ซูโจว (จีนตัวเต็ม: ??; จีนตัวย่อ: ??) เป็นเมืองสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซู ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน อยู่ติดกับเขตการปกครองพิเศษเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ตอนปลายของแม่น้ำแยงซี ริมฝั่งทะเลสาบไท่หรือไท่หู (อังกฤษ: Lake Tai or Tai Hu; จีนตัวย่อ: ??) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี เป็นเขตการปกครองระดับจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 4 ล้านคนในเขตเมือง และมีประชากรรวมกว่า 10 ล้านคนในพื้นที่เขตปกครองทั้งหมด เมืองซูโจวยังถือได้ว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน เป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ศูนย์กลางการค้า และการขนส่ง นอกจากนี้ซูโจวยังเป็นเมืองสำคัญด้านวัฒนธรรม การศึกษา ศิลปะ และการคมนาคม
เมืองซูโจวเริ่มก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อ 514 ปี ก่อนคริสตกาล มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หรือเมื่อประมาณ 100 ปี ก่อนคริสตกาล เมืองซูโจวเป็นหนึ่งในสิบเมืองใหญ่ที่สุดในโลกเนื่องจากมีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่จำนวนมาก และในศตวรรษที่ 10 สมัยราชวงศ์ซ่ง เมืองซูโจวเคยเป็นเมืองศูนย์กลางด้านพาณิชย์ที่สำคัญของประเทศ ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง จนถึงช่วงกบฏไท่ผิง (Taiping Rebellion) ในปี ค.ศ. 1860 เมืองซูโจวเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และพาณิชย์ และเป็นเมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในสมัยนั้นอีกด้วย
ซูโจวเป็นเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโดยมีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นสายน้ำ ภูเขา และโดยเฉพาะสวนโบราณ ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ซูโจวเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในสมัยนั้น ในเมืองและนอกเมืองเต็มไปด้วยสวนโบราณ ในศตวรรษที่ 16-18 ซูโจวมีสวนโบราณมากกว่า 200 แห่ง ปัจจุบันมีสวนที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างสมบูรณ์แล้วกว่า 10 แห่ง นอกจากนี้ ซูโจวยังมีคลองต่างๆ มากมายเป็นอันดับหนึ่งในบริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงใต้ มีความงดงามมากจนได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์”
ด้วยความสวยงามทั้งทางธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างโบราณ อาทิ ลำคลอง สะพานหินโบราณ เจดีย์ และสวนจีนโบราณ เมืองซูโจวจึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากที่สุดในประเทศจีน เมื่อปี ค.ศ. 1997 และ 2000 สวนโบราณเมืองซูโจวยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (World Heritage Sites) โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
นอกจากนั้นเมืองซูโจวยังได้รับการขนานนามว่าเป็น "เวนิสแห่งตะวันออก (Venice of the East)" หรือ "เมืองเวนิสของจีน (Venice of China)" ด้วยความที่ซูโจวมีลำคลองรายรอบเมืองอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีคลองที่ไหลผ่านตัวเมืองมากมายหลายสาย คลองเหล่านี้ต่อเชื่อมกันจนเป็นเครือข่าย โดยมีสะพานหินหลายร้อยแห่งที่ทอดข้ามลำคลองเหล่านี้
สำหรับเมืองที่มีพื้นที่ร้อยละ 55 เป็นพื้นที่ราบ ร้อยละ 3 เป็นเนินเขา และ ร้อยละ 42 เป็นน้ำ การได้รับกล่าวนามว่า "เวนิสตะวันออก" จึงไม่เกินเลยไปนัก
ตัวอักษร "ซู" ? หรือ ? เป็นคำที่ย่อมาจากชื่อภูเขาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง คือ เขากูซู (t ???, s ???, p G?s?sh?n) ซึ่งคำว่า s? ในชื่อเขากูซูนี้หมายถึงใบชิโสะ (shiso) ส่วนตัวอักษร "โจ" ? ตามเดิมนั้นหมายถึงจังหวัดหรือมณฑล เช่น มณฑลกุ้ยโจว (cf. Guizhou) แต่ภายหลังมักใช้เป็น metonomously สำหรับเมืองเอกของมณฑล เช่น กว่างโจว หรือ หางโจว เป็นต้น (cf. Guangzhou, Hangzhou, etc.).
เมืองซูโจวมีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยแคว้นอู๋ เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในแถบลุ่มแม่น้าแยงซี (จีนตัวเต็ม: ??; จีนตัวย่อ: ??; พินอิน: Y?ngz?) ใน ยุคชุนชิว (แปลว่า ยุคฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง หรือ ฤดูวสันต์และฤดูสารท; อังกฤษ: Spring and Autumn Period; จีนตัวย่อ: ????; พินอิน: Ch?nqi? Sh?d?i) สมัยราชวงศ์โจว มีบันทึกว่าชนเผ่าพื้นเมืองชื่อ กัวอู อาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นเมืองซูโจวในปัจจุบัน ชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้สร้างบ้านเรือนรวมกลุ่มกันเป็นหมู่บ้านอยู่ตามริมเขาบริเวณรอบๆ ทะเลสาบไท่
ซือหม่าเชียน (อังกฤษ: Sima Qian; จีนตัวย่อ: ???) นักบันทึกประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ระบุไว้ใน สื่อจี้ หรือสารานุกรมด้านประวัติศาสตร์จีน (Records of the Grand Historian) (Taishi gong shu ???? หรือ the Shiji ?? – "Historical Records") ว่าในช่วงศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล ราชบุตรไท่ปั๋ว (อังกฤษ: Wu Taibo;จีนตัวย่อ: ??) แห่งราชวงศ์โจว (อังกฤษ: Zhou; จีนตัวย่อ: ?) เป็นผู้ก่อตั้งแคว้นอู๋ ในบริเวณอู่ซีปัจจุบัน สร้างความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการเกษตรและการชลประทาน ชื่อของเมืองก็เรียกว่า อู๋ เช่นเดียวกับชื่อของแคว้น ต่อมาเมื่อ 514 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์เหอหลู๋(King Hel?) ของแคว้นอู๋ได้ตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ที่เมืองเหอหลู๋ (Hel? City) ซึ่งที่แห่งนี้เองที่กลายเป็นเมืองซูโจวในปัจจุบัน ต่อมาใน 496 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์เหอหลู๋สวรรคตและพระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ที่เขาหูชิวหรือเนินเสือ (อังกฤษ: Tiger Hill; จีนตัวย่อ: ??; พินอิน: H?qi?)
ช่วง 473 ปีก่อนคริสตกาล แคว้นอู๋ถูกรุกรานและยึดครองโดยแคว้นเยว่ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาเมื่อ 306 ปี ก่อนคริสตกาล แคว้นเยว่ก็ถูกยึดครองโดยแคว้นฉู่ปัจจุบันยังคงเหลือผานเหมินหรือประตูผาน (อังกฤษ: Pan Gate; จีนตัวย่อ: ??) อายุกว่า 2,500 ปี เป็นมรดกที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ในยุคจั้นกั๋ว (Warring States period หรือยุคจ้านกว๋อ หรือเลียดก๊ก) เมืองซูโจวรู้จักกันในนามของเทศมณฑลอู๋ (อู๋เซี่ยน; Wuxian) หรือ Wu Commandery (อู๋จุน; Wu Jun ) ในสมัยราชวงศ์ฉินได้เปลี่ยนชื่อเป็นไกว้ยจี (อังกฤษ: Kuaiji; จีนตัวย่อ: ??)
ช่วงรุ่งเรือง หรือ 209 ปีก่อนคริสตกาลของฌ้อปาอ๋อง (Xiang Yu หรือ ซีฉู่ป้าหวัง) ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ในยุคปลายราชวงศ์ฉิน ก็เกิดขึ้นในบริเวณนี้ จนกระทั่งราชวงศ์ฉินล่มสลายลง
หลังจากการขุดคลองต้ายวิ่นเหอ (อังกฤษ: Grand Canal; จีนตัวย่อ: ???) ซึ่งขุดในสมัยราชวงศ์สุยเสร็จสิ้นลง เมืองซูโจวก็กลายเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับเส้นทางการค้าขายขนส่งสินค้าในประวัติศาสตร์จีน หรือเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงของธุรกิจและอุตสาหกรรมในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ต่อมาช่วงราชวงศ์ถัง ไป๋จวีอี้ (Bai Juyi) กวีคนสำคัญในยุคนั้น และเป็นผู้ควบคุมการขุดคลองซานถัง (Shantang Canal) (มักรู้จักกันในชื่อ "ถนนซานถัง (Shantang Street)") เพื่อเชื่อมตัวเมืองและเขาหูชิวหรือเนินเสือสำหรับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในยุคนั้น
ในปี ค.ศ. 1035 ฟ่านจ้งหยาน (Fan Zhongyan) นักเขียนและกวีผู้มีชื่อเสียงได้ก่อตั้งวัดขงจื้อ (อังกฤษ: temple of Confucius; จีนตัวย่อ: ??) ขึ้น ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ในการการสอบขุนนาง (imperial civil examinations) และพัฒนามาเป็นโรงเรียนมัธยมซูโจวในช่วงทศวรรษ 1910
เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1130 กองทัพจิ้นจากทางเหนือเข้าบุกรุกและปล้นสะดมเมือง ตามด้วยการรุกรานของมองโกล (Mongol invasion) ในปี ค.ศ. 1275 และในปี ค.ศ. 1356 ซูโจวได้กลายเป็นเมืองหลวงของจาง ชื่อเฉิง (Zhang Shicheng) ผู้นำคนหนึ่งของกบฏโพกผ้าแดง (Red Turban Rebellion) กลุ่มต่อต้านราชวงศ์หยวน และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ของแคว้นอู๋
ต่อมาในปี ค.ศ. 1367 จูหยวนจาง (Zhu Yuanzhang) ได้ยกกองทัพจากหนานจิงเข้าโจมตีและยึดครองเมืองหลังจากเข้าโอบล้อมไว้ได้นานถึง 10 เดือน หลังจากนั้นไม่นาน จูหยวนจางก็ได้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิหงหวู่ จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง และสั่งให้ทำลายที่ทำการเมืองซูโจว รวมทั้งกำหนดภาษีใหม่สำหรับชาวเมือง แม้ว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีอย่างหนัก และบุคคลสำคัญของเมืองซูโจวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในหนานจิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรพรรดิหงหวู่แทน เมืองซูโจวก็สามารถกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้น
ในปี ค.ศ. 1488 เจาปู (Choe Bu) ข้าราชการชาวเกาหลีที่ประสบอุบัติเหตุเรือแตกระหว่างการเดินทางกลับประเทศ ได้มีโอกาสเห็นทัศนียภาพทางตะวันออกของประเทศจีน จากเจ้อเจียงถึงเหลียวหนิง เจาได้อธิบายเมืองซูโจวไว้ในบันทึกการเดินทางของเขาว่าเป็นเมืองที่ล้ำหน้าเมืองอื่นๆ ในบริเวณนี้ นอกจากนี้ยังมีสวนส่วนตัวจำนวนมากในซูโจวที่สร้างขึ้นโดยชนชั้นสูงในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง หากว่าในปี ค.ศ. 1860 เมืองซูโจวได้พบกับภัยพิบัติอีกครั้งเมื่อในช่วงกบฏไท่ผิง เมื่อทหารไท่ผิงได้บุกเข้ายึดครองเมือง โดยในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1863 ชาร์ล กอร์ดอน (Charles Gordon) ผู้บัญชาการ Ever-Victorious Army จึงได้ยึดเมืองคืนจากพวกกบฏไท่ผิง
วิกฤตกาลลำดับต่อมาคือช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ปี ค.ศ.1937 ซึ่งในครั้งนี้สวนหลายแห่งในเมืองซูโจวถูกทำลายลงหลังสงคราม และได้มีการบูรณะสวนเหล่านี้ใหม่ เช่น สวนจัวเจิ้ง (Humble Administrator's Garden) และสวนหลิว (Lingering Garden) ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เพื่อให้กลับมาสมบูรณ์และสวยงามอีกครั้ง
เขตกูซู (อังกฤษ: Gusu District ; จีนตัวย่อ: ???; พินอิน: G?s? Q?) หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า เขตมืองเก่าซูโจว ถือเป็นเขตศูนย์กลางของเมืองซูโจว โดยทางด้านทิศตะวันออกของเขตเมืองเก่าเป็นสวนอุตสาหกรรมซูโจว (Suzhou Industrial Park) และทางตะวันตกเป็นเขตพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคซูโจว (Suzhou High & New Technology Development Zone)
ในปี ค.ศ. 2000 พื้นที่เดิมที่เคยเป็นเทศมณฑลอู๋ (อังกฤษ: Wu County หรือ Wuxian; จีนตัวย่อ: ??) ถูกแบ่งเป็น 2 เขตปกครองในระดับอำเภอ คือ เขตเซียงเฉิง (อังกฤษ: Xiangcheng; จีนตัวย่อ: ???) และเขตอู๋จง (อังกฤษ: Wuzhong; จีนตัวย่อ: ???) ซึ่งก็คือพื้นที่ทางตอนเหนือและใต้ของเมืองซูโจวในปัจจุบัน (ตามลำดับ)
ในปี ค.ศ. 2012 พื้นที่เดิมที่เคยเป็นเมืองอู๋เจียงในอดีตก็กลายเป็นเขตปกครองระดับอำเภอ คือ เขตอู๋เจียง (อังกฤษ: Wujiang District; จีนตัวย่อ: ???) ของเมืองซูโจวในปัจจุบันเช่นกัน
เมืองซูโจว เป็นเมืองที่เจริญมากที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศจีน เป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายบริษัทอีกด้วย เมืองซูโจวจึงมีการพัฒนาที่เกี่ยวเนื่องออกไปสู่การเจริญเติบโตของเมืองบริวาร (Satellite cities) โดยรอบ ซึ่งประกอบด้วยเมืองคุณซาน (อังกฤษ: Kunshan; จีนตัวย่อ: ???) เมืองไท่ชาง (อังกฤษ: Taicang; จีนตัวย่อ: ???) เมืองฉางฉู๋ (อังกฤษ: Changshu; จีนตัวย่อ: ???) และเมืองจางเจียกั่ง (อังกฤษ: Zhangjiagang; จีนตัวย่อ:????) ซึ่งเมืองทั้งหมดนี้รวมถึงเมืองซูโจว รวมเป็นพื้นที่เขตปกครองระดับจังหวัดหรือจังหวัดซูโจว (Suzhou prefecture)
เมืองซูโจวตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบไท่ ทางทิศใต้ของแม่น้ำแยงซี หรือประมาณ 100 กิโลเมตร (62 ไมล์) ทางทิศตะวันตกของเมืองเซี่ยงไฮ้ และอยู่ห่างจากเมืองหนานจิงเพียง200 กิโลเมตร (120 ไมล์) ไปทางตะวันออก
ภูมิอากาศของเมืองซูโจวประกอบด้วย 4 ฤดู ได้รับอิทธิพลของมรสุมและเป็นเขตอากาศอบอุ่นชื้นภาคพื้นทวีป มีลักษณะอากาศค่อนข้างร้อนชื้นในฤดูร้อน อากาศหนาวถึงหนาวเย็น และมีหิมะตกเป็นบางช่วงในฤดูหนาว (K?ppen climate classification Cwa). ได้รับลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดมาจากไซบีเรียในฤดูหนาว ทำให้บางครั้งช่วงกลางคืนมีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาได้ ในขณะที่ลมจากทิศใต้หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดผ่านในฤดูร้อนมีผลให้อุณหภูมิสูงถึง 35 ?C (95 ?F) อุณหภูมิสูงสุดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 ที่บันทึกได้คือ 40.1 ?C (แม่แบบ:Convert/proundT0 ?F) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2013, และต่ำสุดคือ แม่แบบ:Convert/-1 ?C (แม่แบบ:Convert/proundT0 ?F) เมื่อวันที่ 16 มกราคม ปี ค.ศ 1958.
ซูโจวมีชื่อเสียงในด้านสวนคลาสสิกหรือสวนโบราณ หรือที่เรียกรวมๆ ในภาษาจีนแมนดารินว่า ???? (S?zh?u yu?nl?n) โดยมีสวนจัวเจิ้ง (อังกฤษ: Humble Administrator's Garden; จีนตัวย่อ: ???; พินอิน: Zhu?zh?ng Yu?n) และสวนหลิว (อังกฤษ: Lingering Garden; จีนตัวย่อ: ??; พินอิน: Li?yu?n) จัดเป็น 2 ใน 4 แห่งของสวนโบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศจีน และยังมีศาลาชางลั่งถิงหรือพลับพลาเกลียวคลื่น (อังกฤษ: Great Wave Pavilion; จีนตัวย่อ: ???; พินอิน: C?ngl?ng T?ng) สวนป่าสิงโต (อังกฤษ: Lion Grove Garden; จีนตัวย่อ: ???; พินอิน: Sh?zi L?n) สวนจัวเจิ้ง และสวนหลิว ซึ่งก่อสร้างในรูปแบบสมัยราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง ที่นับได้ว่าเป็นสวนที่มีชื่อเสียงที่สุด 4 แห่งในเมืองซูโจวนี้
สวนจัวเจิ้ง สสวนหลิววนหลิว สวนหว่างซือ (อังกฤษ: Master of Nets Garden; จีนตัวย่อ: ???; พินอิน: W?ngsh? Yu?n) และเรือนหวนซิ่วซานซวง (อังกฤษ: The Mountain Villa with Embracing Beauty; จีนตัวย่อ: ????; พินอิน: Hu?nxi? Sh?nzhu?ng) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1997 ต่อมาสวนป่าสิงโต ศาลาชางลั่งถิง สวนโอ่ว (อังกฤษ: Couple's Retreat Garden; จีนตัวย่อ: ??; พินอิน: ?u Yu?n) สวนยี่ปู่ (อังกฤษ: Garden of Cultivation; จีนตัวย่อ: ??; พินอิน: Y? P?) และสวนทุ่ยซือ (อังกฤษ: The Retreat & Reflection Garden; จีนตัวย่อ: ???; พินอิน: Tu?s? Yu?n) ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 2000 ด้วย
เขาหูชิว (อังกฤษ: Tiger Hill; จีนตัวย่อ: ??; พินอิน: H?qi?) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในด้านความสวยงามทางธรรมชาติและเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง นับว่าเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงของเมืองซูโจว ชื่อเขาหูชิวหรือเขาเนินเสือนั้นมาจากลักษณะของเนินเขาที่คล้ายกับเสือในท่าหมอบเตรียมวิ่งหรือกระโจนไปข้างหน้า หรืออีกตำนานกล่าวว่ามีเสือขาวปรากฏตัวขึ้นบนเนินเขาแห่งนี้ไม่กี่วันหลังวันฝังพระศพของกษัตริย์เหอหลู๋แห่งแคว้นอู๋ (King H?l? of Wu; ??) สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมานานกว่าพันปี โดยมีหลักฐานเป็นบทกวีสลักที่หินบนเนินเขานี้ และยังมีบทกลอนของกวีที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่ง ชื่อ ซูซื่อ (อังกฤษ: S? Sh?; จีนตัวย่อ: ??) กล่างถึงเขาหูชิวไว้ว่า "It is a lifelong pity if having visited Suzhou you did not visit Tiger Hill." ซึ่งมีความหมายว่า "ช่างน่าเสียดายจริง หากครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาเยื่อนซูโจว แต่ไม่ได้ชมความงานของเขาหูชิว"
วัดหานซาน (อังกฤษ: Hanshan Temple หรือ Cold Mountain Temple; จีนตัวย่อ: ???) เป็นวัดและพระอารามในพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงในเมืองซูโจว อยู่ใกล้กับสะพานเฟิ่งเฉียวหรือสะพานเมเปิล (อังกฤษ: Fengqiao หรือ Maple Bridge; จีนตัวย่อ: ??) ราว5 กิโลเมตร (3 ไมล์) ทางตะวันตกของเมืองเก่าซูโจว วัดหานซานมีชื่อเสียงมากในแถบเอเชียตะวันออกเนื่องจากมีบทกวีอันโด่งดังชื่อ "จอดเรือที่สะพานเมเปิล" (อังกฤษ: A Night Mooring near Maple Bridge; อักษรจีนตัวย่อ: ????) เขียนโดยกวีผู้โด่งดังในสมัยราชวงศ์ถัง (ประมาณ 618-907 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ชื่อ จางจี้ (อังกฤษ: Zhang Ji; จีนตัวย่อ: ??) กล่าวถึงวัดหานซานแห่งนี้ไว้ในบทกวีของเขาว่า
วัดซีหยวนหรือวัดสวนตะวันตก (อังกฤษ: Xiyuan Temple หรือ Monastery Garden; จีนตัวย่อ: ???) สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน เป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซูโจว มี 2 ส่วนหลักคือ วัดเจี้ยฉวงลวู่ (อังกฤษ: The Temple of Jiezhuanglu; จีนตัวย่อ: ????) และสวนตะวันตก (The West Garden) ตั้งอยู่ใกล้กับสวนสวนหลิวหลิว (Lingering Garden) ที่เดิมเคยเป็นบริเวณเดียวกันและถูกเรียกว่าเป็นสวนตะวันออก (the East Garden)
สฉวนเมี่ยวกวน (อังกฤษ: Xuanmiao Temple; จีนตัวย่อ: ???) สร้างขึ้นในราว 276 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นวัดในนิกายเต๋าที่โดดเด่นและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซูโจว ด้านหน้าวัดมีถนนชื่อ กวนเฉียนจี (อังกฤษ: Guanqian Street; จีนตัวย่อ: ???) ซึ่งเป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงของเมืองด้วย
เมืองซูโจวมีความโดดเด่นในด้านคลองซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ในตัวเมืองยังคงมีถนนโบราณที่ใช้เป็นถนนท่องเที่ยวสำหรับชมคลองโบราณ สะพานหินเก่าแก่ และสถาปัตยกรรมของเมือง เช่น ถนนผิงเจียง (อังกฤษ: Pingjiang Street; จีนตัวย่อ: ???) อายุกว่า 800 ปี หรือถนนซานถัง (อังกฤษ: Shantang Street; จีนตัวย่อ: ???) อายุกว่า 1,200 ปี จนถนนทั้งสองสายได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "ถนนสายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม" ที่มีชื่อเสียงของประเทศจีนด้วย
ถนนซานถัง มีความยาว 7 "ลี้ (li)" (ประมาณ 2 ไมล์ แม่แบบ:Convert/LoffAoutDoutput onlySoff) ถนนสายนี้เดิมในอดีตเคยถูกเรียกว่า ไป๋กงตี้ เมื่อไป๋จวีอี้ (อังกฤษ: Bai Juyi; จีนตัวย่อ: ???, 772–846) กวีที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถังได้รีบการแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองซูโจวในขณะนั้น เป็นผู้ควบคุมการขุดคลองและก่อสร้างถนนในบริเวณนี้ของเมืองขึ้นเพื่อเชื่อมต่อกับเขาหูชิว (Tiger Hill) และเรียกคลองและถนนที่สร้างขึ้นใหม่นี้โดยใช้ชื่อซานถัง คลองนี้เชื่อมโยงไปยังคลองขนาดใหญ่ที่ต่อไปยังเมืองปักกิ่งและเมืองหางโจว ส่วนถนนซานถังก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นสถานที่ท่องที่ยวพักผ่อนที่มีชื่อเสียงในด้านประเพณีของชนกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย ทั้งยังมีวัดโบราณด้วย จนกระทั่งพระนางซูสีไทเฮา (อังกฤษ: The Empress Dowager Cixi; จีนตัวย่อ: ????, 1835–1908) แห่งราชวงศ์ชิงมีพระราชเสาวณีย์ให้สร้างถนนซูโจว (Suzhou Street) ขึ้นในพระราชวังอี๋เหอหยวน (Summer Palace) ในเมืองปักกิ่งโดยให้สร้างเลียนแบบจากถนนซานถังทั้งหมดเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนพระองค์ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2002 เมืองซูโจวได้เริ่มโครงการบูรณะถนนซานถังให้เป็นเขตอนุรักษ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยโครงการในช่วงแรกได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
ถนนผิงเจียง (อังกฤษ: Pingjiang Street; จีนตัวย่อ: ???) เป็นถนนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเก่าซูโจว บนพื้นที่ 116.5 เฮกเตอร์ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี เป็นสถานที่ที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างสมบูรณ์ที่สุดในซูโจว ในอดีตอาณาบริเวณนี้มีที่พักของขุนนาง ข้าราชการ และปราชญ์จำนวนมากอาศัยอยู่ ทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นบ้านโบราณให้ได้ศึกษาถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวซูโจวในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี The (Pingjiang Quarter) โดยบริเวณที่พักอาศัยโบราณของผิงเจียงนี้มีลักษณะการออกแบบสมัยราชวงศ์ซ่ง จึงเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองเก่าซูโจว
เขตท่องเที่ยวและพักผ่อนไท่หูแห่งเมืองซูโจว (อังกฤษ: Suzhou Taihu National Tourism and Vacation Zone ;จีนตัวย่อ: ???????????) อยู่ทางตะวันตกของซูโจว ประมาณ 15 กิโลเมตร (9 ไมล์) จากตัวเมือง โดยทะเลสาบไท่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีธรรมชาติสวยงามมาตั้งแต่ในอดีต
ประตูผาน (อังกฤษ: Pan Gate หรือ Pan Men ; จีนตัวย่อ: ??) อยู่ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของคลองรอบเมืองซูโจว สร้างขึ้นในยุคจั้นกั๋ว อายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี เป็นหนึ่งในสามสถานที่สำคัญของจุดท่องเที่ยวบริเวณประตูผาน (three landmarks of Pan Gate Scenic Area) โดยสถานที่สำคัญอีกสองแห่งคือ เจดีย์รุ่ยกวง (อังกฤษ: Ruiguang Pagoda ;จีนตัวย่อ: ???) เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นแห่งแรกๆ ของเมืองซูโจว โดยสร้างขึ้นในราว 247 ปีก่อนคริสตกาล และอีกแห่งคือ สะพานประตูอู๋ (the Wu Gate Bridge) เป็นสะพานที่สูงที่สุดในเมืองซูโจวในสมัยโบราณ
สะพานเป๋าไต๊ (อังกฤษ: Baodai Bridge หรือ Precious Belt Bridge; จีนตัวย่อ: ???) เป็นสะพานข้ามทะเลสาบต้านไถ (Dantai Lake) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองซูโจว สร้างขึ้นในปี 806 ก่อนคริสตกาลในสมัยราชวงศ์ถัง มีพื้นที่ทั้งหมด 53 เอเคอร์ ยาว 317 เมตร สร้างด้วยหินจากภูเขาจินซาน (อังกฤษ: Jin Shan หรือ Gold Moutain; จีนตัวย่อ: ??) สะพานนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าสะพานเข็มขัดสูงค่า หรือ Precious Belt Bridge เนื่องจากในอดีตระหว่างที่มีการระดุมทุนเพื่อสร้างสะพานแห่งนี้ ขุนนางผู้ปกครองเมืองได้บริจาคเข็มขัดมูลค่าสูงเพื่อเป็นทุนสร้างสะพาน โดยสะพานแห่งนี้ได้รับการบันทึกให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (national monuments, resolution 5-285) ในปี ค.ศ. 2001
เจดีย์หูชิว (อังกฤษ: Huqiu Tower; จีนตัวย่อ: ???) หรือหยุนเหยียน (อังกฤษ: Yunyuan Pagoda; จีนตัวย่อ: ????) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 961 สมัยราชวงศซ่ง ลักษณะเป็นเจดีย์จีนตั้งอยู่บนเขาหูชิวหรือเนินเสือในเมืองซูโจว เจดีย์แห่งนี้มีชื่อเรียกหลากหลาย รวมถึงชื่อ "หอเอนแห่งประเทศจีน (Leaning Tower of China)" (อ้างอิงโดยนักประวัติศาสตร์ O.G. Ingles) เนื่องจากตัวเจดีย์เอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยศูนย์กลางด้านบนเอียงจากศูนย์กลางของฐานเจดีย์ 2.32 เมตร หรือประมาณ 3 องศา ตัวหอมีความสูง 47 เมตร (154 ฟุต) มีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยมและมีจำนวนชั้น 7 ชั้น สร้างโดยใช้อิฐสีน้ำเงิน มีน้ำหนักรวมทั้งสิ้นประมาณ 7,000,000 กก. (15,000,000 ปอนด์)
เจดีย์เป่ยซีอหรือเจดีย์วัดเหนือ (อังกฤษ: Beisi Pagoda หรือ North Temple Pagoda; จีนตัวย่อ: ???) ตั้งอยู่ในบริเวณวัดเป่าเอิน (Bao’en Temple) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างราวศตวรรษที่ 17 เดิมเจดีย์มีความสูงถึง 11 ชั้น แต่ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหาย จึงเหลือเพียง 9 ชั้นภายหลังจากการบูรณะใหม่ รูปแบบของเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์หมิงโดยโครงสร้างทำจากไม้และอิฐ เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม มีเก้าชั้น สูง 76 เมตร (243 ฟุต) โดยเป็นเจดีย์สูงที่สุดในซูโจวและทางตอนใต้ของแม่นำแยงซี
เจดีย์แฝด (อังกฤษ: Twin Pagodas;จีนตัวย่อ: ????) เป็นเจดีย์สององค์ต้งอยู่บนถนนติ้งฮุ่ยซี่อ (อังกฤษ: Dinghui Temple Lane; จีนตัวย่อ: ????) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองซูโจว สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 982 ในสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยพี่น้องหวัง (Wang brothers) เจดีย์องค์หนึ่งเรียกว่า "Clarity-Dispensing Pagoda" และอีกองค์เรียกว่า "Beneficence Pagoda" มีความสูง 33.3 และ 33.7 เมตร เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม 7 ชั้น โดยเจดีย์ทั้งสององค์มีรูปร่างลักษณะที่เหมือนกัน ลักษณะโดดเด่นของเจดีย์ทั้งสองคือมียอดเป็นแท่งโลหะตันแหลมสูงเกือบ 1 ใน 4 ของความสูงขององค์เจดีย์อยู่ที่ส่วนบนสุดขององค์เจดีย์
พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง เช่น พิพิธภัณฑ์ซูโจว (สร้างขึ้นใหม่โดยเป้ยยู้หมิง (I. M. Pei)) พิพิธภัณฑ์ผ้าไหมซูโจว และพิพิธภัณฑ์อุปรากรซูโจว (Suzhou Museum of Opera and Theatre)
สวนอุตสาหกรรมซูโจว (Suzhou Industrial Park; SIP) เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลสิงคโปร์ ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสายจินจี (Jinji Lake) (อักษรจีนตัวย่อ: '???') ทางด้านตะวันออกของเมืองเก่าซูโจว และเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994 นายหลี่ หลานชิง (อังกฤษ: Li Lanqing; อักษรจีนตัวย่อ: ???) รองนายกรัฐมนตรีจีนในขณะนั้น และนายลี กวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศสิงคโปร์ (ตำแหน่งในขณะนั้นคือ Senior Minister) เป็นตัวแทนทั้งสองประเทศลงนามในข้อตกลงร่วมพัฒนาสวนอุตสาหกรรมซูโจว (เดิมเรียกว่า สวนอุตสาหกรรมสิงคโปร์) ร่วมกัน ซึ่งโครงการนี้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมในปีเดียวกัน พื้นที่ทั้งหมดของสวนอุตสาหกรรมซูโจวครอบคลุมพื้นที่ถึง 288 ตารางกิโลเมตร โดยมีพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างจีนและสิงคโปร์ประมาณ 80 ตารางกิโลเมตร โดยคาดว่าจะมีประชากรอยู่อาศัยประมาณ 1.2 ล้านคน
โซนส่งออกในสวนอุตสาหกรรมซูโจว (The Suzhou Industrial Park Export Processing Zone) ได้รับการอนุมัติให้จัดสร้างขึ้นโดยรัฐบาลจีนเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2000 มีพื้นที่รวม 2.9 ตารางกิโลเมตร และอยู่ในบริเวณพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างประเทศจีนและสิงคโปร์ด้วย ภายในโซนส่งออกในสวนอุตสาหกรรมซูโจว ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีมาตรฐานสูง ทั้งด้านระบบการจัดการข้อมูลและระบบนอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลศุลกากรต่างๆ สามารถเข้าถึงได้ด้วยระบบออนไลน์
เขตเมืองใหม่ซูโจว (Suzhou New District or SND) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1990 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1992 เขตเมืองใหม่นี้ได้รับการอนุมัติให้เป็นพื้นที่หรือเขตอุตสาหกรรมไฮเทคระดับประเทศ (The national-level hi-tech industrial zone) เมื่อปลายปี ค.ศ. 2007 เขตนี้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงถึง 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วมูลค่ากว่า 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมมีบริษัทต่างชาติในเขตเมืองใหม่ซูโจวนี้ถึงกว่า 1,500 บริษัท
ซูโจวอยู่บนเส้นทางรถไฟสายเซี่ยงไฮ้-นานกิง สถานีรถไฟซูโจว (Suzhou Railway Station) ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางเมืองเป็นสถานีที่คับคั่งและมีผู้โดยสารใช้บริการมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน ให้บริการโดยรถไฟสายปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ (Beijing–Shanghai Railway) และรถไฟระหว่างเมืองสายเซี่ยงไฮ้-นานกิง (Shanghai-Nanjing Intercity Railway) ซึ่งมีทั้งรถไฟความเร็วสูงแบบดี และแบบจี (high-speed D- and G-series trains) การเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงแบบจีจากเมืองซูโจวถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ใช้เวลาเพียง 25 นาที และถึงเมืองนานกิงจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
สถานีรถไฟซูโจวเหนือ (Suzhou North Railway Station) อยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปไม่กี่กิโลเมตร เป็นสถานีที่อยู่บนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายปักกิ่ง–เซี่ยงไฮ้ (Beijing–Shanghai High-Speed Railway) เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 2011 ให้บริการรถไฟความเร็วสูงไปปักกิ่งและชิงเต่า เป็นต้น
ทางด่วนสายนานกิง-เซี่ยงไฮ้ เชื่อมระหว่างเมืองซูโจวและเมืองเซี่ยงไฮ้ และยังมีทางด่วนสายเลียบแม่น้ำแยงซีและทางด่วนสายซูโจว-เจียซิง-หางโจวด้วย ในปี ค.ศ. 2005 มีการก่อสร้างถนนวงแหวนซูโจวเสร็จ ซึ่งเชื่อมเมืองไท่ชาง คุนซานและชางชู ถึงกัน และยังมีทางหลวงหลักสาย 312 (China National Highway 312) ที่ตัดผ่านเมืองซูโจวเช่นกัน
สำหรับการคมนาคมทางอากาศ ซูโจวมีท่าอากาศยานนานาชาติซูนาน ชู่ฟ่าง ซึ่งมีการบริหารจัดการร่วมกันโดยเมืองอู๋ซี และเมืองซูโจว นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้หงเฉียวและท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง
ท่าเรือซูโจวซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำแยงซี ในปี ค.ศ. 2012 มีปริมาณสินค้ามากถึง 428 ล้านตันและตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมากกว่า 5.86 ล้านตู้ ผ่านท่าเรือแห่งนี้ ทำให้ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือฝั่งแม่น้ำที่พลุกพล่านที่สุดในโลก
ปัจจุบันระบบรถไฟฟ้าซูโจว (Suzhou Rail Transit) มีให้บริการอยู่ 2 สาย และยังมีอีก 5 สายที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยระบบรถไฟฟ้าทั้งหมดมีรวม 9 สาย เส้นทางรถไฟฟ้าสายแรกเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2012 สาย 2 เปิดให้บริการวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ส่วนอีก 5 เส้นทางจะเปิดให้บริการภายในปี ค.ศ. 2020
เมืองซูโจวมีระบบการคมนาคมโดยรถประจำทางที่ดีที่สุดเมืองหนึ่งซึ่งมีเส้นทางเดินรถทั่วทุกส่วนของพื้นที่เมือง ค่าโดยสารเป็นระบบอัตราเดียว ในราคา 1 หยวน สำหรับรถประจำทางธรรมดา และราคา 2 หยวน สำหรับรถประจำทางปรับอากาศ
รถแท็กซี่มีให้บริการอยู่ทั่วไปและค่อนข้างสะดวกสำหรับการเดินทางในตัวเมือง หมายเลขศูนย์รถแท็กซี่อย่างเป็นทางการ คือ หมายเลข 67776777 (ดำเนินการภายใต้การควบคุมของรัฐบาล) นอกจากนี้ยังสามารถใช้แอปพลิเคชันบนมือถือแบบสมาร์ตโฟนในการจองและเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ได้อีกด้วย
อัตราค่าโดยสารแท็กซี่เริ่มต้นที่ 12 หยวน (ราคาเริ่มต้น 10 หยวน และค่าเชื้อเพลิง 2 หยวน) สำหรับระยะทาง 3 กิโลเมตร (2 ไมล์), สำหรับอัตราค่าโดยสารระยะทางตั้งแต่ 3 กิโลเมตรเป็นต้นไป คิดอัตรา 1.8 หยวนต่อกิโลเมตร สำหรับรถแท็กซี่ซานตานา (Santana) และราคา 2.0 หยวนต่อกิโลเมตร สำหรับรถแท็กซี่พาสซาส (Passat) ฮุนได (Hyundai) และจงหัว (Zhonghua)
นอกจากนี้ยังมีบริการจองรถล่วงหน้าซึ่งคิดค่าบริการเริ่มต้นที่ 15 หยวน สำหรับ 3 กิโลเมตร (2 ไมล์) แรก อัตราค่าโดยสารระยะทางตั้งแต่ 3 กิโลเมตรเป็นต้นไป ราคา 3.0 หยวน สำหรับระยะทางทุกๆ 1 กิโลเมตร (0.62 ไมล์) รถแท็กซี่สำหรับบริการจองรถล่วงหน้ามักใช้รถโตโยต้า แคมรี่ (Toyota Camry) และนิสสัน เทียน่า (Nissan Teana) ซึ่งจะไม่ให้บริการเรียกทั่วไปบนท้องถนน แต่จะให้บริการผ่านศูนย์บริการแท็กซี่หมายเลข 67776777 ผ่านสมาร์ตโฟนแอปพลิเคชัน และผ่านท่าจอดรถ (berths) เท่านั้น
รถสามล้อถีบ (pedicab) เป็นพาหนะซึ่งเหมาะสำหรับการเที่ยวชมเมืองอย่างมาก ราคาค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 2 หยวน เพิ่มขึ้นขั้นละ 3 ถึง 5 หยวน และควรตกลงค่าบริการให้เรียบร้อยก่อนการใช้บริการ
รถจักรยานเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้เป็นพาหนะสำหรับการเที่ยวชมเมืองซูโจว ราคาค่าเช่าจักรยานโดยประมาณ 2 หยวน (CNY) ต่อ 4 ชั่วโมง และประมาณ 5 หยวน (CNY) สำหรับการเช่าขี่ทั้งวัน การเช่าจักรยานจะต้องวางเงินมัดจำและแสดงบัตรประจำตัว เช่น บัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทางด้วย