึกษา วิทยุและสถาบันทางวัฒนธรรม ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง โจเซฟ เกิบเบิลส์ให้ความสำคัญกับธุรกิจภาพยนตร์เยอรมนี ซึ่งได้มีการกดดันให้ภาพยนตร์ทำการโฆษณาชวนเชื่อแก่ชาวเยอรมัน ภายในเวลาไม่นานนักการจัดระเบียบทางสังคมก็เสร็จสิ้น ฮิตเลอร์จึงเริ่มฟื้นฟูฐานะของเยอรมนีในเวทีโลกต่อไป

ฮิตเลอร์หันไปให้ความสนใจในด้านการต่างประเทศมากกว่านโยบายภายในประเทศ เป้าหมายหลักของเขาคือการยึดครองดินแดนทางตะวันออกไปจนถึงสหภาพโซเวียต ในปี 1935 การฟื้นฟูกำลังทหารในเยอรมนีเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการเกณฑ์ทหาร และการสร้างกองทัพอากาศ ทั้งยังได้รับอนุญาตให้มีกองเรือขนาด 35% ของราชนาวีอังกฤษ และในปี 1936 ฮิตเลอร์ยึดครองไรน์แลนด์โดยปราศจากปฏิกิริยารุนแรงจากพันธมิตรตะวันตก ซึ่งนับเป็นการขยายดินแดนครั้งแรกในสมัยนาซีเยอรมนี

ในปีเดียวกัน ฮิตเลอร์ได้ประกาศว่าเยอรมนีต้องพร้อมเข้าสู่สงครามในปี 1940 พร้อมกับเริ่มแผนการสี่ปี อุตสาหกรรมหนักของเยอรมนีได้ลงนามในข้อตกลงผลิตอาวุธให้กับรัฐบาลขนานใหญ่ ทำให้เยอรมนีมีอาวุธจำนวนมากที่พร้อมเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่ฮิตเลอร์ประมาณว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะกินเวลาไม่นานนัก ทำให้อาวุธดังกล่าวไม่มีการผลิตเพื่อทดแทน

ระหว่างปี 1938-1939 เยอรมนีได้ผนวกดินแดนเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก: ออสเตรีย ในเดือนมีนาคม 1938, ซูเตเดนแลนด์ ในเดือนกันยายน 1938, โบฮีเมียและโบราเวีย ในเดือนมีนาคม 1939 ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุขึ้นเมื่อเยอรมนีบุกครองโปแลนด์

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 การบุกครองโปแลนด์เริ่มต้นขึ้น อีกสองวันถัดมา สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมนี แต่ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน โปแลนด์ก็ถูกแบ่งออกเป็นเขตการยึดครองของเยอรมนีและสหภาพโซเวียต ตามข้อตกลงลับในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพซึ่งลงนามไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างเยอรมนีกับฝ่ายสัมพันธมิตรราว 6 เดือนหลังจากโปแลนด์พ่าย จนกระทั่งการทัพนอร์เวย์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1940 เยอรมนีได้ขยายดินแดนไปทางเหนือ ตามด้วยการรุกรานฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ ในเดือนพฤษภาคม

ในยุทธการแห่งบริเตน ซึ่งเป็นการเตรียมการสำหรับการรุกรานเกาะอังกฤษทางบก การทิ้งระเบิดใส่กรุงลอนดอนโดยอุบัติเหตุซึ่งขัดคำสั่งของฮิตเลอร์ ได้เปลี่ยนเส้นทางของสงคราม อังกฤษตอบโต้ด้วยการทิ้งระเบิดกรุงเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์โกรธมาก จึงได้สั่งให้มีการทิ้งระเบิดตามหัวเมืองอังกฤษอย่างหนัก ซึ่งได้เปิดโอกาสให้แก่กองทัพอากาศอังกฤษ ความพ่ายแพ้เหนือน่านฟ้าอังกฤษเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของเยอรมนี ฮิตเลอร์จึงหันไปให้ความสนใจในการโจมตีสหภาพโซเวียตแทน

ในช่วงปี 1940-1941 เยอรมนีสามารถยึดครองเกือบทุกประเทศในทวีปยุโรป โดยส่งทหารรุกรานยูโกสลาเวีย กรีซ เกาะครีตและในแถบคาบสมุทรบอลข่าน ในทวีปแอฟริกา กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปถึงอียิปต์ ด้วยสภาวะเช่นนี้ เยอรมนีต้องทำศึกหลายด้าน หากแต่แผนการรุกรานสหภาพโซเวียตยังคงดำเนินการต่อไป ซึ่งนับว่าผิดหลักยุทธศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง หากแต่มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว ช่วงปลายปีปี 1941 กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปในสหภาพโซเวียตถึง 1,689 กิโลเมตร ล้อมชานนครเลนินกราด แต่ก็ถูกหยุดยั้งที่มอสโกในฤดูหนาวที่โหดร้าย อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร

ในปี 1942 การโจมตีโต้กลับของกองทัพแดงในสหภาพโซเวียตได้ขับไล่กองทัพอักษะออกจากชานกรุงมอสโก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กองทัพฝ่ายอักษะได้โจมตีทุ่งปิโตรเลียมแถบเทือกเขาคอเคซัสและแม่น้ำวอลกาครั้งใหญ่ หากแต่ความพ่ายแพ้ในยุทธการสตาลินกราดได้สร้างความสูญเสียครั้งมโหฬารจนไม่สามารถรุกคืบต่อไปได้อีก ในปีเดียวกัน ทางด้านตะวันตก เยอรมนีเผชิญกับการทิ้งระเบิดทางอากาศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายแก่พลเมืองและสาธารณูปโภค พอถึงปี 1943 ในการทัพแอฟริกาเหนือ กองทัพอักษะล่าถอยจากอียิปต์ไปจนถึงตูนิเซีย และเกาะซิซิลีของอิตาลี และในแนวรบด้านตะวันออก กองทัพเยอรมันก็ถูกผลักดันออกมาจากเลนินกราดและสตาลินกราด เช่นเดียวกับความพยายามที่ล้มเหลวในการตีโต้ที่เคิสก์ และในปี 1944 ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตร – ปฏิบัติการบากราติออนและปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด – ส่งผลให้กองทัพแดงรุกถึงโปแลนด์ในแนวรบด้านตะวันออก และฝ่ายสัมพันธมิตรรุกถึงแม่น้ำไรน์ในแนวรบด้านตะวันตก

ปฏิบัติการในการยับยั้งกองทัพสัมพันธมิตรล้วนแต่ประสบความล้มเหลว และราวเดือนเมษายน 1945 กองทัพสัมพันธมิตรได้รุกเข้าสู่เยอรมนีทั้งทางตะวันตกและทางตะวันออก กรุงเบอร์ลินตกอยู่ใต้วงล้อมของกองทัพโซเวียต ฮิตเลอร์เจ็บป่วยอย่างหนักและตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยส่งมอบอำนาจต่อให้แก่พลเรือเอก คาร์ล เดอนิตช์

เดอนิตช์พยายามที่จะติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อขอยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 ได้มีการยอมจำนนอย่างเป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดการคงอยู่ของนาซีเยอรมนี

ในเดือนสิงหาคม ได้มีการจัดการประชุมพอตสดัมระหว่างผู้นำมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อกำหนดข้อตกลงและแนวทางสำหรับอนาคตของเยอรมนี รวมทั้งเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของเยอรมนีอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามผู้นำและนายทหารระดับสูงของนาซีที่เนือร์นแบร์ก จำเลยทั้งหมดถูกพิจารณาคดีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งมีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินประหารชีวิตและบางส่วนถูกตัดสินจำคุก

การแบ่งแยกปกครองเยอรมนีเริ่มต้นขึ้นภายใต้การจัดตั้งสภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร และแบ่งเยอรมนีและกรุงเบอร์ลินออกเป็น 4 ส่วน ให้อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต โดยส่วนที่ปกครองโดยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมตัวกันเป็นเยอรมนีตะวันตก และส่วนที่สหภาพโซเวียตปกครองกลายมาเป็นเยอรมนีตะวันออก เยอรมนีทั้งสองเป็นสนามรบของสงครามเย็นในทวีปยุโรป ก่อนที่จะมีการรวมประเทศอีกครั้งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20

เยอรมนีตั้งอยู่ในเขตที่ราบต่ำตอนกลางทวีปยุโรป มีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่สามแห่ง: เขตที่ราบต่ำตอนเหนือ เขตภูเขาตอนกลาง และเขตที่ราบสูงและลุ่มแม่น้ำทางใต้ ดินทางตอนเหนือนั้นมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมาก และมีป่าสนกินอาณาเขตกว้างขวางตามตีนเขาของเทือกเขาที่ลากผ่านตอนกลางของประเทศ

ด้านการคมนาคม ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ เยอรมนีมีทางน้ำในประเทศความยาวรวมกว่า 7,000 ไมล์ ซึ่งในจำนวนนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจถึง 4,830 ไมล์ มีเมืองท่าที่สำคัญ คือ ดืสบูร์ก-รูรอร์ท ฮัมบูร์ก และเบอร์ลิน เช่นเดียวกับคลองคีล ซึ่งมีสินค้าผ่านคลองกว่า 9.4 ล้านตันต่อปี ในปี 1936 นอกจากนั้น เยอรมนียังมีทางรถไฟยาวกว่า 43,000 ไมล์; ในปี 1937 เยอรมนีมีระบบถนนยาว 134,000 ไมล์ และทางหลวงขนาดใหญ่ (เอาโตบาเนน) ยาว 3,150 ไมล์ ในปี 1939

เกษตรกรรมในประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก และสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด ในปี 1936 ราว 61% ของพื้นที่ทั้งประเทศเป็นพื้นที่เพาะปลูก โดยพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวไรย์ มันฝรั่ง ชูการ์บีต และไม้องุ่น มีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน ปิโตรเลียม ทองแดง สังกะสี และดีเกลือ

ผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่งผลให้เยอรมนีเสียดินแดนไปกว่า 13% และอาณานิคมทั้งหมด รวมทั้งเสียเขตอุตสาหกรรมสิ่งทอ เหมืองพอทแทช และแหล่งแร่เหล็กที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงดินแดนทำให้เยอรมนีมีพรมแดนทางเหนือติดต่อกับเดนมาร์ก ทะเลเหนือ และทะเลบอลติก ทางทิศตะวันตกติดต่อกับฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ ไรน์แลนด์ และซาร์ลันด์ ทางทิศตะวันออก เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยติดต่อกับโปแลนด์ ลิทัวเนีย นครเสรีดันซิก และเชโกสโลวาเกีย ส่วนทางทิศใต้มีออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านได้แก่ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำดานูบ และแม่น้ำเอลเบอ

ต่อมา เยอรมนีเข้าควบคุมซาร์ลันด์ เปลี่ยนตนเองเป็น "มหาเยอรมนี" (Greater Germany) โดยผนวกออสเตรียในอันชลุสส์ และเข้าควบคุมซูเดเทนลันด์ของเชโกสโลวาเกีย โบฮีเมียและโมราเวียส่วนที่เหลือ และดินแดนเมเมล (ภูมิภาคไคลเพดา) ของลิทัวเนียก่อนสงคราม

ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง พื้นที่ซึ่งมีพลเมืองชาวเยอรมันอาศัยอยู่ อย่างเช่น ออสเตรีย ซูเทเดนแลนด์, ดินแดนมาเมล รวมทั้งดินแดนซึ่งผนวกรวมภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ ได้แก่ ออยเปน-เอท-มัลเมอดี, อัลซาซ-ลอร์เรน, ดันซิก และดินแดนของโปแลนด์ นอกจากนั้น ระหว่างปี 1939-1945 แคว้นโบฮีเมียและโบราเวีย ถูกปกครองในฐานะรัฐในอารักขาของเยอรมนี ซึ่งเยอรมนีมีอำนาจควบคุมและบริหารประเทศ แต่ยังอนุญาตให้มีเงินตราของตัวเอง เช็กไซลีเซียรวมเข้ากับจังหวัดไซลีเซียในช่วงเวลาเดียวกัน ในปี 1942 ลักเซมเบิร์กถูกผนวกรวมกับเยอรมนีโดยตรง โปแลนด์ตอนกลางและแคว้นกาลิเซียถูกปกครองโดยเจอเนอรัลโกอูเวอร์เนเมนท์ (เยอรมัน: Generalgouvernement) ที่เยอรมนีบริหาร ท้ายสุด ชาวโปแลนด์จะถูกอพยพ และจัดให้ชาวเยอรมันห้าล้านคนเข้าไปอาศัยอยู่แทน ปลายปี 1943 นาซีเยอรมนีพิชิตเซาธ์ไทรอล และอิสเตรีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ก่อนปี 1919 และยึดตรีเอสเตหลังรัฐบาลฟาสซิสต์อิตาลี (ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรฝ่ายอักษะ) ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เขตการปกครองหุ่นเชิดสองเขตถูกจัดตั้งขึ้นแทนที่

พรมแดนโดยพฤตินัยของนาซีเยอรมนีเปลี่ยนแปลงมานานก่อนการล่มสลายในเดือนพฤษภาคม 1945 เพราะกองทัพแดงคืบหน้ามาทางตะวันตก พร้อมกับที่ประชากรเยอรมันหลบหนีมายังแผ่นดินเยอรมนี และสัมพันธมิตรตะวันตกรุกคืบมาทางตะวันออกจากฝรั่งเศส เมื่อสงครามยุติ มีเพียงผืนดินเล็ก ๆ จากออสเตรียถึงโบฮีเมียและโมราเวีย และภูมิภาคที่ถูกโดดเดี่ยวอื่น ๆ เท่านั้นที่ยังไม่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครอง ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสถาปนาเขตยึดครอง ดินแดนเยอรมนีก่อนสงครามทางตะวันออกของแนวโอเดอร์-นีซเซ (อันประกอบด้วย ปรัสเซียตะวันออก ไซลีเซีย ปรัสเซียตะวันตก ราวสองในสามของแคว้นโพเมอราเนีย และบางส่วนของบรันเดนบูร์ก) และสเทททิน และบริเวณโดยรอบ (เกือบ 25% ของดินแดนเยอรมนีก่อนสงครามเมื่อปี 1937) อยู่ภายใต้การปกครองของโปแลนด์และโซเวียต โดยแบ่งให้โปแลนด์และโซเวียตผนวก นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังได้ยึดครองดินแดนส่วนใหญ่ของแคว้นซาร์ ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมถ่านหินที่สำคัญของเยอรมนีที่เหลืออีกด้วย ดินแดนส่วนใหญ่ที่เยอรมนีเสียไปนี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ยกเว้น อัปเปอร์ไซลีเซีย ซึ่งเป็นศูนย์อุตสาหกรรมหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของเยอรมนี ฝ่ายสัมพันธมิตรขับไล่ผู้อยู่อาศัยชาวเยอรมัน ในปี 1947 สภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตรยุบเลิกปรัสเซียด้วยกฎหมาย ที่ 46 (20 พฤษภาคม 1947) ตามการประชุมพอทสดัม ดินแดนปรัสเซียทางตะวันออกของแนวโอเดอร์-นีซเซถูกแบ่งแยกและปกครองโดยโปแลนด์และมณฑลคาลินินกราด ตามสนธิสัญญาสันิภาพขั้นสุดท้าย ภายหลัง โดยลงนามสนธิสัญญากรุงวอร์ซอ (ค.ศ. 1970) และสนธิสัญญาว่าด้วยการตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับดินแดนเยอรมนี (ค.ศ. 1990) เยอรมนีสละการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนที่เสียไประหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

การเปลี่ยนแปลงดินแดนดังกล่าวส่งผลกระทบให้ชาวเยอรมันราว 14 ล้านคน ถูกขับออกจากดินแดนซึ่งอยู่นอกพรมแดนประเทศเยอรมนีใหม่ มีผู้เสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์นี้ประมาณ 1-2 ล้านคน เช่นเดียวกับเมืองใหญ่น้อยทั้งหลาย เช่น สเทททิน, เคอนิกซเบิร์ก, เบรสเลา, เอลบิง และดันซิก ที่ได้ขับชาวเยอรมันออกจากเมืองเช่นกัน

รัฐนาซียกย่องฮิตเลอร์ว่าเป็นฟือเรอร์ ("ผู้นำ") ที่รวมศูนย์อำนาจทั้งหมดไว้ในมือ การโฆษณาชวนเชื่อนาซีมีศูนย์กลางอยู่ที่ฮิตเลอร์และสร้างสิ่งที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า "เรื่องปรัมปราฮิตเลอร์" คือ ฮิตเลอร์เป็นผู้รู้แจ้งและความผิดพลาดหรือความล้มเหลวใด ๆ ของผู้อื่นจะถูกแก้ไขให้ถูกต้องหากเขาให้ความสนใจ แต่ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์มีความสนใจแคบ และการวินิจฉัยสั่งการกระจายกันระหว่างศูนย์อำนาจที่ซ้ำซ้อนและขัดแย้งกัน ฮิตเลอร์ไม่มีปฏิกิริยาในบางประเด็น เพียงแต่เห็นพ้องกับแรงกดดันจากผู้ใดก็ตามที่เขารับฟัง ข้าราชการระดับสูงรายงานตรงต่อฮิตเลอร์และปฏิบัติตามนโยบายพื้นฐาน แต่ยังมีความเป็นอิสระในงานประจำวันพอสมควร ผ่านการบรรจุสมาชิกพรรคนาซีในตำแหน่งหน้าที่รัฐบาลส่วนใหญ่ จนถึงปี 1935 รัฐบาลแห่งชาติเยอรมันและพรรคนาซีก็แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน จนถึงปี 1938 ผ่านนโยบายไกลช์ชัลทุง รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐสูญเสียอำนาจนิติบัญญัติทั้งหมดและสนองตอบผู้นำพรรคนาซีในการปกครอง ซึ่งเรียกว่า เกาไลแตร์

เพื่อให้การควบคุมเยอรมนีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นไปโดยรัดกุมยิ่งขึ้น ในปี 1935 ระบอบนาซีแทนที่การปกครองลันเดอร์ (เยอรมัน: l?nder) ด้วย "เกา" (เยอรมัน: gau) ซึ่งนำโดยผู้ว่าการที่ตอบสนองต่อรัฐบาลกลางในกรุงเบอร์ลิน การจัดระเบียบใหม่นี้ทำให้ปรัสเซียอ่อนแอลงในทางการเมือง ซึ่งในอดีตปรัสเซียเคยครอบงำการเมืองเยอรมนี เริ่มแรกนั้น เยอรมนีแบ่งออกเป็น 32 เกา และระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีเยอรมนีสามารถยึดครองดินแดนอื่นได้ จึงได้จัดระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ เรียกว่า "ไรช์เกา" (เยอรมัน: reichsgau) กระทั่งปี 1945 นาซีเยอรมนีมีเขตการปกครองรวมทั้งสิ้น 42 เกา

นาซีเยอรมนีประกอบขึ้นจากหลายโครงสร้างอำนาจที่แข่งขันกัน ทั้งหมดล้วนพยายามสร้างความประทับใจแก่ฟือเรอร์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ฉะนั้นกฎหมายที่มีอยู่หลายฉบับจึงได้รับผลกระทบและถูกแทนที่ด้วยการตีความสิ่งที่ฮิตเลอร์ต้องการ ข้าราชการระดับสูงของพรรคหรือรัฐบาลคนใดสามารถนำหนึ่งในความเห็นของฮิตเลอร์และเปลี่ยนให้เป็นกฎหมายใหม่ได้ ซึ่งฮิตเลอร์อาจอนุมัติหรือไม่อนุมัติอย่างไม่เป็นทางการ จึงกลายมาเป็นที่รู้จักกันว่า "การทำงานมุ่งสู่ฟือเรอร์" เพราะรัฐบาลมิได้เป็นองค์การที่ประสานร่วมมือกัน หากเป็นการรวมปัจเจกบุคคลที่ต่างพยายามสร้างความประทับใจและมีอิทธิพลเหนือฟือเรอร์ บ่อยครั้งจึงทำให้รัฐบาลสับสนยุ่งยากและแตกแยกกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนโยบายที่กำกวมของฮิตเลอร์ในการสร้างตำแหน่งหน้าที่ที่คล้ายกันโดยมีอำนาจทับซ้อนกัน ขบวนการนี้ทำให้นาซีที่ไม่ซื่อสัตย์และทะเยอทะยานกว่าออกไปนำอุดมการณ์ส่วนที่หัวรุนแรงและสุดโต่งกว่าของฮิตเลอร์ เช่น ต่อต้านยิว ทำให้ได้รับความประทับใจทางการเมือง โดยได้รับการปกป้องจากจักรกลโฆษณาชวนเชื่อทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งของเกิบเบิลส์ ซึ่งพรรณารัฐบาลว่าเป็นชุดที่อุทิศตัว รับผิดชอบต่อหน้าที่และมีประสิทธิภาพ การแข่งขันอย่างรุนแรงและการตรากฎหมายอันยุ่งเหยิงจึงสามารถบานปลายได้ ความคิดเห็นทางประวัติศาสตร์แตกกันระหว่าง "กลุ่มเจตนา" ซึ่งเชื่อว่าฮิตเลอร์สร้างระบบนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นวิถีทางเดียวในการประกันทั้งความจงรักภักดีสมบูรณ์และการอุทิศตนของผู้สนับสนุนเขาและการพ้นวิสัยการคบคิด และ "กลุ่มโครงสร้างนิยม" ที่เชื่อว่าระบบนี้พัฒนาขึ้นเอง และเป็นการจำกัดอำนาจที่ควรจะเผด็จการเบ็ดเสร็จของฮิตเลอร์

คณะรัฐบาลแห่งนาซีเยอรมนีมีอายุ 12 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 1933 ถึงวันที่ 30 เมษายน 1945 หลังฮิตเลอร์ทำอัตวินิบาตกรรมในหลุมหลบภัยใต้ดินในกรุงเบอร์ลิน เขาสืบทอดอำนาจต่อให้แก่คาร์ล เดอนิทซ์ ด้วยความปรารถนาที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของเขาต่อไปอีก

คณะรัฐบาลเฟลนซบูร์กเป็นรัฐบาลชั่วคราวของนาซีเยอรมนีหลังวันที่ 30 เมษายน 1945 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งจอมพลเรือ คาร์ล เดอนิทซ์เป็นประธานาธิบดีแห่งนาซีเยอรมนี เดอนิทซ์ย้ายที่ทำการรัฐบาลจากกรุงเบอร์ลินไปยังเฟลนซบูร์ก ใกล้กับชายแดนเยอรมนี-เดนมาร์ก เป้าหมายของเขาก็คือ การยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อกองทัพสัมพันธมิตรที่รุกมาทางตะวันตก มิใช่กับกองทัพโซเวียตผู้รุกรานมาทางทิศตะวันออก คณะรัฐบาลเฟลนซบูร์กสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 และคณะรัฐมนตรีทั้งหมดถูกจับกุมตัวโดยกองทัพสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1945

ชาติสังคมนิยมมีองค์ประกอบอุดมการณ์สำคัญบางอย่างของลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งเดิมพัฒนาขึ้นในอิตาลีภายใต้เบนิโต มุสโสลินี อย่างไรก็ดี นาซีไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าตนเป็นฟาสซิสต์ อุดมการณ์ทั้งสองเกี่ยวข้องกับการใช้แสนยนิยม ชาตินิยม ต่อต้านคอมมิวนิสต์และกำลังกึ่งทหารในทางการเมือง และทั้งคู่ตั้งใจจะสร้างรัฐเผด็จการ แต่นาซีเน้นไปทางเชื้อชาติมากกว่าฟาสซิสต์ในอิตาลี โปรตุเกส และสเปน นาซียังเจตนาสร้างรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับฟาสซิสต์อิตาลีที่แม้จะสนับสนุนรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ แต่อนุญาตให้มีเสรีภาพส่วนบุคคลแก่พลเมืองของตนมากกว่า ข้อแตกต่างนี้ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อิตาลียังดำรงอยู่ได้และมีพระราชอำนาจอย่างเป็นทางการบางอย่าง อย่างไรก็ดี นาซีลอกสัญลักษณ์นิยมของตนจำนวนมากจากฟาสซิสต์ในอิตาลี เช่น การลอกการทำความเคารพแบบโรมันมาเป็นการทำความเคารพแบบนาซี การใช้การชุมนุมมวลชน ทั้งคู่ใช้กำลังกึ่งทหารในเครื่องแบบที่อุทิศตนต่อพรรค (เอสเอในเยอรมนีและเชิ้ตดำในอิตาลี) ทั้งฮิตเลอร์และมุสโสลินีถูกเรียกว่า "ผู้นำ" (ฟือเรอร์ในภาษาเยอรมัน ดูเชในภาษาอิตาลี) ทั้งคู่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ทั้งคู่ต้องการรัฐที่ขับเคลื่อนทางอุดมการณ์ และทั้งคู่สนับสนุนทางสายกลางระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า บรรษัทนิยม ตัวพรรคเองปฏิเสธการจัดอยู่ในกลุ่มฟาสซิสต์ โดยอ้างว่าชาติสังคมนิยมเป็นอุดมการณ์เอกลักษณ์เฉพาะของเยอรมนี

ลักษณะรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของพรรคนาซีเป็นหนึ่งในหลักสำคัญของพรรค นาซียืนยันว่าทุกความสำเร็จลุล่วงอันยิ่งใหญ่ในอดีตของชาติและประชาชนชาวเยอรมันล้วนเกี่ยวข้องกับอุดมคติชาติสังคมนิยม ก่อนที่อุดมการณ์นั้นจะมีขึ้นจริง ๆ เสียอีก การโฆษณาชวนเชื่อถือว่าการรวบรวมอุดมคตินาซีและความสำเร็จของระบอบเป็นของฟือเรอร์ของระบอบ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ถูกพรรณาว่าเป็นอัจฉริยะเบื้องหลังความสำเร็จของพรรคนาซีและผู้ช่วยให้รอดของเยอรมนี

"ปัญหาชาวเยอรมัน" ที่มักกล่าวถึงในหมู่นักวิชาการอังกฤษ มุ่งประเด็นการปกครองภูมิภาคเยอรมนีในยุโรปเหนือและยุโรปกลาง ซึ่งเป็นแก่นสำคัญตลอดประวัติศาสตร์เยอรมนี "ตรรกะ" การรักษาให้เยอรมนีมีพื้นที่เล็ก ๆ ได้รับการสนับสนุนจากคู่แข่งเศรษฐกิจรายสำคัญ และเป็นแรงขับในการสร้างรัฐโปแลนด์ขึ้นใหม่ เป้าหมายคือ เพื่อ "ถ่วงดุลอำนาจของเยอรมนี"

นาซีสนับสนุนมโนทัศน์กรอสส์ดอยท์ชลันด์ หรือมหาเยอรมนี และเชื่อว่าการรวมชาวเยอรมันอยู่ในชาติเดียวเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จแห่งชาติของตน การสนับสนุนมโนทัศน์มหาเยอรมนีอย่างหลงใหลของนาซีนี้เองที่นำไปสู่การขยายอาณาเขตของเยอรมนี ที่ให้ความชอบธรรมและการสนับสนุนที่จำเป็นแก่ไรช์ที่สามในการเดินหน้าพิชิตดินแดนที่ประชากรมิใช่ชาวเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ที่เสียไปนานมาแล้ว เช่น อดีตดินแดนที่ปรัสเซียเคยได้ในโปแลนด์และเสียให้แก่รัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือเพื่อเข้ายึดดินแดนที่มีประชากรชาวเยอรมันเช่นออสเตรียบางส่วน มโนทัศน์เลเบนสเราม์ หรือที่เจาะจงกว่านั้น ความจำเป็นในการขยายประชากรชาวเยอรมัน ก็ถูกระบอบนาซีอ้างเป็นเหตุในการขยายอาณาเขตดินแดน

สองประเด็นสำคัญ คือ การบริหารให้ฉนวนโปแลนด์และดันซิกเข้าสู่ไรช์ ขณะที่นโยบายเชื้อชาติขยายขึ้น โครงการเลเบนสเราม์ก็เชื่อมโยงกับผลประโยชน์คล้ายกัน นาซีกำหนดว่ายุโรปตะวันออกจะถูกตั้งถิ่นฐานโดยชาติพันธุ์เยอรมัน และประชากรสลาฟที่เข้ามาตรฐานเชื้อชาติของนาซีจะถูกกลืนเข้าสู่ไรช์ ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะกับมาตรฐานเชื้อชาติจะถูกใช้เป็นแรงงานกรรมกรราคาถูกหรือเนรเทศไปทางตะวันออก

เป้าหมายที่สำคัญสำหรับพรรคนาซีได้แก่การยุบรวมเอาฉนวนโปแลนด์และนครเสรีดันซิกเข้าสู่จักรวรรดิไรช์ที่สาม ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งของนโยบายการแบ่งแยกเชื้อชาติของนาซี แผนการ Lebensraum มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันหลายประการ กล่าวคือ พรรคนาซีเชื่อว่ายุโรปตะวันออกควรจะเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมัน และประชาชนชาวสลาฟที่อยู่ในแผ่นดินของนาซีเยอรมนี พวกเขาเหล่านั้นจะถูกใช้เป็นแรงงานราคาถูกหรือถูกเนรเทศไปทางทิศตะวันออกต่อไป

การเหยียดสีผิวและคตินิยมเชื้อชาติเป็นมุมมองสำคัญของสังคมในไรช์ที่สาม นาซีรวมการต่อต้านยิวเข้ากับอุดมการณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยพิจารณาขบวนการลัทธิอยู่ร่วมกันระหว่างประเทศฝ่ายซ้าย เช่นเดียวกับทุนนิยมตลาดระหว่างประเทศ ว่าเป็นผลงานของ "ยิวที่สมรู้ร่วมคิด" นาซียังเอ่ยถึงขบวนการเช่นนี้ด้วยคำอย่าง "การปฏิวัติของพวกต่ำกว่ามนุษย์ยิว-บอลเชวิค" แนวนโยบายดังกล่าวออกมาในรูปการย้ายประชากร การกักกันและการกำจัดประชากร 11–12 ล้านคนอย่างเป็นระบบระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งราวครึ่งหนึ่งเป็นยิวที่ถูกเป้าหมายในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่า ฮอโลคอสต์ ชาติพันธุ์โปแลนด์ 3 ล้านคนเสียชีวิตด้วยผลของการสงคราม พันธุฆาต การตอบโต้ แรงงานเกณฑ์หรือทุพภิกขภัย และอีก 100,000–1,000,000 คนเป็นชาวโรมานี ที่ถูกฆ่าใน Porajmos เหยื่ออื่น ๆ ของการเบียดเบียนโดยนาซี รวมถึงพวกคอมมิวนิสต์ คู่แข่งทางการเมืองทั้งหลาย ผู้ที่ถูกขับออกจากสังคม รักร่วมเพศ นักคิดเสรี ผู้คัดค้านศาสนา เช่น ผู้นับถือพยานพระยะโฮวาห์ (Jehovah's Witnesses) คริสตาเดลเฟียน คริสตจักรสารภาพและฟรีเมสัน

โครงสร้างการศาลและประมวลกฎหมายส่วนใหญ่ของสาธารณรัฐไวมาร์ยังคงใช้อยู่ระหว่างและหลังไรช์ที่สาม แต่มีการเปลี่ยนแปลงในประมวลการศาล (judicial code) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญในคำวินิจฉัยของศาล พรรคนาซีเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคเดียวในเยอรมนี และพรรคการเมืองอื่นทั้งหมดถูกห้าม สิทธิมนุษยชนส่วนมากในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ถูกระงับโดยไรช์ซเกเซทเซอ ("กฎหมายของไรช์") หลายฉบับ ชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก เช่น ยิว นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และเชลยศึกถูกเพิกถอนสิทธิและความรับผิดชอบส่วนใหญ่ แผนการเพื่อผ่านโฟล์คซซทรัฟเกเซทซบุค ("ประมวลกระบวนการยุติธรรมทางอาญาประชาชน") มีขึ้นไม่นานหลังปี 1933 แต่ไม่ได้นำปมาใช้จริงกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองยุติ

มีการตั้งศาลประเภทใหม่ โฟล์คซดกริชท์ชอฟ ("ศาลประชาชน") ขึ้นในปี 1934 เพียงเพื่อจัดการกับคดีที่มีความสำคัญทางการเมืองเท่านั้น ตั้งแต่ปี 1934 – กันยายน 1944 ศาลมีคำสั่งประหารชีวิต 5,375 คน ไม่นับรวมโทษประหารชีวิตตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 1944 – เมษายน 1945 ซึ่งประเมินที่ 2,000 คน ตุลาการคนที่โดดเด่นที่สุด คือ โรลันด์ ไฟรซเลอร์ หัวหน้าศาลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1942 – กุมภาพันธ์ 1945

เมื่อพรรคนาซีเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ นั้น ปัญหาทางเศรษฐกิจที่กดดันมากที่สุด คือ อัตราการว่างงานที่สูงถึงประมาณ 30% ในตอนเริ่มต้น นโยบายเศรษฐกิจของไรช์ที่สามเป็นแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ ดร. ยัลมาร์ ชัคท์ ประธานไรช์บังค์ (ค.ศ. 1933) และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ (ค.ศ. 1934) ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในการนำนโยบายการพัฒนาใหม่ของนาซี การกลับมาปรับให้เป็นอุตสาหกรรม และการสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ ในอดีต เขาเคยเป็นผู้ตรวจการเงินตราสาธารณรัฐไวมาร์และประธานไรช์บังค์ ในตำแหน่งหน้าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ชัคท์เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีจำนวนน้อยที่ใช้ประโยชน์จากเสรีภาพด้านการบริหารที่เป็นผลจากการถอนเงินตราไรช์มาร์คจากมาตรฐานทองคำ เพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการขาดดุลงบประมาณสูง การโยธาอย่างกว้างขวาง เช่น ออโตบาห์น การลดการว่างงาน เป็นนโยบายเงินทุนขาดดุล ผลการบริหารของรัฐมนตรีเศรษฐกิจชัคท์ทำให้อัตราการว่างงานลดลงอย่างมาก ถือว่าเร็วที่สุดในทุกประเทศระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ท้ายสุด นโยบายเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์นี้ได้รับการสนับสนุนโดยเพิ่มอุปสงค์การผลิตของการสงคราม การเพิ่มงบประมาณทางการทหาร และเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐบาล ไรช์เวร์ ซึ่งเดิมมีทหาร 100,000 นายในกองทัพบก ขยายเป็นหลายล้านนาย และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเวร์มัคท์ในปี 1935

ขณะที่รัฐแทรกแซงเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด และนโยบายการสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ขนานใหญ่ เกือบทำให้มีการจ้างงานเต็มอัตราระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1930 (แต่สถิติไม่นับรวมผู้ที่มิใช่พลเมืองหรือสตรี) ค่าจ้างแท้จริงในเยอรมนีลดลงราว 25% ระหว่างปี 1933 ถึง 1938สหภาพแรงงานถูกยกเลิก เช่นเดียวกับการร่วมเจรจาต่อรองกับสิทธิในการนัดหยุดงาน สิทธิในการลาออกก็หายไปเช่นกัน มีการริเริ่มสมุดแรงงาน (labour book) ในปี 1935 และต้องการความยินยอมของผู้ว่าจ้างคนก่อนเพื่อได้รับการว่าจ้างในตำแหน่งงานใหม่

การควบคุมธุรกิจของนาซีจำกัดการลงทุนแรงกระตุ้นกำไรลดลง ซึ่งถูกควบคุมด้วยการวางระเบียบทางเศรษฐกิจที่ประนีประนอมการทำหน้าที่ของบริษัทกับข้อกำหนดการผลิตแห่งชาติของไรช์ กระทั่งการคลังภาครัฐกลายมาครอบงำการลงทุนเอกชน ในช่วงปี 1933–34 สัดส่วนหลักทรัพย์เอกชนลดลงจากกว่า 50% ของทั้งหมด ลงเหลือประมาณ 10% ในช่วงปี 1935–38 ภาษีกำไรมหาศาลจำกัดบริษัทที่จัดหาเงินทุนเอง และในทางปฏิบัติ บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด (ซึ่งโดยปกติเป็นผู้รับจ้างรัฐบาล) ส่วนใหญ่กำไรได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ปีเตอร์ เทมิน เขียนว่า การควบคุมของรัฐบาลอนุญาต "เพียงเปลือกกรรมสิทธิ์เอกชน" ในเศรษฐกิจไรช์ที่สามเท่านั้น ในทางตรงข้าม คริสตอฟ บุชไฮม์ และโยนัส แชร์แนร์ แย้งว่า แม้การควบคุมภาครัฐ ธุรกิจยังมีเสรีภาพในการผลิตและการวางแผนการลงทุนอยู่มาก ขณะที่เศรษฐกิจยังถูกควบคุมทางการเมืองเป็นส่วนใหญ่ ก็ "ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า กรรมสิทธิ์การประกอบการของเอกชนจะไม่มีความสำคัญใด ๆ [...] เพราะแม้กิจกรรมวางระเบียบอย่างกว้างขวางโดยบริหารรัฐกิจแบบเข้าแทรกแซง แต่บริษัทห้างร้านยังสงวนภาวะอิสระของตนอยู่มากแม้ภายใต้ระบอบนาซี"

ในปี 1937 แฮร์มันน์ เกอริงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแทนยัลมาร์ ชัคท์ และเสนอแผนสี่ปีเพื่อสร้างการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจแก่สงครามภายในสี่ปี โดยลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ตรึงค่าจ้างและราคา ซึ่งผู้ละเมิดจะถูกนำตัวไปกักกันที่ค่าย เงินปันผลหลักทรัพย์ถูกจำกัดที่ 6% ของทุนบัญชี ฯลฯ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ คือ เพื่อให้บรรลุโดยไม่สนใจราคา ดังเช่นในเศรษฐกิจโซเวียต ฉะนั้น จึงมีการสร้างโรงงานยางสังเคราะห์ โรงงานเหล็กกล้า โรงงานสิ่งทออัตโนมัติ ฯลฯ อย่างรวดเร็ว แผนสี่ปีมีการอภิปรายในรายงานฮอสส์บัค (5 พฤศจิกายน 1937) การประชุมสรุปของฮิตเลอร์และผู้นำทางทหารและนโยบายต่างประเทศที่วางแผนทำสงครามรุกราน ถึงกระนั้น เมื่อนาซีเยอรมนีเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองในเดือนกันยายน 1939 แผนสี่ปียังไม่หมดอายุกระทั่งปี 1940 รัฐมนตรีเศรษฐกิจ เกอริง ตั้งสำนักงานแผนสี่ปีเพื่อควบคุมเศรษฐกิจไรช์

เช่นเดียวกับการผสานความเชื่อทางการเมืองของฟาสซิสต์ เศรษฐกิจสงครามของนาซีเป็นเศรษฐกิจแบบผสมระหว่างตลาดเสรีกับการวางแผนจากส่วนกลาง นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด โอเวรี รายงานว่า "เศรษฐกิจเยอรมนีอยู่ระหว่างม้านั่งสองตัว ไม่มีการบัญชาเศรษฐกิจเพียงพอจะทำอย่างที่ระบบโซเวียตทำได้ แต่ก็ไม่เป็นทุนนิยมเพียงพอจะพึ่งพาการสรรหาวิสาหกิจเอกชนอย่างของอเมริกา"

ค.ศ. 1942 หลังการเสียชีวิตของฟริทซ์ ทอดท์ ฮิตเลอร์แต่งตั้งสถาปนิกคนโปรด อัลแบร์ท สเพร์ ให้บัญชาเศรษฐกิจภายในประเทศ สเพร์สถาปนาเศรษฐกิจสงครามในนาซีเยอรมนี ซึ่งลดการบริโภคของพลเรือนและทำให้เศรษฐกิจสงครามมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จนถึงปี 1944 สงครามกิน 75% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเยอรมนี เทียบกับ 60% ในสหภาพโซเวียต 55% ในอังกฤษ และ 45% ของสหรัฐอเมริกา

ลำดับความสำคัญสูงสุดตกแก่การผลิตเครื่องบินรบ ซึ่งมีการประสานงานอย่างเลวและพึ่งพาแรงงานฝีมือที่ขาดแคลนมากเกินไป สเพร์ทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นมากหลังปี 1942 วิธีการของเขารวมถึงการจัดองค์การเส้นกระแส คือ การใช้เครื่องจักรวัตถุประสงค์เดี่ยวที่เดินโดยแรงงานไร้ฝีมือ การจัดสรรวิธีการผลิตให้เหมาะสม และการประสานงานที่ดีขึ้นระหว่างหลายรูปแบบที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบหลายหมื่นชนิด โรงงานถูกย้ายให้ห่างจากลานรถไฟซึ่งเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิด ท้ายสุด ระบบนี้ตามทันการผลิตของอังกฤษในปี 1944 แต่ถึงขณะนั้น ก็สายเกินไปและปริมาณแกโซลีนที่เหลืออยู่น้อยหมายความว่า เครื่องบินรบใหม่มีเวลาการบินสั้น

ขณะนี้ เศรษฐกิจพึ่งพาการจัดหาผู้ใช้แรงงานเกณฑ์ขนานใหญ่ เพื่อช่วยปฏิบัติงานโรงงานและไร่นา เยอรมนีจึงนำประชากร 12 ล้านคน จากราว 20 ประเทศยุโรป เข้าประเทศ ประมาณ 75% เป็นชาวยุโรปตะวันออก ผู้ใช้แรงงานเกณฑ์ทำงานเป็นเวลานาน โดยทั่วไปในโรงงานยุทโธปกรณ์ หลายคนได้รับมอบหมายให้เก็บกวาดซากอาคารหลังการตีโฉบฉวยทิ้งระเบิด พวกเขาได้รับการคุ้มครองการตีโฉบฉวยทางอากาศที่เลว และหลายคนเสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร สภาพความเป็นอยู่ที่เลวมากทำให้มีอัตราการเจ็บป่วย บาดเจ็บและเสียชีวิตสูง เช่นเดียวกับการก่อวินาศกรรมและการก่ออาชญากรรม

สตรีมีบทบาทใหญ่เพิ่มขึ้น ฮาเกมันน์รายงานว่า ในปี 1944 สตรีกว่าครึ่งล้านคนเป็นกองหนุนในกองทัพเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยต่อต้านอากาศยานของลุฟท์วัฟเฟอ กว่าครึ่งล้านคนทำงานในการป้องกันทางอากาศพลเรือน และ 400,000 คนเป็นพยาบาลอาสาสมัครในโรงพยาบาล สตรีจำนวนมากแทนที่บุรุษที่ถูกเกณฑ์ในเศรษฐกิจยามสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไร่นาและร้านค้าขนาดเล็กที่เป็นกิจการของครอบครัว

การทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์อย่างหนักมากโดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมุ่งไปยังระบบขนส่งของเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลานรถไฟ คลองและโรงกลั่นผลิตน้ำมันสังเคราะห์และแกโซลีน ลุฟท์วัฟเฟอพยายามป้องกันเป้าหมายเหล่านี้แต่กลับถูกทำลายเสียเอง น้ำมัน ดีเซลและแกโซลีนสำรองหมดไปในปลายปี 1944 และทางรถไฟถูกรบกวนเสียจนเศรษฐกิจกลายเป็นเกลียวมรณะ โอเวรีแย้งว่า การทิ้งระเบิดไม่เพียงแต่สร้างความแตกแยกทางสังคมครั้งใหญ่เท่านั้น แต่ยังสร้างการสนองเชิงรับที่ขึงเศรษฐกิจสงครามของเยอรมนีและบังคับให้เยอรมนีหันเหกำลังคนและอุตสาหกรรมถึงหนึ่งในสี่ไปกับทรัพยากรต่อต้านอากาศยาน โอเวรีสรุปว่าการทัพทิ้งระเบิดอาจย่นระยะเวลาของสงคราม

กองทัพไรช์ที่สาม เรียก เวร์มัคท์ เป็นชื่อของกองทัพเยอรมนีตั้งแต่ปี 1935–1945 โดยมีเฮร์ (กองทัพบก) ครีกซมารีเนอ (กองทัพเรือ) ลุฟท์วัฟเฟอ (กองทัพอากาศ) และองค์การทหาร วัฟเฟน-เอสเอส (ฝ่ายทหารของเอสเอส ซึ่งโดยพฤตินัยเป็นเหล่าทัพที่สี่ของเวร์มัคท์)

สนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้กำลังพลกองทัพบกเยอรมันถูกจำกัดไม่เกิน 100,000 นาย แต่ฮิตเลอร์แอบสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์อย่างลับ ๆ จากนั้นก็สั่งระดมพลทั่วประเทศในปี 1935 ซึ่งชาวเยอรมันอายุตั้งแต่ 18–45 ปีต้องไปเกณฑ์ทหาร รวมถึงสร้างกองทัพอากาศในปีเดียวกันด้วย ทว่า อังกฤษและฝรั่งเศสต่างไม่ได้ต่อต้านแต่ประการใด เพราะเชื่อมั่นว่าฮิตเลอร์ปรารถนาสันติภาพ ต่อมา ก็มีการทำข้อตกลงการเดินเรืออังกฤษ–เยอรมัน ซึ่งเป็นการขยายขนาดกองทัพเรือเยอรมัน

มโนทัศน์ก้าวหน้าของกองทัพบกเยอรมันบุกเบิกระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยรวมกำลังภาคพื้นและทางอากาศมาเป็นชุดอาวุธผสม ประกอบกับวิธีการสู้รบสงครามแต่เดิม เช่น การโอบล้อมและ "การยุทธ์การทำลายล้าง" กองทัพเยอรมันจึงคว้าชัยชนะรวดเร็วปานสายฟ้าหลายครั้งในปีแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้นักหนังสือพิมพ์ต่างชาติสร้างคำใหม่แก่สิ่งที่เขาพบเห็นว่า บลิทซครีก จำนวนทหารทั้งหมดที่รับรัฐการในเวร์มัคท์ระหว่างที่มีอยู่ตั้งแต่ปี 1935–1945 เชื่อกันว่าถึง 18.2 ล้านนาย ตัวเลขอย่างเป็นทางการระบุว่ามีทหารเยอรมันเสียชีวิตตลอดสงครามราว 5.3 ล้านนาย

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคนาซีใช้กองทัพในฮอโลคอสต์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีตั้งแต่นายทหารชั้นสัญญาบัตรจนถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและการสังหารหมู่ประชาชนในเขตยึดครอง ซึ่งถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามต่อมวลมนุษยชาติ

การพัฒนาทางด้านการทหารของนาซีเยอรมนีเจริญไปจนถึงขั้นมีโครงการทดลองระเบิดปรมาณูของตัวเอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สองคน ออทโท ฮานและฟริทซ์ สทรัซซ์มันน์ ซึ่งได้ยืนยันผลการทดลองขั้นแรกของตนเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1939 แต่ทว่าเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ดังนั้นการทดลองจึงยังไม่สัมฤทธิ์ผล

การศึกษาภายใต้ระบอบนาซีเยอรมนีมุ่งเน้นชีววิทยาเชื้อชาติ นโยบายประชากร วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมรรถภาพทางกาย การศึกษาทางทหารกลายมาเป็นองค์ประกอบศูนย์กลางของพลศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมชาวเยอรมันในการสงครามทั้งทางจิตใจ จิตวิญญาณ และร่างกาย ตำราเรียนวิทยาศาสตร์นำเสนอการคัดเลือกโดยธรรมชาติในแง่ที่เน้นมโนทัศน์ความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ

นโยบายต่อต้านยิวนำไปสู่การขับครู ศาสตราจารย์และเจ้าหน้าที่ชาวยิวทั้งหมดจากระบบการศึกษาในปี 1933 ครูที่ไม่พึงปรารถนาทางการเมือง เช่น นักสังคมนิยม ถูกขับเช่นกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของ "กฎหมายเพื่อการฟื้นฟูรัฐการพลเรือน" ครูส่วนมากถูกกำหนดให้เป็นสมาชิกของสมาคมครูชาติสังคมนิยม" ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยทุกคนถูกกำหนดให้เป็นสมาชิกน่าเชื่อถือของสมาคมผู้บรรยายมหาวิทยาลัยชาติสังคมนิยม

วิธีการสอนที่ระบอบชาติสังคมนิยมสนับสนุนนั้นเป็นเชิงประสบการณ์และมีประสิทธิภาพในการแนะแนว อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่เป็นการต่อขยายทัศนคติต่อต้านสติปัญญาของผู้นำนาซี และมิใช่ความพยายามหลักเพื่อทดลองกับวิธีการคำสอน

ในการแสวงหนทางเพื่อให้การศึกษาเป็นนามธรรมลดลง ใช้สติปัญญาลดลงและห่างไกลจากเด็กลดลง นักการศึกษาจึงเรียกร้องให้บทบาทภาพยนตร์ขยายขึ้นมาก ไรช์ซฟิลมินเทนดันท์และหัวหน้าส่วนภาพยนตร์ในกระทรวงโฆษณาการ ฟริทซ์ ฮิพเพลอร์ เขียนว่า ภาพยนตร์กระทบต่อประชาชน "ส่วนใหญ่ในระดับสายตาและอารมณ์ นั่นคือ ระดับที่ไม่ใช่สติปัญญา" ผู้นำนาซียังมองภาพยนตร์ว่าเป็นสื่อที่ตนสามารถพูดคุยกับเด็กได้โดยตรง ดร. แบร์นฮาร์ด รุสท์ มองภาพยนตร์ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยกล่าวว่า "รัฐชาติสังคมนิยมทำให้ภาพยนตร์เป็นเครื่องส่งอุดมการณ์ของรัฐอย่างแน่นอนและโดยไตร่ตรอง"

งานวิจัยล่าสุดโดยนักวิชาการเช่นเกิทซ์ อาลือ ได้เน้นบทบาทของโครงการสวัสดิภาพสังคมขนานใหญ่ของนาซีซึ่งมุ่งจัดหางานแก่พลเมืองเยอรมันและประกันมาตรฐานการครองชีพขั้นต่ำสุด ที่มุ่งเน้นอย่างหนัก คือ ความคิดชุมชนสัญชาติเยอรมันหรือโฟลค์ซเกไมน์ชัฟท์ เพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกของชุมชน ประสบการณ์กรรมกรและความบันเทิงของชาวเยอรมัน จากเทศกาล ถึงการเดินทางวันหยุดและโรงหนังกลางแปลง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "ความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง" (Kraft durch Freude, KdF) การนำบริการกรรมกรแห่งชาติ (National Labour Service) และองค์การยุวชนฮิตเลอร์ไปปฏิบัติโดยบังคับให้เป็นสมาชิกสำคัญสร้างความจงรักภักดีและมิตรภาพ นอกเหนือจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการสถาปัตยกรรมจำนวนหนึ่ง คาเดเอฟสร้างคาเดเอฟวาเกน ที่ภายหลังรู้จักกันในชื่อ โฟล์คซกาเวน ("รถของประชาชน") ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เป็นรถยนต์ที่พลเมืองเยอรมันทุกคนสามารถซื้อได้ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุ รถดังกล่าวถูกแปลงเป็นพาหนะทางทหารและการผลิตฝ่ายพลเรือนถูกหยุดลง อีกโครงการแห่งชาติหนึ่ง คือ การก่อสร้างออโตบาห์น เป็นระบบถนนไม่จำกัดความเร็วแห่งแรกของโลก

การรณรงค์บรรเทาฤดูหนาวไม่เพียงเป็นการรวบรวมเงินบริจาคแก่ผู้อาภัพเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนพิธีกรรมเพื่อสร้างอารมณ์สาธารณะ ส่วนหนึ่งของการรวมศูนย์อำนาจนาซีเยอรมนี ใบปิดประกาศกระตุ้นให้ประชาชนบริจาคแทนที่จะให้ขอทานโดยตรง

นาซีเยอรมนีให้ความสำคัญด้านสาธารณสุขอย่างมาก ต่างจากที่หลายคนเข้าใจ จากการศึกษาวิจัยของโรเบิร์ต เอ็น. พร็อกเตอร์ ในหนังสือ The Nazi War on Cancer ของเขา นาซีเยอรมนีอาจมีการต่อต้านบุหรี่อย่างหนักที่สุดในโลกก็ว่าได้ คณะวิจัยเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างแข็งขัน และนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันสามารถพิสูจน์ได้ว่าควันพิษจากบุหรี่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเป็นครั้งแรกของโลก ต่อมา การวิจัยบุกเบิกด้านระบาดวิทยาเชิงทดลองนำไปสู่งานวิจัยโดยฟรันซ์ ฮา มึลเลอร์ในปี 1939 และงานวิจัยโดยเอเบอร์ฮาร์ด ไชแรร์ และเอริช เชอนีแกร์ในปี 1943 ซึ่งแสดงให้เห็นแน่ชัดว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด รัฐบาลกระตุ้นให้แพทย์ชาวเยอรมันให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยต่อต้านการสูบบุหรี่ การวิจัยของเยอรมนีต่ออันตรายของบุหรี่เงียบหายไปหลังสงครามยุติ และอันตรายของบุหรี่กลับมาถูกค้นพบอีกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันและอังกฤษในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยมีความลงรอยทางการแพทย์เกิดขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษ 1960

นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันยังพิสูจน์ว่าแร่ใยหินมีอันตรายต่อสุขภาพ และในปี 1943 เยอรมนีรับรองโรคที่เกิดจากใยหิน เช่น มะเร็งปอด เป็นโรคจากการประกอบอาชีพที่มีคุณสมบัติได้รับเงินชดเชย ซึ่งนับเป็นชาติแรกในโลกที่เสนอประโยชน์นี้

ในส่วนหนึ่งของการรณรงค์สาธารณสุขทั่วไปในนาซีเยอรมนี น้ำประปาถูกทำให้สะอาดขึ้น ตะกั่วและปรอทถูกนำออกจากสินค้าผู้บริโภค และสตรีถูกกระตุ้นให้เข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมเป็นประจำ

ระบบสาธารณสุขของนาซียังถือเป็นแนวคิดกลางของมโนทัศน์สุพันธุศาสตร์ คนบางกลุ่มถูกมองว่า "ต่ำกว่าทางพันธุกรรม" และตกเป็นเป้าการกำจัดจากยีนพูลผ่านการทำหมัน (ศาลสุขภาพทางกรรมพันธุ์) หรือถูกฆ่าหมดสิ้น (การปฏิบัติเท4) ผู้เชี่ยวชาญข้อมูลทางการแพทย์ใช้ขบวนการและเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบบัตรเจาะรูและการวิเคราะห์ราคา เพื่อช่วยในขบวนการและคำนวณประโยชน์ต่อสังคมจากการฆ่าเหล่านี้

เป็นที่ประจักษ์ว่าชุมชนยิวในเยอรมนีเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังตั้งแต่การปราศรัยและงานเขียนแรก ๆ ของฮิตเลอร์ อุดมการณ์นาซีวางกฎเข้มงวดเกี่ยวกับว่าใครเป็นหรือไม่เป็นสายเลือด "อารยัน" บริสุทธิ์ มีการกำหนดการปฏิบัติเพื่อทำให้เชื้อชาติอารยันบริสุทธิ์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหนึ่งเดียวกับเชื้อชาตินอร์ดิก ตามด้วยเชื้อชาติรองที่เล็กกว่าของเชื้อชาติอารยันเพื่อเป็นตัวแทนของเชื้อชาติปกครองที่เป็นอุดมคติและบริสุทธิ์ ผลของนโยบายสังคมนาซีในเยอรมนีแบ่งแยกระหว่างผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "อารยัน" กับ "มิใช่อารยัน" ยิว หรือส่วนหนึ่งของกลุ่มชนกลุ่มน้อยอื่น สำหรับเชื้อชาติอารยัน การดำเนินโยบายสังคมจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มนี้โดยระบอบนาซีเพิ่มขึ้นตามกาล รวมถึงการคัดค้านการสูบบุหรี่โดยรัฐ การล้างมลทินแก่เด็กอารยันที่เกิดแก่บิดามารดานอกสมรส เช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ครอบครัวเยอรมันอารยันที่ให้กำเนิดบุตร วันที่ 1 เมษายน 1933 ฮิตเลอร์ประกาศคว่ำบาตรสถานประกอบธุรกิจยิวทั้งประเทศ ครอบครัวยิวจำนวนมากเตรียมตัวออกนอกประเทศ แต่อีกหลายครอบครัวหวังว่าการดำรงชีพของพวกตนและทรัพย์สินจะปลอดภัย เพราะตนเป็นพลเมืองเยอรมัน

พรรคนาซีดำเนินนโยบายเชื้อชาติและสังคมผ่านการเบียดเบียนและการสังหารผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่สังคมไม่พึงปรารถนาหรือ "ศัตรูแห่งไรช์" ที่ตกเป็นเป้าพิเศษ คือ ชนกลุ่มน้อยเช่น ยิว โรมานี (หรือยิปซี) ผู้นับถือพยานพระยะโฮวาห์ ผู้ที่มีความพิการทางจิตหรือทางกาย และพวกรักร่วมเพศ ในคริสต์ทศวรรษ 1930 แผนเพื่อโดดเดี่ยวและกำจัดยิวอย่างสมบูรณ์ในเยอรมนีท้ายสุด เริ่มจากการก่อสร้างเกตโต ค่ายกักกัน และค่ายใช้แรงงาน โดยมีการก่อสร้างค่ายกักกันดาเชาเป็นแห่งแรกในปี 1933 เมื่อไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์อธิบายอย่างเป็นทางการว่าเป็น "ค่ายกักกันศัตรูทางการเมืองแห่งแรก"

ช่วงปีหลังนาซีเถลิงอำนาจ ยิวหลายคนถูกกระตุ้นให้เดินทางออกนอกประเทศและทำเช่นนั้น ในปี 1935 มีการตรากฎหมายเนือร์นแบร์กขึ้น มีใจความเพิกถอนสัญชาติเยอรมันของยิว และปฏิเสธการจ้างงานภาครัฐ ขณะนี้ชาวยิวส่วนมากที่ชาวเยอรมันว่าจ้างเสียตำแหน่งงาน ซึ่งถูกแทนที่โดยชาวเยอรมันที่ว่างงาน นอกจากนี้ การสมรสระหว่างยิวกับอารยันถูกห้าม ยิวสูญเสียสิทธิเพิ่มขึ้นในช่วงอีกไม่กี่ปีถัดมา ยิวถูกแยกออกไปจากหลายวิชาชีพ และมิให้จับจ่ายซื้อของในร้านค้าจำนวนมาก หลายเมืองติดป้ายห้ามมิให้ยิวเข้า ที่โดดเด่น คือ ความพยายามของรัฐบาลในการส่งชาวยิวเยอรมันที่มีเชื้อสายโปแลนด์ 17,000 คนกลับประเทศโปแลนด์ จนทำให้ในเดือนพฤศจิกายน 1938 แฮร์เชล กรึนซพัน ชายหนุ่มชาวยิวในกรุงปารีส ลอบสังหารแอร์นสท์ ฟอม รัท เอกอัครราชทูตเยอรมัน เพื่อเป็นการประท้วงการปฏิบัติต่อครอบครัวของเขาในเยอรมนี พรรคนาซีใช้ความพยายามดังกล่าวปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังชุมชนยิวในเยอรมนี เป็นบริบทของโพกรมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 ซึ่งเจาะจงธุรกิจยิวเป็นพิเศษ เอสเอได้รับมอบหมายให้โจมตีสุเหร่ายิวและทรัพย์สินของยิวทั่วประเทศเยอรมนี ระหว่างคริสทัลล์นัคท์ ("คืนกระจกแตก" หรือความหมายตามตัวอักษรว่า คืนคริสตัล) เหตุที่ใช้การเกลื่อนคำดังกล่าวเพราะหน้าต่างที่แตกจำนวนมากทำให้ถนนมองดูเหมือนปกคลุมด้วยคริสตัล เหตุการณ์นี้ทำให้มีชาวยิวเยอรมันเสียชีวิตอย่างน้อย 91 คน และทรัพย์สินยิวถูกทำลายถ้วนหน้า การกีดกันระยะนี้ทำให้เป็นที่ชัดเจนมากว่ายิวในเยอรมนีจะเป็นเป้าหมายในอนาคต เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ชุมชนยิวถูกปรับหนึ่งล้านมาร์คและได้รับการบอกกล่าวว่า พวกเขาจะไม่ได้รับเงินตอบแทนจากความสูญเสีย จนถึงเดือนกันยายน 1939 ยิวกว่า 200,000 คนเดินทางออกนอกประเทศเยอรมนี โดยรัฐบาลยึดทรัพย์สินใด ๆ ที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง

นาซียังดำเนินโครงการที่พุ่งเป้าไม่ยังผู้ที่ "อ่อนแอ" หรือ "ไม่มีสมรรถภาพ" เช่น โครงการการุณยฆาตเท4 ซึ่งคร่าชีวิตผู้พิการและชางเยอรมันที่ป่วยหลายหมื่นคน ในความพยายามที่จะ "ธำรงความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติปกครองอารยัน" (เยอรมัน: Herrenvolk) ดังที่นักโฆษณาของนาซีอธิบาย เทคนิคการสังหารจำนวนมากที่พัฒนาในความพยายามเหล่านี้ภายหลังถูกใช้ในฮอโลคอสต์ ภายใต้กฎหมายที่ผ่านในปี 1933 ระบอบนาซีดำเนินการบังคับทำหมันปัจเจกบุคคล 400,00 คน ที่ถูกหมายว่ามีความบกพร่องทางพันธุกรรม ซึ่งมีตั้งแต่การป่วยทางจิตไปจนถึงติดแอลกอฮอล์

อีกส่วนประกอบของโครงการสร้างความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติของนาซี คือ เลเบนซบอร์น หรือ "น้ำพุแห่งชีวิต" ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1935 โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ทหารเยอรมัน หรือเอสเอสเป็นหลัก สืบพันธุ์ ซึ่งรวมถึงการเสนอบริหารสนับสนุนครอบครัวเอสเอส (รวมถึงการรับเลี้ยงเด็กที่มีเชื้อชาติบริสุทธิ์เข้าสู่ครอบครัวเอสเอสที่เหมาะสม) และจัดหาที่อยู่ให้สตรีที่มีคุณค่าทางเชื้อชาติ ที่ตั้งครรภ์เด็กของชายเอสเอสเป็นหลัก ในสถานพักฟื้นในเยอรมนีและทั่วยุโรปที่ถูกยึดครอง เลเบนซบอร์นยังขยายไปครอบคลุมการฝากเด็กที่มีเชื้อชาติบริสุทธิ์ที่บังคับยึดมาจากประเทศที่ถูกยึดครอง เช่นโปแลนด์ กับครอบครัวชาวเยอรมัน

ในปี 1941 เยอรมนีตัดสินใจทำลายชาติโปแลนด์อย่างสมบูรณ์และผู้นำเยอรมันตัดสินใจว่าในอีก 10 ถึง 20 ปี ชาวโปแลนด์ในรัฐโปแลนด์ภายใต้การยึดครองของเยอรมนีจะถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์ และให้ผู้อยู่ในนิคมชาวเยอรมันเข้าไปตั้งถิ่นฐานแทน นาซีมองว่ายิว ชาวโรมานี ชาวโปแลนด์อยู่ในกลุ่มเดียวกับชนสลาฟ เช่น ชาวรัสเซีย ชาวยูเครน ชาวเช็ก และอีกหลายเชื้อชาติที่มิใช่ "ชาวอารยัน" ตามศัพทวิทยาเชื้อชาตินาซีร่วมสมัยเป็นอุนแทร์เมนเชน ("ต่ำกว่ามนุษย์") แม้ชนสลาฟจำนวนมากจะถูกมองและได้รับการยอมรับว่าเป็นชาวอารยัน นาซีใช้เหตุผลตัดสินว่าชาวอารยันมีสิทธิทางชีววิทยาในการแทนที่ กำจัดและจับผู้ที่ด้อยกว่าเป็นทาส หลังสงคราม ภายใต้ "แผนใหญ่" เจเนรัลพลันโอสท์ (เยอรมัน: Generalplan Ost) คาดการณ์การเนรเทศประชากรที่ไม่สามารถถูกแผลงเป็นเยอรมัน (non-Germanizable) 45 ล้านคนจากยุโรปตะวันออกไปยังไซบีเรียตะวันตกล่วงหน้า และราว 14 ล้านคนจะยังอยู่ แต่จะถูกปฏิบัติเหมือนทาส ส่วนชาวเยอรมันจะตั้งถิ่นฐานแทนที่ในเลเบนสเราม์ที่ต่อขยายไปของจักรวรรดิพันปี

แฮร์แบร์ท บาเคอเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังแผนความหิว (Hunger Plan) ซึ่งเป็นแผนให้ชนสลาฟหลายสิบล้านคนอดอยากเพื่อประกันเสบียงอาหารแก่ประชาชนและทหารเยอรมัน ในระยะยาว นาซีต้องการกำจัดชนสลาฟราว 30–45 ล้านคน ตามข้อมูลของมิคาเอล ดอร์แลนด์ "ดังที่นักประวัติศาสตร์เยล ทีโมธี ซไนเดอร์เตือนเรา หากนาซีประสบความสำเร็จในสงครามกับรัสเซีย การนำอีกสองมิติของฮอโลคอสต์ไปปฏิบัติ แผนความหิวและเจเนรัลพลันโอสท์ จะนำไปสู่การกำจัดคนอีก 80 ล้านคนในเบลารุส รัสเซียเหนือและสหภาพโซเวียตผ่านความอดอยาก"

ต้นสงครามโลกครั้งที่สอง ทางการเยอรมนีในเจเนรัลกออูแวร์เนเมนท์ในโปแลนด์ที่ถูกยึดครองสั่งให้ยิวทุกคนถูกบังคับใช้แรงงาน และผู้ที่ด้อยสมรรถภาพทางกาย เช่น หญิงและเด็ก ถูกกักกันอยู่ในเกตโต สำหรับนาซีแล้ว มีหลายแนวคิดปรากฏขึ้นว่าจะตอบ "ปัญหาชาวยิว" อย่างไร วิธีหนึ่ง คือ การบังคับเนรเทศยิวขนานใหญ่ อดอล์ฟ ไอชมันน์เสนอให้ยิวถูกบังคับอพยพไปยัง]ปาเลสไตน์ ฟรันซ์ ราเดมาแคร์เสนอให้ยิวถูกเนรเทศไปยังมาดากัสการ์ ข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุนโดยฮิมม์เลอร์ และมีการถกโดยฮิตเลอร์และผู้เผด็จการอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี แต่ภายหลังล้มเลิกไปเพราะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเมื่อปี 1942 ความคิดการเนรเทศต่อเนื่องไปยังโปแลนด์ที่ถูกยึดครองถูกผู้ว่าการ ฮันส์ ฟรังค์แห่งเจเนรัลกออูแวร์เนเมนท์ ปฏิเสธ เพราะแฟรงค์ปกิเสธจะยอมรับการเนรเทศยิวมาเพิ่มยังดินแดนที่มียิวจำนวนมากอยู่แล้ว ในปี 1942 ที่การประชุมวันน์เซ เจ้าหน้าที่นาซีตัดสินใจกำจัดยิวทั้งหมด ดังที่อภิปราย "การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย" ค่ายกักกันเช่นเอาชวิทซ์ ถูกแปลงและใช้ห้องรมแก๊สเพื่อสังหารยิวให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จนถึงปี 1945 ค่ายกักกันจำนวนหนึ่งถูกกองทัพสัมพันธมิตรปลดปล่อย และพวกเขาพบว่าผู้รอดชีวิตขาดอาหารอย่างรุนแรง ฝ่ายสัมพันธมิตรยังพบหลักฐานว่า นาซีค้ากำไรจากการสังหารหมู่ยิวไม่เพียงแต่โดยยึดทรัพย์สินและสิ่งของมีค่าส่วนบุคคลแล้ว แต่ยังโดยแยกสารอุดฟันทองคำจากร่างของยิวบางคนที่ถูกขังในค่ายกักกันด้วย

สตรีในนาซีเยอรมนีเป็นนโยบายสังคมเสาหลักของนาซี นาซีคัดค้านขบวนการคตินิยมสิทธิสตรี โดยอ้างว่ามีวาระฝ่ายซ้าย เทียบได้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ และแย่สำหรับทั้งหญิงและชาย ระบอบนาซีสนับสนุนสังคมอำนาจฝ่ายบิดา ขณะที่สตรีเยอรมันจะรับรองว่า "โลกเป็นสามีของเธอ ครอบครัวของเธอ ลูกของเธอและบ้านของเธอ" ฮิตเลอร์อ้างว่า การที่สตรียึดอาชีพสำคัญจากบุรุษระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้นเป็นผลเสียต่อครอบครัวในทางเศรษฐกิจ เพราะสตรีได้รับค่าจ้างเพียง 66% ของที่บุรุษได้รับ รัฐบาลเรียกร้องให้สตรีสนับสนุนรัฐในกิจการสตรีอย่างแข็งขัน พร้อมกับเรียกร้องให้สตรีเลิกทำงานนอกบ้าน ในปี 1933 ฮิตเลอร์แต่งตั้งแกร์ทรุด ชอลทซ์-คลิงก์เป็นผู้นำสันนิบาตสตรีชาติสังคมนิยม ซึ่งสอนสตรีว่าบทบาทหลักของพวกเธอในสังคม คือ ให้กำเนิดบุตรและสตรีจักรับใช้บุรุษ และเคยกล่าวว่า "ภารกิจของสตรีคือ จัดการสิ่งจำเป็นในชีวิตตั้งแต่การมีอยู่ขณะแรกจนขณะสุดท้ายของบุรุษในบ้านและในวิชาชีพ" การคาดหมายนี้ยังใช้กับสตรีอารยันที่สมรสกับบุรุษยิว ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการประท้วงโรเซนซทรัสเซอในปี 1943 ซึ่งสตรีเยอรมัน 1,800 คน กับญาติอีก 4,200 คน ทวงรัฐนาซีให้ปล่อยตัวสามียิวของพวกเธอ ฐานะนี้ยึดถือกันรุนแรงเสียจนทำให้การเกณฑ์สตรีรับงานสงครามระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองยากยิ่ง

ระบอบนาซีกีดกันสตรีมิให้แสวงการศึกษาระดับสูงขึ้นในโรงเรียนมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย จำนวนสตรีที่ได้รับอนุญาตให้ลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยลดลงมากภายใต้ระบอบนาซี คือ จากประมาณ 128,000 คนในปี 1933 ลดเหลือ 51,000 คนในปี 1938 การลงทะเบียนเรียนของสตรีในโรงเรียนมัธยมศึกษาก็ลดลงจาก 437,000 คนในปี 1926 เหลือ 205,000 คนในปี 1937 อย่างไรก็ดี ด้วยการกำหนดให้ชายถูกเกณฑ์เข้าสู่กองทัพเยอรมันระหว่างสงคราม เมื่อถึงปี 1944 สตรีจึงคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการลงทะเบียนเรียนในระบบการศึกษา

อีกด้านหนึ่ง สตรีถูกคาดหวังให้แข็งแรง มีสุขภาพดีและมีชีวิตชีวา ภาพถ่ายคำบรรยายใต้ภาพว่า "อนาคตมารดา" แสดงวัยรุ่นหญิงแต่งกายเล่นกีฬาและถือแหลน สตรีชาวนาที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำงานกับดินและให้กำเนิดบุตรที่แข็งแรง เป็นอุดมคติ และเป็นสาเหตุของการยกย่องสตรีคล้ายนักกีฬาที่ผิวเป็นสีแทนเพราะทำงานกลางแจ้ง

มีการจัดตั้งองค์การเพื่อปลูกฝังค่านิยมนาซีแก่สตรีเยอรมัน องค์การเหล่านี้รวมถึงส่วนยุงแมเดล ("เด็กหญิงสาว") ของยุวชนฮิตเลอร์สำหรับเด็กหญิงอายุตั้งแต่ 10 ถึง 14 ปี บุนด์ดอยท์แชร์แมเดล (เบเดเอ็ม, "สันนิบาตเด็กหญิงเยอรมัน") สำหรับเด็กสาววัย 14 ถึง 18 ปี และเอ็นเอส-เฟราเอนชัฟท์ องค์การสตรี เอ็นเอส-เฟราเอนชัฟท์นี้ออกเอ็นเอส-เฟราเอน-วาร์เทอ นิตยสารสตรีที่ผ่านการอนุมัติเพียงเล่มเดียวในนาซีเยอรมนี

กิจกรรมของเบเดเอ็มครอบคลุมพลศึกษา รวมถึงการวิ่ง กระโดดไกล ตีลังกา เดินบนลวด และว่ายน้ำ ดัสดอยท์เชอแมเดลเน้นการผจญภัยน้อยกว่าแดร์พิมพฟ์ของเด็กชาย แต่เน้นสตรีเยอรมันที่แข็งแรงและคล่องแคล่วกว่าในเอ็นเอส-เฟราเอน-วาร์เทอมาก นอกจากนี้ ก่อนเข้างานอาชีพหรือการศึกษาระดับสูงใด ๆ เด็กหญิงต้องสำเร็จรัฐการทางบกก่อนหนึ่งปี เช่นเดียวกับเด็กชายในยุวชนฮิตเลอร์

แม้บทบาทของสตรีในสังคมเยอรมันจะลดลงไปมาก แต่สตรีบางคนก็ยังมีบทบาทสำคัญ จนการยกย่องสรรเสริญและประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น ฮันนา ไรท์ช นักบินประจำตัวฮิตเลอร์ และเลนี ไรเฟนสทาล ผู้กำกับภาพยนตร์และดารา

ในประเด็นกิจการทางเพศเกี่ยวกับสตรี บิดดิสคอมเบอแย้งว่า นาซีแตกต่างจากท่าทีจำกัดบทบาทของสตรีในสังคมอย่างมาก ระบอบนาซีสนับสนุนจรรยาบรรณเสรีนิยมที่คำนึงถึงประเด็นทางเพศ และเห็นใจสตรีที่เกิดลูกนอกสมรส การล่มสลายของศีลธรรมคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในเยอรมนีถูกเร่งขึ้นระหว่างไรช์ที่สาม บางส่วนเป็นเพราะนาซี และส่วนใหญ่เนื่องมาจากผลของสงคราม การสำส่อนเพิ่มขึ้นมากเมื่อสงครามดำเนินไป ด้วยทหารที่ไม่แต่งงานมักสนิทสนมกับสตรีหลายคนพร้อมกัน สตรีที่สมรสแล้วมักข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับบุรุษหลายคนพร้อมกัน กับทั้งทหาร พลเรือนหรือผู้ใช้แรงงานทาส "หญิงดูแลไร่บางคนในเวือร์ทเทมแบร์กเริ่มใช้เพศสัมพันธ์เป็นโภคภัณฑ์แล้ว โดยจ่ายรสชาติเนื้อหนังมังสาเป็นวิธีการได้งานเต็มวันจากกรรมกรต่างด้าว" กระนั้น การโฆษณาชวนเชื่อนาซีคัดค้านการทำชู้และสนับสนุนความศักดิ์สิทธิ์ของการสมรสอย่างเปิดเผย ภาพยนตร์หลายเรื่องที่ถ่ายทำในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงวัสดุที่มา ให้สตรีเผชิญความตายจากการละเมิดทางเพศแทนที่จะเป็นชาย สะท้อนให้เห็นว่าความผิดเป็นของใคร เมื่อมีความพยายามล้างมลทินแก่บุตรนอกกฎหมาย บ้านเลเบนซบอร์นถูกนำเสนอแก่สาธารณะสำหรับสตรีสมรสแล้ว ถ้อยแถลงต่อต้านการสมรสอย่างเปิดเผย เช่น ถ้อยแถลงของฮิมม์เลอร์เกี่ยวกับการดูแลเด็กนอกสมรสของทหารที่เสียชีวิต ได้รับการประท้วงเป็นเสียงตอบรับ อิลซา แมคคีหมายเหตุว่า การบรรยายของยุวชนฮิตเลอร์และเบเดเอ็มเกี่ยวกับความจำเป็นในการผลิตเด็กเพิ่มขึ้นเพิ่มจำนวนเด็กนอกกฎหมายอย่างมาก ซึ่งมารดาหรือบิดาที่เป็นไปได้ต่างไม่ถูกมองว่าเป็นปัญหา

การสมรสหรือความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างบุคคลที่ถูกมองว่าเป็น "อารยัน" กับผู้ที่ไม่ถูกจัดเป็นรัสเนชันเดอถูกห้ามและมีบทลงโทษ อารยันที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดอาจถูกนำตัวไปกักขังในค่ายกักกัน ขณะที่ผู้ที่มิใช่อารยันอาจเผชิญโทษประหารชีวิต มีจุลสารสั่งให้สตรีเยอรมันทุกคนหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์กับกรรมกรต่างด้าวทั้งหมดที่นำเข้ามาในประเทศเยอรมนีว่าเป็นอันตรายต่อเลือดของพวกเธอ

การทำแท้งถูกลงโทษอย่างหนักในนาซีเยอรมนีเว้นเสียแต่อยู่บนเหตุผลของ "สาธารณสุขเชื้อชาติ" ตั้งแต่ปี 1943 นักรีดลูกเผชิญโทษประหารชีวิต การแสดงการคุมกำเนิดไม่ได้รับอนุญาต และฮิตเลอร์เองอธิบายการคุมกำเนิดว่าเป็น "การละเมิดธรรมชาติ เป็นการทำลายความเป็นหญิง ความเป็นแม่และความรัก"

ในปี 1935 รัฐบาลนาซีตรากฎหมาย "รัฐบัญญัติคุ้มครองธรรมชาติไรช์" แม้มิใช่กฎหมายนาซีบริสุทธิ์ เพราะบางส่วนได้รับอิทธิพลมาก่อนนาซีเถลิงอำนาจ กระนั้นกฎหมายนี้ก็สะท้อนอุดมการณ์นาซี มโนทัศน์เดาแอร์วัลด์ (น่าจะแปลได้ว่า ป่านิรันดร์) ซึ่งรวมมโนทัศน์อย่างการจัดการป่า และการคุ้มครองได้รับการสนับสนุน ตลอดจนมีความพยายามจัดการกับมลพิษทางอากาศ

ในทางปฏิบัติ กฎหมายและนโยบายที่ได้รับการตราเผชิญกับการขัดขืนจากหลายกระทรวงที่มุ่งบั่นทอนกฎหมายและนโยบายเหล่านี้ และจากลำดับความสำคัญที่ความพยายามของสงครามมาก่อนการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

นาซีมีส่วนซึ่งสนับสนุนสิทธิสัตว์ สวนสัตว์และสัตว์ป่า และดำเนินหลายมาตรการเพื่อประกันการคุ้มครองสัตว์ ในปี 1933 รัฐบาลตรากฎหมายคุ้มครองสัตว์ที่เข้มงวด ผู้นำพรรคนาซีหลายคน รวมทั้งฮิตเลอร์และเกอริง เป็นผู้สนับสนุนการคุ้มครองสัตว์ นาซีหลายคนเป็นนักสิ่งแวดล้อมนิยม (ที่โดดเด่น คือ รูดอล์ฟ เฮสส์) และการคุ้มครองสปีชีส์และสวัสดิภาพสัตว์เป็นประเด็นสำคัญในระบอบนาซี ฮิมม์เลอร์พยายามห้ามการล่าสัตว์ เกอริงเป็นคนรักสัตว์และนักอนุรักษ์ กฎหมายสวัสดิภาพสัตว์ปัจจุบันในเยอรมนีก็รับมาจากกฎหมายที่ริเริ่มขึ้นในระบอบนาซี

แม้มีการตรากฎหมายหลายฉบับเพื่อการคุ้มครองสัตว์ แต่ก็ขาดการบังคับใช้ ตามข้อมูลของพฟูแกร์สอาร์คิฟเฟือร์ไดเกซัมเทฟีซิโอโลจี (กรุสรีรวิทยาทั้งหมดพฟูแกร์ส) วารสารวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น มีการทดลองกับสัตว์หลายการทดลองระหว่างระบอบนาซี ระบอบนาซียุบองค์การไม่เป็นทางการจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อมนิยมและการคุ้มครองสัตว์ เช่น เฟรนด์สออฟเนเจอร์

ระบอบนาซีมุ่งฟื้นฟูค่านิยมดั้งเดิมในวัฒนธรรมเยอรมัน ศิลปวัฒนธรรมที่นิยามสมัยสาธารณรัฐไวมาร์ถูกปราบปราม ทัศนศิลป์ถูกเฝ้าสังเกตอย่างเข้มงวดและเป็นแบบประเพณี เน้นยกตัวอย่างแก่นเยอรมัน ความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ แสนยนิยม คตินิยมวีรบุรุษ อำนาจ ความเข้มแข็งและความเชื่อฟัง ศิลปะนามธรรมสมัยใหม่และศิลปะอาวองการ์ดถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ และถูกจัดแสดงเป็นพิเศษว่าเป็น "ศิลปะเสื่อม" ที่ซึ่งผลงานเหล่านี้จะถูกเยาะหยัน ในตัวอย่างที่โดดเด่นครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1937 ฝูงชนขนาดใหญ่ยืนเข้าแถวเพื่อชมการจัดแสดงพิเศษ "ศิลปะเสื่อม" ในมิวนิก รูปแบบศิลปะที่ถูกมองว่าเสื่อม มีคติดาด บาศกนิยม ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ คติโฟวิสต์ ลัทธิประทับใจ ปรวิสัยใหม่ และลัทธิเหนือจริง วรรณกรรมที่เขียนโดยชาวยิว ชนที่มิใช่อารยันอื่น พวกรักร่วมเพศหรือผู้ประพันธ์ที่คัดค้านนาซีจะถูกรัฐบาลทำลาย การทำลายวรรณกรรมที่ฉาวโฉ่ที่สุด คือ การเผาหนังสือโดยนักเรียนเยอรมันในปี 1933

แม้ความพยายามอย่างเป็นทางการในการสร้างวัฒนธรรมเยอรมันบริสุทธิ์ พื้นที่หลักหนึ่งของศิลปะและสถาปัตยกรรมภายใต้การชี้นำส่วนตัวของฮิตเลอร์เป็นลัทธิคลาสสิกใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบที่อิงสถาปัตยกรรมโรมโบราณ รูปแบบนี้ขัดและค้านรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ใหม่กว่า เป็นเสรีนิยมกว่า และได้รับความนิยมกว่าในสมัยนั้นอย่างอลังการศิลป์ อาคารโรมันจำนวนมากได้รับการพิจารณาโดยสถาปนิกของรัฐ อัลแบร์ท สเพร์ สำหรับแบบสถาปัตยกรรมของอาคารรัฐ สเพร์ก่อสร้างอาคารขนาดมหึมาและโอ่อ่า เช่น ในลานชุมนุมพรรคนาซีในเนือร์นแบร์กและอาคารทำเนียบรัฐบาลไรช์หลังใหม่ในกรุงเบอร์ลิน แบบหนึ่งที่ไม่ได้สร้างจริงเป็นพาร์เธนอนในกรุงโรม เรียกว่า "โฟล์คชัลเลอ" เป็นศูนย์กลางกึ่งศาสนาของระบอบนาซีในกรุงเบอร์ลินที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เยอรมาเนีย" ซึ่งจะเป็น "เมืองหลวงของโลก" (เวลเทาพท์สทัดท์) นอกจากนี้ ที่จะก่อสร้าง คือ ประตูชัยที่ใหญ่กว่าในกรุงปารีสหลายเท่า ซึ่งอาศัยแบบคลาสสิกเช่นกัน การออกแบบจำนวนมากสำหรับเยอรมาเนียไม่สามารถก่อสร้างได้จริง เพราะขนาดและดินเลนใต้กรุงเบอร์ลิน ภายหลัง วัสดุที่จะใช้ก่อสร้างถูกเปลี่ยนไปใช้ในความพยายามของสงครามแทน

ภาพยนตร์เยอรมันแห่งยุคส่วนมากตั้งใจให้เป็นผลงานการบันเทิงเป็นหลัก การนำเข้าภาพยนตร์ถูกกฎหมายห้ามหลังปี 1936 และอุตสาหกรรมเยอรมัน ซึ่งถูกโอนเป็นของรัฐในปี 1937 จำต้องชดเชยสำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศที่ขาดไป การบันเทิงยิ่งทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อโรงภาพยนตร์เป็นสิ่งหย่อนใจจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรและความพ่ายแพ้ติด ๆ กันของเยอรมนี ในปี 1943 และ 1944 การยอมรับโรงภาพยนตร์ในเยอรมนีเกินหนึ่งพันล้าน และภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดยามสงคราม คือ ดีกรอเซอลีเบอ (1942) และวุนชคอนแซร์ท (1941) ซึ่งทั้งสองเรื่องประกอบด้วยส่วนที่เป็นดนตรี นิยายวีรคติยามสงครามและโฆษณาชวนเชื่อรักชาติ เฟราเอนซินด์ดอคเบสเซเรอดีโพลมาเทน (1941) ดนตรีตลกซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สีเรื่องแรก ๆ ของเยอรมนี และวีนแนร์บลุท (1942) การดัดแปลงจุลอุปรากรตลกของโยฮันน์ สเทราสส์ ความสำคัญของโรงภาพยนตร์ในฐานะเครื่องมือของรัฐ ทั้งคุณค่าการโฆษณาชวนเชื่อ และความสามารถทำให้ประชาชนได้รับความบันเทิงอย่างต่อเนื่อง พบเห็นได้ในประวัติการถ่ายทำภาพยนตร์ โคลแบร์ก (1945) ของไฟท์ ฮาร์ลัน ภาพยนตร์ที่แพงที่สุดแห่งยุค สำหรับการถ่ายทำ ซึ่งทหารหลายหมื่นนายถูกเปลี่ยนจากตำแหน่งทางทหารมาแสดงเป็นตัวประกอบ

แม้การอพยพออกนอกประเทศของผู้ผลิตภาพยนตร์จำนวนมากและการจำกัดทางการเมือง แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเยอรมนีก็มิได้ขาดนวัตกรรมทางเทคนิคและสุนทรีย์ การริเริ่มการผลิตภาพยนตร์อักฟาโคลอร์เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นอันหนึ่ง ความสำเร็จทางเทคนิคและสุนทรีย์ยังอาจมาถึงคราวสิ้นสุดในไรช์ที่สามได้เหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดในผลางานของเลนี รีเฟนสทาล ไทรอัมฟ์ออฟเดอะวิล (1935) ของรีเฟนสทาล ซึ่งบันทึกเหตุการณ์การชุมนุมที่เนือร์นแบร์ก (1934) และโอลิมเปีย (1938) ที่บันทึกเหตุการณ์โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 บุกเบิกเทคนิคการเคลื่อนไหวกล้องและการตัดต่อที่มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์สมัยหลังจำนวนมาก ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไททรอัมฟ์ออฟเดอะวิล ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างสูง เพราะคุณค่าสุนทรีย์นั้นแยกขาดจากการโฆษณาชวนเชื่ออุดมคติชาติสังคมนิยมไม่ได้ ศิลปินที่ไม่สามารถแทนกันได้ที่ดูเหมาะกับอุดมคติชาติสังคมนิยม เช่น มารีคา รอคค์ และโยฮันเนส เฮสแทร์ส ถูกนำขึ้นรายการกอทท์เบกนาเดเทน ("ผู้มีพรสวรรค์จากพระเจ้า") โดยเกิบเบิลส์ระหว่างสงคราม

สำมะโนประชากรเยอรมนี เดือนพฤษภาคม 1939 บ่งชี้ว่า ชาวเยอรมัน 54% มองว่าตนเองนับถือนิกายโปรแตสแตนต์ และ 40% มองว่าตนนับถือคาทอลิก โดยมีเพียง 3.5% เท่านั้นที่อ้างว่าเป็น "ผู้เชื่อในพระเจ้า" เพเกินใหม่ และ 1.5% ไม่เชื่อในพระเจ้า สำมะโนนี้ออกมาหลังเข้าสู่ยุคนาซีมาแล้วหกปี

กีฬามีบทบาทศูนย์กลางในเป้าหมายการสร้างนักกีฬาหนุ่มสาวที่เข้มแข็งของนาซี เพื่อสร้างเชื้อชาติที่ "ดีเลิศ" และช่วยสร้างเยอรมนีเป็นมหาอำนาจทางกีฬา สัญนิยมทางการเมืองมวลชนที่มีร่างกายเกือบเปลือยบุรุษเพศครอบครองพื้นที่สาธารณะเข้ากับระบบการโฆษณาชวนเชื่ออย่างง่ายดาย โดยมีตัวอย่าง คือ ภาพยนตร์ "โอลิมเปีย" ในปี 1938 ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงโอลิมปิกฤดูร้อนกรุงเบอร์ลิน 1936

"นาซิโยนโซเซียลิสทีแชร์ไรช์ซบุนด์เฟือร์ไลเบซือบุงเกน" (ย่อ: NSRL หรือ NSRBL) เป็นองค์การดูแลกีฬาระหว่างไรช์ที่สาม มีการจัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรมเยอรมันสองครั้งหลักที่โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 และที่ศาลาเยอรมันที่นิทรรศการระหว่างประเทศในปี 1937 โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ตั้งใจให้แสดงให้โลกเห็นความเหนือกว่าชาติอื่นของเยอรมนี นักกีฬาเยอรมันถูกเลือกอย่างระมัดระวังไม่เพียงแต่พละกำลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลักษณะภายนอกที่เป็นอารยันด้วย

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุด เยอรมนีถูกบังคับให้ปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ซาย ซึ่งได้ทำลายเศรษฐกิจเยอรมนีลงย่อยยับ และห้ามสร้างเครื่องบิน เรือดำน้ำ และเรือรบขนาดใหญ่ เยอรมนีสูญเสียดินแดนอาณานิคมทั้งหมด และห้ามสร้างสัมพันธไมตรีกับออสเตรียและนครเสรีดันซิกที่เพิ่งเกิดใหม่

ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีกับประเทศที่เหลือในยุโรปเสื่อมลงด้วยอุบายการเมืองและการตัดสินใจเกี่ยวกับโอกาสหลายครั้ง ด้วยเกรงสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษและฝรั่งเศสจึงใช้นโยบายการจำยอมสละต่อเยอรมนี และปฏิเสธนโยบายต่างประเทศก้าวร้าวเพื่อทำให้นาซีที่เพิ่งเถลิงอำนาจพอใจ เป้าหมายของฮิตเลอร์หลังการเถลิงอำนาจนั้นมีสามข้อ ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย การรวบรวมดินแดนเยอรมนีที่สูญเสียไปภายใต้ข้อบังคับแห่งสนธิสัญญาแวร์ซาย และเลเบนสเราม์ กล่าวกันว่าฮิตเลรอ์ต้องการให้อังกฤษเป็นพันธมิตรในสงครามกับสหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาในท้ายที่สุด ฮิตเลอร์ใช้นโยบายการจำยอมสละของอังกฤษและฝรั่งเศสเพื่อข้อได้เปรียบทางโอกาสของตนเมื่อเขาประกาศจะเกณฑ์ทหารเข้าสู่กองทัพและสร้างลุฟท์วัฟเฟอ (กองทัพอากาศ) ในเดือนมีนาคม 1935 ซึ่งทั้งสองขัดต่อสนธิสัญญาแวร์ซายโดยตรง นโยบายต่างประเทศของเขาถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความอดทนของอังกฤษและฝรั่งเศสเพื่อให้เขาดูได้ว่าสามารถปลีกตัวออกพร้อมกับอะไรติดมือไปบ้าง อีกความกังวลหนึ่งของเขา คือ อิตาลี ที่มีมุสโสลินีเป็นผู้นำและได้กลายมาเป็นประเทศฟาสซิสต์คล้ายกัน แต่พลเมืองภายในแตกแยกกันมากกว่า ฮิตเลอร์ต้องการพันธมิตรที่มีเสถียรภาพและทรงอำนาจกว่านี้

ในปี 1935 ฮิตเลอร์สั่งเกณฑ์ทหาร จัดตั้งกองทัพอากาศ และส่งกำลังทหารกลับเข้าประจำแคว้นซาร์ แต่ไม่ได้รับการตอบโต้จากประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรประการใด เป็นเหตุให้ฮิตเลอร์ฮึกเหิมและก้าวร้าวมากขึ้น ในปีต่อมา ฮิตเลอร์เริ่มใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ในปี 1937 ฮิตเลอร์ส่งกองกำลังไปช่วยเหลือฝ่ายชาตินิยมสเปน ภายใต้การนำของนายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ในสงครามกลางเมืองสเปน

ในปี 1938 เยอรมนีผนวกเอาดินแดนออสเตรีย อิตาลีซึ่งมีท่าทีต่อต้านเยอรมนีมิให้ยึดครองออสเตรียมาตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาเหล็ก เมื่ออังกฤษและอิตาลีปราศจากผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว อิตาลีจึงเริ่มเปลี่ยนท่าทีโอนเอียงไปหาเยอรมนีแทน ต่อมาก็ยังได้ดินแดนซูเดเตนแลนด์และเชโกสโลวาเกีย อังกฤษซึ่งยังคงเชื่อว่าฮิตเลอร์ไม่ปรารถนาสงคราม นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิล เชมเบอร์ลิน จึงได้ลงนามยกแคว้นซูเดเตนแลนด์ให้แก่เยอรมนี ด้วยหวังว่าเยอรมนีจะไม่แสวงหาดินแดนอื่นเพิ่มเติมในทวีปยุโรป เนวิลล์คิดว่าตนได้ปฏิบัติภารกิจได้ประสบความสำเร็จแล้วเมื่อฮิตเลอร์ยอมตอบตกลง แต่หลังจากนั้น ฮิตเลอร์ก็เข้าผนวกเชโกสโลวาเกียอีก

หลังจากนั้น ฮิตเลอร์ได้พุ่งเป้าไปยังโปแลนด์และฉนวนโปแลนด์ เขาต้องการให้มีการทบทวนการกำหนดพรมแดนใหม่กับโปแลนด์ แต่โปแลนด์ปฏิเสธที่จะยอมรับการผนวกนครเสรีดันซิกเข้ากับเยอรมนี ไม่นานก่อนหน้าการบุกครองโปแลนด์ ฮิตเลอร์ได้ลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันกับสหภาพโซเวียต เพื่อเป็นการแบ่งปันเขตอิทธิพลของตนในยุโรปตะวันออก และเมื่อถึงวันที่ 1 กันยายน 1939 กองทัพเยอรมนีการบุกครองโปแลนด์ และนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะประกาศสงครามกับนาซีเยอรมนีและให้การช่วยเหลือโปแลนด์ก็ตาม แต่ผลก็แทบจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเลย ซึ่งเป็นระยะที่เรียกกันว่า "สงครามลวง"

ในปี 1940 เยอรมนีรุกรานเดนมาร์กและนอร์เวีย เพื่อลดการตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากความหวาดระแวงในท่าทีของฝ่ายสัมพันธมิตร รวมทั้งยังได้โจมตีไปทางทิศตะวันตก ยึดครองกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำและประเทศฝรั่งเศส โดยเยอรมนียินยอมให้ผู้ชาตินิยมและวีรบุรุษสงคราม ฟิลิป เปแตง จัดตั้งการปกครองภายใต้ระบอบฟาสซิสต์ เรียกชื่อประเทศว่า "รัฐฝรั่งเศส" หรือเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางกว่า คือ วิชีฝรั่งเศส

ในปี 1941 เยอรมนีรุกรานสหภาพโซเวียตในความพยายามที่จะพิชิตดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลตามนโยบาย เลเบนสเราม์ สำหรับพลเมืองสัญชาติเยอรมัน

ในช่วงหลังจากปี 1943 ทิศทางของสงครามเปลี่ยนแปลงไป เยอรมนีถูกบังคับให้ต้องยึดครองดินแดนของอิตาลี ซึ่งรัฐบาลของมุสโสลินีหมดอำนาจลง และจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี กองทัพเยอรมันต้องสู้กับกองทัพพันธมิตรทั้ง 3 แนวรบ เยอรมนีในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองถูกโดดเดี่ยวทางการทูตอย่างหนัก และไม่อาจต้านทานกองทัพสัมพันธมิตรที่รุกเข้ามาจากทั้งทางทิศตะวันตก ตะวันออกและทิศใต้ เมื่อรัฐบาลใหม่ของเยอรมนีประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1945


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

เบอร์ลินตะวันออก ประเทศเยอรมนีตะวันออก ปฏิทินฮิบรู เจ้า โย่วถิง ดาบมังกรหยก สตรอเบอร์รี ไทยพาณิชย์ เคน ธีรเดช อุรัสยา เสปอร์บันด์ พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ ตะวันทอแสง รัก 7 ปี ดี 7 หน มอร์ มิวสิค วงทู อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 เธอกับฉัน เป๊ปซี่ น้ำอัดลม แยม ผ้าอ้อม ชัชชัย สุขขาวดี ประชากรศาสตร์สิงคโปร์ โนโลโก้ นายแบบ จารุจินต์ นภีตะภัฏ ยัน ฟัน เดอร์ไฮเดิน พระเจ้าอาฟงซูที่ 6 แห่งโปรตุเกส บังทันบอยส์ เฟย์ ฟาง แก้ว ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ เอ็มมี รอสซัม หยาง มี่ ศรัณยู วินัยพานิช เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน เค็นอิชิ ซุซุมุระ พอล วอล์กเกอร์ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ฮันส์ ซิมเมอร์ แบร์รี ไวต์ สตาญิสวัฟ แลม เดสมอนด์ เลเวลีน หลุยส์ที่ 4 แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์และไรน์ กีโยม เลอ ฌ็องตี ลอเรนโซที่ 2 เดอ เมดิชิ มาตราริกเตอร์ วงจรรวม แจ็ก คิลบี ซิมโฟนีหมายเลข 8 (มาห์เลอร์) เรอัลเบติส เฮนรี ฮัดสัน แคว้นอารากอง ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน กันต์ กันตถาวร เอก ฮิมสกุล ปัญญา นิรันดร์กุล แฟนพันธุ์แท้ 2014 แฟนพันธุ์แท้ 2013 แฟนพันธุ์แท้ 2012 แฟนพันธุ์แท้ 2008 แฟนพันธุ์แท้ 2007 แฟนพันธุ์แท้ 2006 แฟนพันธุ์แท้ 2005 แฟนพันธุ์แท้ 2004 แฟนพันธุ์แท้ 2003 แฟนพันธุ์แท้ 2002 แฟนพันธุ์แท้ 2001 แฟนพันธุ์แท้ 2000 บัวชมพู ฟอร์ด ซาซ่า เดอะแบนด์ไทยแลนด์ แฟนพันธุ์แท้ปี 2015 แฟนพันธุ์แท้ปี 2014 แฟนพันธุ์แท้ปี 2013 แฟนพันธุ์แท้ปี 2012 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต บุปผาราตรี เฟส 2 โมเดิร์นไนน์ ทีวี บุปผาราตรี ไฟว์ไลฟ์ แฟนพันธุ์แท้ รางวัลนาฏราช นักจัดรายการวิทยุ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 แบร์นาร์แห่งแกลร์โว กาอึน จิรายุทธ ผโลประการ อัลบาโร เนเกรโด ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เอมี่ อดัมส์ ทรงยศ สุขมากอนันต์ ดอน คิง สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) สาธารณรัฐเอสโตเนีย สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เน็ตไอดอล เอะโระเก คอสเพลย์ เอวีไอดอล ช็อคโกบอล มุกะอิ

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
จำนำรถราชบุรี รถยนต์ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23301