ทรอมโบน (อังกฤษ: Trombone) เป็นเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง มีคันชักใช้สำหรับเปลี่ยนระดับเสียง โดยมากจะใช้ในวงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่ง รวมทั้งวงซิมโฟนีออร์เคสตรา และแตรวง ในวงดนตรี ทรอมโบนจะทำหน้าที่ประสานเสียงในกลุ่มแตรด้วยกัน
ทรอมโบน เป็นแตรซึ่งใช้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ในพิธีศาสนาและพิธียุรยาตราร่วมกับแตรโบราณ ทรอมโบนประกอบด้วยท่อลมสวมซ้อนเลื่อนเข้า – ออกได้ (Telescopic slide) ขนาดยาวโค้งได้สองทบ สองในสามของท่อลมนี้เป็นท่อทรงกระบอกเช่นเดียวกับ ทรัมเปตส่วนที่เหลือค่อย ๆ บานออกเป็นปากลำโพง ส่วนที่เป็นท่อลมทรงกระบอกจะเป็นท่อสองชั้นสวมกันไว้ในลักษณะรูปตัว U เลื่อนเข้าออกเพื่อปรับระดับเสียง เมื่อเลื่อนออกจะยาวประมาณ 9 ฟุต แต่เมื่อเลื่อนเข้า จะเหลือเพียง 3 ฟุตเศษ
ทรอมโบนเป็นเครื่องดนตรีประเภทท่อทรงกระบอก (Cylindrical Bore) กล่าวคือมีท่อลมที่ขนาดคงที่เกือบทั้งเครื่อง ทำให้มีเสียงที่แข็งและกระด้าง ไม่นิ่มนวลเหมือนฮอร์นหรือยูโฟเนียม แต่ในบางรุ่นอาจมีการขยายขาหนึ่งของ Slide ให้ใหญ่กว่าอีกขาหนึ่ง ทำให้เสมือนหนึ่งเป็นเครื่องดนตรีทรงกรวย (Conical Bore) และให้เสียงที่นุ่มขึ้น
Alto Trombone มีระดับเสียงสูงที่สุด คีย์ Eb หรือ Eb/Bb alto trombone จะมีช่วงตำแหน่งของ Slide ที่สั้นกว่า Tenor และ bass trombone ขนาดท่อลมของ alto trombone จะคล้ายกับ tenor trombone แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ปรมาณ 0.450"-0.500" และ bell ประมาณ 6.5" หรือ 7.5"
Tenor Trombone มีระดับเสียงต่ำกว่า Alto มีคีย์เสียง Bb เป็นทรอมโบนมาตรฐานที่ใช้กันมากที่สุดในวงทุกประเภท และเป็นที่เริ่มนิยมอย่างมากในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 ในอังกฤษ และ ฝรั่งเศส สำหรับบางเครื่องจะมี Valve สำหรับใช้เปลี่ยนคีย์เสียงของเครื่องทรอมโบนลงไปเป็นคีย์ F (คู่ 4 Perfect) และปิดช่องว่างระหว่าง Bb1 และ E2 ของทรอมโบนทั่วไป ทรอมโบนชนิดนี้อาจเรียกชื่อว่า Trombone แบบนี้ว่า Tenor-Bass Trombone หรือ Bb/F Trombone หรือบางครั้งเรียก Trombone with F-attachment มักมีขนาดปากแตรที่ 7? ถึง 8? นิ้ว
Marching Trombone คือ Tenor Trombone คีย์ Bb ที่ใช้วาล์วแทนสไลด์เพื่อไม่ให้เกะกะ เป็นทรอมโบนที่ออกแบบให้เครื่องมีขนาดสั้นและน้ำหนักเบา สำหรับใช้ในวงโยธวาทิตเท่านั้น
Bass Trombone มีคีย์หลักที่ Bb และมีความยาว 9 ฟุตเช่นเดียวกับ Tenor Trombone แต่มีขนาดท่อลมที่ใหญ่กว่าเพื่อให้เสียงที่หนักกว่าและนุ่มกว่า มักมีเส้นผ่านศูนย์กลางท่อลม (Bore Size) ที่ใหญ่กว่า Tenor Trombone เช่น 0.562" หรือ 0.580" และมีขนาดปากแตร (Bell) ตั้งแต่ 9 ถึง 10? นิ้ว โดยทั่วไปมักมี Valve สำหรับเปลี่ยนคีย์ลงไปที่ F และสำหรับบางเครื่องอาจมี Valve อีกตัวซึ่งสามารถเปลี่ยนเสียงให้ต่ำลงอีกเป็นคู่ 3 Minor หรือ 3 Major (แล้วแต่รุ่น) ทำให้สามารถผสมคีย์ได้หลากหลาย เช่น Bb/F/Gb/D, Bb/F/G/Eb, Bb/F/D และ Bb/F/Eb
เบสทรอมโบนสมัยใหม่เป็นรุ่นพัฒนาของ Tenor Bass Trombone ซึ่งถูกขยายท่อลมและขนาดปากแตรให้ใหญ่ขึ้นในภายหลัง
ในอดีตเคยมี Bass Trombone ในคีย์ F G และ Eb เช่นกัน แต่เสื่อมความนิยมลงหลังจากมีการประดิษฐ์ Tenor Bass Trombone ซึ่งสามารถคลุมช่วงเสียงที่ในอดีตจำเป็นต้องใช้ทรอมโบนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
Contrabass Trombone มีระดับเสียงต่ำกว่า Bass Trombone มีทั้งความยาว 18 นิ้ว คีย์ Bb และความยาว 12 นิ้ว คีย์ F แต่ในปัจจุบัน F เป็นที่แพร่ นิยมคือระหว่าง 0.567" กับ 0.580"
Superbone เป็นการผสมผสานระหว่าง Valve และ Slide ปรากฏในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เคยรู้จักกันในชื่อ Valide Trombone นิยมใช้ในหมู่นักดนตรี jazz ในปัจจุบันมักเรียกกันว่า Superbone
ทรอมโบนหลายรุ่นโดยเฉพาะรุ่นสำหรับมืออาชีพจะมีวาล์วเพื่อเปลี่ยนเสียงลงไปยังคีย์ F หรือคีย์อื่นๆ วาล์วเหล่านี้มีหลากหลายชนิด แต่แต่ละชนิดจะมีหลักการทำงานพื้นฐานที่เหมือนกัน กล่าวคือ เปลี่ยนทิศทางลมจากท่อลมปกติเข้าสู่ท่อลมอีกท่อหนึ่งซึ่งมีความยาวพอที่จะเปลี่ยนเสียงให้เป็นระดับที่ต้องการ และจากนั้นลมก็จะไหลกลับเข้าไปในท่อปกติอีกด้านหนึ่งของตัววาล์ว
การประกอบวาล์วมีหลายแบบ ที่พบมากที่สุดคือ F Valve ซึ่งจะเปลี่ยนเสียงให้ต่ำลงไปเป็นคู่ 4 Perfect (เช่น Bb เป็น F) ส่วน Bass Trombone บางตัวนั้นจะมีวาล์ว 2 ตัว และทำให้สามารถเปลี่ยนคีย์ได้มากขึ้นไปอีก เช่น F และ Gb Valve ซึ่งทำให้สามารถเปลี่ยนคีย์ได้ตั้งแต่ Bb F Gb และ D นอกจากนั้นยังมีระบบวาล์วอื่นๆ เช่น C Valve และ Trill Valve หรือ Trill Key
ระบบท่อของวาล์วแบ่งออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ Traditional Wrap ซึ่งจะขดท่อไปมาอย่างค่อนข้างซับซ้อนเพื่อให้อยู่ในกรอบของตัวทรอมโบนและลดอัตราการกระทบกระแทก และ Open Wrap ซึ่งจะมีส่วนคดโค้งน้อยกว่า แต่จะยื่นออกไปทางด้านหลังมากกว่า วาล์วแบบ Open Wrap จะให้เสียงที่โล่งมากกว่า แต่ก็กระทบกระแทกได้ง่ายกว่าเช่นเดียวกัน ท่อต่อของวาล์วจะมีท่อปรับเสียง (Tuning Slide) เช่นเดียวกับท่อลมปกติของทรอมโบน และการดึงท่อปรับเสียงนี้จำเป็นต้องกดวาล์วก่อนทุกครั้ง เนื่องจากวาล์วในขณะที่ไม่ใช้จะปิดสนิทไม่ยอมให้ลมเข้า ปริมาตรอากาศภายในจึงคงที่ การดึงท่อปรับเสียงจึงอาจทำให้วาล์วรั่วหรือท่อวาล์วยุบได้
Rotary Valve ประกอบด้วยลิ้นภายในรูปเลนส์เว้า ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างท่อลมปกติกับท่อต่อของวาล์ว เมื่อวาล์วไม่ได้ถูกใช้ ลิ้นจะเปิดให้ลมผ่านไปตามท่อตามปกติ แต่หากกดวาล์ว ลิ้นนี้จะหมุนไปในมุม 90 องศา และผันลมให้เข้าไปในท่อวาล์ว ก่อนที่จะไหลกลับเข้าไปในท่อลมปกติที่อีกด้านหนึ่งของลิ้น มีกลไกสองระบบ คือ mechanical linkage (ใช้กลไกในการหมุนวาล์ว) และ string linkage (ใช้เชือกในการหมุนวาล์ว) นักเป่าทรอมโบนหลายคนวิจารณ์วาล์วแบบนี้ว่าทำให้ความรู้สึกในการเป่าไม่โล่งเหมือนวาล์วธรรมดาและเนื้อเสียงหลังจากกดวาล์วเปลี่ยนไป เนื่องจากลมจะถูกเปลี่ยนทิศทางไปถึง 90 องศาซึ่งทำให้มีแรงต้านเพิ่มขึ้น และแม้ไม่กดวาล์วก็จะมีลมบางส่วนที่ค้างอยู่ตามส่วนโค้งของลิ้นและตัววาล์ว
Thayer Valve เป็นระบบวาล์วที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเสียงอู้ของ rotary valve ซึ่งทำงานโดยลิ้นรูปโคนซึ่งจะเปลี่ยนทิศทางลมให้เข้าไปในท่อของวาล์ว แต่ระบบวาล์วชนิดนี้จะเปลี่ยนทางลมเพียง 25 องศาหรือน้อยกว่า ทำให้แรงต้านและเนื้อเสียงแทบไม่แตกต่างจากก่อนกดวาล์ว อย่างไรก็ตาม วาล์วชนิดนี้ต้องการการดูแลและมีราคาสูงกว่า Rotary Valve และมีปัญหาการรั่วซึมมาก อีกทั้งนักเป่าทรอมโบนบางคน (โดยเฉพาะ Bass Trombone) ไม่ชอบวาล์วชนิดนี้นัก และเห็นว่าแรงต้านจากวาล์วช่วยทำให้เป่าเสียงโน้ตตัวต่ำได้ดีขึ้น
Hagmann Valve และ Balanced Valve ทำงานด้วยหลักการคล้ายกัน กล่าวคือมีท่อลมสามท่อขดรวมอยู่ภายในตัววาล์ว ท่อหนึ่งตรงหรือเกือบตรงสำหรับเมื่อไม่ได้ใช้วาล์ว และอีกสองท่อโค้งสำหรับผันลมเข้าสู่ส่วนท่อของวาล์ว ซึ่งองศาการเบนลมนั้นมากกว่า Thayer Valve แต่น้อยกว่า Rotary Valve และปัญหาการรั่วซึมและการดูแลรักษาก็น้อยกว่า Thayer Valve ทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น