ทักษิโณมิกส์ (อังกฤษ: Thaksinomics) เป็นคำเรียกนโยบายเศรษฐกิจในสมัยที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย โดยผู้ที่ใช้คำนี้ครั้งแรกคือนางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ในสุนทรพจน์งานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อ พ.ศ. 2546 โดยหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวที่โดดเด่นที่สุด คือ แดเนียล เลียน นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์
ดร. สุวินัย ภรณวลัย รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์เป็นประดิษฐกรรมของ พ.ต.ท. ทักษิณ โดยเป็นความคิดของนักกลยุทธ์เชิงสมัยนิยม เพื่อจัดการทางกลยุทธ์ การรวบรวมองค์ความรู้ เพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งส่วนตัวและส่วนร่วม ซึ่งดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย และอาจมีการใช้ความรุนแรง เพื่อให้เขาเป็นผู้ชนะ
ทักษิโณมิกส์ เป็นชื่อเรียกโดยทั่วไปของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จ่ายภาครัฐบาล และสร้างรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว เพื่อแก้ปัญหาความถดถอยทางเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2540 ซึ่งสาเหตุการเกิดวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นมาจากปริมาณเงินที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก เพื่อแสวงหากำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและจากตลาดหุ้น ในขณะเดียวกันก็มีการใช้เงินผิดประเภท เพราะกู้เงินระยะสั้นมาเพื่อปล่อยกู้ระยะยาว และการปล่อยสินเชื่อก็ไม่ก่อให้เกิดการผลิตที่แท้จริงขึ้นในระบบเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ขึ้น และส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ราคาสินค้าอื่นไม่เปลี่ยนแปลง
ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้อุปสงค์รวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมีการนำเข้าสินค้าทุนในปริมาณและมูลค่าที่สูงกว่าการส่งออกสุทธิ ส่งผลให้ค่าเงินบาทที่แท้จริงลดลง เมื่อถูกโจมตีค่าเงิน ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ก็ไม่เพียงพอที่จะพยุงค่าเงินบาทตามระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ไว้ได้ จนต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน มาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 จนต้องขอกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศลดน้อยลงจนไม่เพียงพอชำระหนี้ต่างประเทศ
วิกฤตการณ์ทางการเงินของไทย ส่งผลกระทบต่อภาคการเงินของไทยอย่างรุนแรง จนต้องมีการปิดบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์ 56 แห่ง รวมทั้งกิจการธนาคาร ขณะที่ภาระหนี้ต่างประเทศก็เพิ่มสูงขึ้น เพราะรัฐบาลและกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปแบกรับภาระหนี้ของธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านั้น
นอกจากนั้นยังทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยถดถอยติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากการพังทลายของภาคการเงินไทย เพราะสถาบันการเงินมีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก ขณะที่ปริมาณเงินในระบบก็ลดน้อยลง เพราะการไหลออกของเงินทุน รวมทั้งหนี้ภาครัฐที่มีปริมาณสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนการส่งออกก็ไม่สามารถเป็นตัวกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศต่อไปได้ เพราะความถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโลก และความได้เปรียบของคู่แข่งขัน ซึ่งสามารถส่งออกสินค้าในราคาที่ถูกกว่า รัฐบาลจึงเข้ามามีบทบาทแทนที่ภาคเอกชน ด้วยการกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศ ผ่านการใช้จ่ายตามโครงการต่าง ๆ ทั้งบริโภค และการลงทุน
ทักษิโณมิกส์ของรัฐบาลทักษิณ ได้รับการกล่าวขานว่าแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง เพราะการแทรกแซงกลไกตลาดทุกระดับ กล่าวคือ มุ่งใช้นโยบายการคลังมากกว่านโยบายการเงิน ทำให้การใช้จ่ายของรัฐบาลมีปริมาณสูง ทั้งในรูปของเงินในงบประมาณรัฐบาล และเงินนอกงบประมาณผ่านรัฐวิสาหกิจ เพื่อกระตุ้นอุปสงค์รวมของประเทศให้ได้และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แต่ก็สร้างข้อกังวลอีกมากมายเช่นกัน
การดำเนินเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์นั้น ทักษิณนิยามว่าคือ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง (Dual Track Policy) โดยกล่าวว่านโยบายนี้ คือสูตรในการสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย แนวทางแรกคือ กระตุ้นการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยว เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ และแนวทางที่สองคือ การกระตุ้นไปในระดับรากหญ้า มุ่งไปที่เกษตรกร ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ
ทั้ง 2 แนวทางมีความมุ่งหมายกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยหาทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้ประชาชน ดร. ดาเนียล เลียน (en:Daniel Lian) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ เรียกลักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ว่า "สังคมทุนนิยม" (Social Capitalism) หลักการคือ การประยุกต์ระบบทุนนิยมเข้ากับระบบสังคมนิยม เพราะระบบทุนนิยมเป็นระบบที่มีเป้าหมายแต่ไม่มีอุดมการณ์ ส่วนระบบสังคมนิยมเป็นระบบที่มีอุดมการณ์แต่ไม่มีเป้าหมาย[ต้องการอ้างอิง]
นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง เป็นการปรับสังคมเศรษฐกิจฐานล่างให้เป็นระบบสังคมนิยมที่มีเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจฐานบนใช้ระบบทุนนิยมที่มีอุดมการณ์ แต่นอกเหนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแบบ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง แล้ว บางส่วนของนโยบายทักษิโณมิกส์คือ การแทรกตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นเติบโต เพื่อใช้เป็นช่องทางระบายหุ้นรัฐวิสาหกิจออกไปให้มากที่สุด เป็นการเชื่อมโยงระหว่างดัชนีตลาดหุ้น กับการสร้างมูลค่าสินทรัพย์ของรัฐ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
โดยรัฐบาลได้ใช้กลไกเชื่อมโยงจากตลาดหุ้นไปสู่อุปสงค์รวมระบบเศรษฐกิจ ด้วยวิธีการนำสินทรัพย์ในตลาดหุ้นเปลี่ยนให้เป็นกระแสเงินสด ใช้ต่อสายป่านมาหมุนเศรษฐกิจอีกรอบ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใช้ตลาดหุ้นสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้รัฐวิสาหกิจออกจากอ้อมอกของรัฐบาล ให้ยืนบนขาของตัวเอง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด เพราะนั่นจะหมายถึงการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในระยะยาวแบบเบ็ดเสร็จด้วย
ทักษิโณมิกส์ มีแนวโน้มการอาศัยความสามารถในเชิงบริหารจัดการของฝ่ายบริหารเป็นกลไกสำคัญในการบริหารโนบาย จะเห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณกลางจำนวนสูงโดยไม่ได้กำหนดรายละเอียดการใช้จ่ายล่วงหน้า หรือการเข้าไปตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยหวังว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง อาจเรียกได้ว่าเป็นระบบ managed market economy
แบบจำลองสถิตซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและปรากฏในตำราเศรษฐศาตร์มหภาคทั่วไปก็คือ แบบจำลอง en:IS/LM แบบจำลองดังกล่าวเกิดจากการตีความแนวคิดของ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ โดยเซอร์ จอห์น ฮิกส์ (en:Sir John Hicks, 1937) และต่อมาได้เพิ่มเติมการเปรียบเทียบแนวคิดของทั้งนักเศรษฐศาสตร์สำนักเดิมและ Keynes โดย Paul Samualson (1948) ในหนังสือ Economics และกลายเป็นแบบจำลองที่ใช้แพร่หลายในการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ทางเศรษฐศาสตร์มหภาค
แบบจำลองดังกล่าว แสดงลักษณะของระบบเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ อุปสงค์รวม (en:Aggregate demand) และอุปทานรวม (en:Aggregate supply) โดยอุปสงค์รวมถูกกำหนดจากดุลยภาพในตลาดสินค้า (goods market) และตลาดเงิน (money market) ส่วนอุปทานรวมถูกกำหนดจากดุลยภาพในตลาดแรงงาน (labour market) และเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งแสดงโดยสมการการผลิต (en:production function) เมื่ออุปสงค์รวมเท่ากับอุปทานรวมของระบบเศรษฐกิจ แบบจำลองจึงสามารถกำหนดระดับผลผลิตดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจได้
ข้อเสนอของเคนส์เป็นที่ยอมรับทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะทำให้คนว่างานลดลงอย่างมาก ทำให้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคตามแนวคิดเคนส์ เป็นแนวคิดหลักต่อมาอีกหลายปี โดยในช่วงแรกนั้น ข้อเสนอทางด้านนโยบายส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านนโยบายการคลัง จนกระทั่งนโยบายการเงินและบทบาทของเงินเริ่มเป็นที่กล่าวถึงในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เนื่องจากการเสนอแนวคิดในเรื่องการทดแทนกัน (trade-off) ระหว่างการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอธิบายด้วยเส้นฟิลลิปส์ (en:Phillips curve)
แนวทางแบบทักษิโณมิกส์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงตกต่ำให้กลับฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือ ส่งเสริมการบริโภคของประชาชน เพื่อขยายอุปสงค์รวมของประเทศให้สูงขึ้น อันจะนำไปสู่การลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งอาจผันผวนได้ตลอดเวลา. หลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจภายในมีเสถียรภาพในระดับหนึ่งแล้ว จึงจะกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไปได้
โดยวิธีหนึ่งที่รัฐบาลทักษิณเลือกใช้กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศก็คือ การกระจายทรัพยากรทางการเงินไปสู่ประชาชนระดับ รากหญ้า ผ่านทางโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการพักการชำระหนี้ของเกษตรกร โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ
ส่วนการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนนั้น ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 2 ได้มีนโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยจัดแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) ออกเป็นห้ากลุ่มยุทธศาสตร์หลัก เช่น การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น แล้วทำการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เหล่านี้. สำหรับการลงทุนภาครัฐ ได้ลงทุนและมีแผนจะลงทุนในโครงการขนาดยักษ์ (เมกะโปรเจกต์) ต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โครงการระบบโลจิสติกส์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท เป็นการกระตุ้นการลงทุนต่อจากกระตุ้นการบริโภคในช่วงสมัยแรกของรัฐบาล เพื่อรักษาไม่ให้อุปสงค์รวมมีผล (en:Effective Demand) ตกต่ำลง
นักวิจารณ์มองว่าแนวทางนี้นั้น ไม่ต่างอะไรไปจากเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ ของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ และเศรษฐกิจไทยในช่วงรัฐบาลทักษิณนั้น ก็ยังคงเติบโตจากการส่งออกเป็นหลักเช่นเดิม ส่วนการบริโภคภายในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเพียงแค่ระดับปานกลางเท่านั้น ธนาคารของรัฐเร่งปล่อยกู้นั้น ก็อาจจะนำไปสู่หนี้เสียในที่สุด แนวทางนี้ กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยมองว่าเป็นนโยบายประชานิยม ที่ทำไปเพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชน ทั้งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากนอกจากอาจจะเป็นการสูญเปล่าไม่ได้ผลอะไรกลับมาแล้ว ยังอาจจะสร้างนิสัยการบริโภคเกินตัวของประชาชนอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกของการใช้นโนบายนี้ เศรษฐกิจของไทยขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ผิดจากการคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยบางท่าน เช่น ดร. อัมมาร์ สยามวาลา ที่เคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2544 จะโตเพียง 1.5% แต่เศรษฐกิจของไทยในปีนั้นก็ขยายตัวถึง 5.2% อย่างก็ไรก็ตามก็ยังมีเสียงเตือนว่า โครงสร้างเศรษฐกิจพื้นฐานนั้น ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกเมื่อไรก็ได้
ดร. สุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์เป็นนโยบายประชานิยมที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งน่าจะทำให้พรรคไทยรักไทยได้ทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างยาวนาน อย่าง พรรค LDP ของประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม การทำให้ประชาชนพึ่งทักษิโณมิกส์มากเกินไปอาจทำให้รัฐบาลแบกภาระมากเกินไป และอาจทำให้ทุกอย่างล้มเหลวได้
ผู้สนับสนุนกล่าวว่า จุดเด่นของทักษิโณมิกส์อยู่ที่การไม่ยึดแบบจำลองทางเศรษฐกิจอย่างตายตัว มีลักษณะเป็นพลวัตรและยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ค่อนข้างดี เช่นในปี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญผลกระทบจากไข้หวัดนก คลื่นสึนามิ รวมทั้งราคาน้ำมันที่สูงถึง 69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ถึง 4.7%
ดร. สุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า ความเชื่อของทักษิโณมิกส์มีหลักว่าเงินสามารถแก้ปัญหาได้ และการได้เสียงจากประชาชนเป็นความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งความสำเร็จของมันจะขึ้นอยู่กับคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารเป็นสำคัญ