ชาวฮั่น (จีน: ??) เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศจีน ผลสำรวจจำนวนประชากรในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 พบว่า มีชาวฮั่นราว 1,200 ล้านคนอาศัยในประเทศจีน และนับเป็นกลุ่มชนชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
มีหลักฐานว่าชาวฮั่นถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัยหวงตี้ (??) อาศัยอยู่ในแถบดินแดนจงหยวน และกระจายอยู่ทั่วประเทศจีนมายาวนานกว่า 5,000 ปี นับตั้งแต่สมัยเซี่ย ซาง โจว ชุนชิว-จั้นกั๋ว จนมาเริ่มเป็นปึกแผ่นในสมัยฉินและฮั่น สมัยฮั่นนี่เองที่เริ่มมีคำเรียก 'ฮั่น' ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อตามแบบลัทธิเต๋า
ชาวฮั่นมีกิจกรรมด้านการเกษตรและหัตถกรรมที่เจริญก้าวหน้า อีกทั้งมีการประดิษฐ์เครื่องสำริด การทักทอ เครื่องเคลือบดินเผา สถาปัตยกรรม และศิลปะการวาดภาพที่เป็นหน้าตาของชนชาติมาตั้งแต่ยุคโบราณ นอกจากนี้ ยังรวมถึงผลงานวรรณกรรมรูปแบบต่างๆ ที่เป็นที่ยอมรับไปทั่วด้วย และที่ลืมไม่ได้ก็คือ การเป็นชนกลุ่มแรกของโลกที่ค้นพบและสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ 4 อย่าง คือ กระดาษ เทคนิคการพิมพ์ เข็มทิศ และดินปืน
บุคคลสำคัญเชื้อสายฮั่นในแผ่นดินจีนไม่ว่าจะเป็นนักทฤษฎี นักปฏิวัติ นักการเมือง กวี ศิลปินต่าง ๆ ที่ถูกจารึกนามในหน้าประวัติศาสตร์จีนและของโลกที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ ดร.ซุนยัตเซ็น เหมาเจ๋อตง โจวเอินไหล หลิวเส้าฉี จูเต๋อ เติ้งเสี่ยวผิง หลู่ซวิ่น ฯลฯ ล้วนเป็นชาวฮั่นที่สร้างคุณูปการต่อลูกหลานชนชาวฮั่นในวันนี้
และยังรวมถึง ขงจื๊อ ปรัชญาเมธีผู้เรืองนามของจีน เป็นเวลาเนิ่นนานหลายร้อยปี ที่แนวคิดของขงจื๊อซึ่งเป็นรากฐานคุณธรรมคำสอนของชาวฮั่น ได้แผ่อิทธิพลไปทั่วทวีปเอเชียตะวันออก (East-Asia)
ชาวฮั่นมีวันสำคัญทางประเพณีได้แก่ เทศกาลตรุษจีน ?? เทศกาลหยวนเซียว ??? เทศกาลไหว้บะจ่าง ??? เทศกาลไหว้พระจันทร์ ??? (จงชิวเจี๋ย) เป็นต้น
ชาวฮั่นมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองเรียกว่า ภาษาฮั่น ?? (ฮั่นอวี่) มีตัวอักษรเรียกว่า อักษรฮั่น ?? (ฮั่นจื่อ) ซึ่งยังแบ่งเป็นภาษาถิ่นอีกหลายภาษา อาทิ ภาษาถิ่นทางภาคเหนือ (???) ภาษากวางตุ้ง (??) ภาษาแคะ (???) ภาษาถิ่นแถบเซี่ยเหมิน (???) ภาษาถิ่นฮกเกี๊ยน (???) ภาษาถิ่นแถบเซี่ยงไฮ้-เจียงซู-เจ้อเจียง (??) ภาษาถิ่นแถบหูหนัน (??) และภาษาถิ่นแถบเจียงซี (??)
ในสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย เป็นยุคสมัยที่สัญญาขายชาติหลายฉบับได้รับการลงนามโดยข้าราชการผู้โกงกินที่สงครามฝิ่นปะทุขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1840 และเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ลัทธิจักรวรรดินิยมยาตราเข้าสู่ดินแดนจงหยวน เมื่อกองทัพทหาร 8 ชาติบุกเข้าประเทศจีนในปี ค.ศ. 1900 และเป็นยุคเข็ญของชาวจีนที่ถูกตราหน้าจากชาวโลกว่าเป็น 'ขี้โรคแห่งเอเชีย' บ้าง 'ทหารผมเปีย' บ้าง หรือแม้แต่ล้อเลียนการแต่งกายชุดยาวกลอมข้อเท้ากับชุดขี่ม้าแบบชาวแมนจู
การรุกรานจากมหาอำนาจตะวันตก ความฟอนเฟะของราชสำนักชิง กอปรกับความอ่อนแอของชาวจีนได้สร้างความคับแค้นใจให้แก่ ดร. ซุน อย่างใหญ่หลวง ท่านได้รวบรวมกลุ่มคนผู้รักชาติขึ้นเพื่อขับไล่ต่างชาติ และปรารถนาที่จักเสริมสร้างความเป็นชาติขึ้นมาใหม่ (อ่านบทความประกอบ 'บุรุษผู้มีคำว่า "ปฏิวัติ" อยู่ในสายเลือด' )
ภายหลังการเสียสละเลือดเนื้อของเหล่าวีรชนทั้งหลาย ชาวจีนก็ประสบชัยชนะสามารถล้มล้างราชสำนักชิงในการปฏิวัติซินไห่ (????) เมื่อปี ค.ศ. 1911 และก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐ โดยมีท่าน ดร. ซุนยัตเซ็น ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก นับจากนั้น ดร. ซุนได้ริเริ่มระบบการปกครอง ปฏิรูปเศรษฐกิจและกฎหมายต่าง ๆ และให้ตัดหางเปียที่ชาวจีนเคยไว้ออกเสีย ทั้งยังออกแบบชุดประจำชนชาติเสียใหม่ โดยมอบหมายให้ร้านเสื้อที่เซี่ยงไฮ้ (???????) เป็นผู้ตัดเย็บ และให้ชื่อชุดตามชื่อของท่านว่า 'จงซัน' ซึ่งได้กลายเป็นชุดที่ยอมรับในสมัยนั้นว่าเป็นชุดของชนชาวฮั่น
ชุดจงซันนี้ออกแบบโดยรับอิทธิพลมาจากชุดของตะวันตก เสื้อเป็นเสื้อคอปกตั้ง กระดุม 5-7 เม็ด มีกระเป๋า 4 ใบ ทั้งบนล่างซ้ายขวา กระเป๋าล่างขยายได้สามารถใส่หนังสือหรือสิ่งของได้ตามชอบใจ ส่วนกางเกงผ่าด้านหน้ามีกระดุมลับ ด้านข้างซ้ายขวามีกระเป๋าลับ และจับจีบที่เอว
ดร. ซุนเป็นผู้นำการสวมใส่ชุดจงซันนี้ด้วยตัวท่านเองไม่ว่าในโอกาสไหน ๆ และได้รับความนิยมจากชาวฮั่นอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีความเป็นสากล สง่างาม เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย และสวมใส่สะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วัสดุในการตัดเย็บได้หลายแบบเพื่อโอกาสใช้สอยต่าง ๆ กัน
ปัจจุบัน ชุดจงซันยังเป็นชุดทางการที่นิยมในหมู่สุภาพบุรุษนักการเมือง และประชาชนจีนทุกสาขาอาชีพ (สำหรับสตรีนิยมสวมชุดกี่เพ้า (??) ของชาวแมนจู)
ชาวฮั่นเกือบทั้งหมด มากกว่า 1,200 ล้านคน อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณภายใต้เขตอำนาจรัฐของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งชาวฮั่นคิดเป็น 92% ของจำนวนประชากร ภายในสาธารณรัฐประชาชนจีนชาวฮั่นเป็นประชากรส่วนใหญ่ในทุกๆมณฑล, เทศบาลนครและเขตปกครองตนเอง ยกเว้นในเขตปกครองตนเองซินเจียง (41% ในปี 2000) และทิเบต (6% ในปี 2000) ชาวฮั่นยังเป็นประชากรส่วนใหญ่ในเขตบริหารพิเศษทั้งสองอีกด้วย ประมาณ 95% ของประชากรฮ่องกง และประมาณ 96% ของประชากรมาเก๊า ในประเทศจีน ชาวฮั่น จะเรียกตนเองว่า ชาวฮั่น ส่วนคำว่า จีน หรือ จ๊งกว๋อ นั่นเป็นชื่อของดินแดน หรือ ประเทศ ดังจะสังเกตได้จากบทเพลงและตำราต่างๆ จะเรียกตัวเองว่า ชาวฮั่น ทั้งสิ้น
ชาวฮั่นมากกว่า 22 ล้านคนอยู่ในไต้หวัน ชาวฮั่นเริ่มอพยพจากมณฑลชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ไปไต้หวันในศตวรรษที่ 17 ในตอนแรกพวกผู้อพยพเหล่านี้เลือกที่จะตั้งถิ่นฐานในทำเลที่คล้ายคลึงกับพื้นที่ที่จากมาในจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ว่าพวกเขาจะมาถึงทางเหนือหรือทางใต้ของไต้หวัน ผู้อพยพชาวฮกโล่ในฉวนโจวตั้งถิ่นฐานบริเวณชายฝั่ง และพวกที่มาจากจางโจวมีแนวโน้วที่จะรวมกลุ่มกันบนที่ราบเข้าไปในแผ่นดิน ในขณะที่ผู้อพยพชาวฮากกาอาศัยบริเวณเนินเขา การกระทบทั่งกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้เหนือดินแดน,น้ำและความแตกต่างทางวัฒนธรรมนำไปสู่การย้ายที่ใหม่ในบางชุมชน ในขณะที่เวลาผ่านไปการแต่งงานและการผสมกลมกลืนก็เกิดขึ้นในหลายระดับ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้นำโดยเฉินชุนเชงแห่งแผนกจิตวิทยาของโรงพยาบาลเกาสงอ้างการศึกษา DNA ของชาวไต้หวันเปิดเผยประชากรหลายเปอร์เซนต์มีสายเลือดผสมระหว่างชาวฮั่นและชาวพื้นเมือง
จากจำนวนชาวฮั่นนอกประเทศจีนประมาณ 40 ล้านคนทั่วโลก เกือบ 30 ล้านคนอาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิงคโปร์มีจำนวนประชากรชาวฮั่นเป็นประชากรส่วนใหญ่ที่มากสุดที่ 74% เกาะคริสต์มาสก็มีประชากรชาวฮั่นเป็นส่วนใหญ่ที่ 70% ประชากรชาวฮั่นจำนวนมากยังอาศัยอยู่ใน มาเลเซีย (25%),ใน ประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชาวแต้จิ๋วซึ่งไม่ได้พูดภาษาฮั่น, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนที่อื่นในโลกคนเชื้อสายฮั่น 3 ล้านคนอาศัยในสหรัฐอเมริกาซึ่งคิดเป็น 1% ของจำนวนประชากร, มากกว่า 1 ล้านคนในแคนาดา (3.7%), มากกว่า 1.3 ล้านคนในเปรู (4.3%), มากกว่า 6 แสนคนในออสเตรเลีย (3.5%), เกือบ 150,000 คนในนิวซีแลนด์ (3.7%) และ 750,000 คนในแอฟริกา
ประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ฮั่นสัมพันธ์อยู่กับประวัติศาสตร์ของจีนอย่างใกล้ชิด ชาวฮั่นตามรอยบรรพบุรุษของพวกเขากลับไปถึงชาวหัวเซี่ยซึ่งอาศัยอยู่ตลอดลำแม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองในจีนตอนเหนือ หนังสือ"บันทึกประวัติศาสตร์"ของนักประวัติศาสตร์จีนที่มีชื่อเสียง ซือหม่าเชียน จัดให้รัชสมัยของจักรพรรดิเหลืองซึ่งเป็นบรรพบุรุษในตำนานของชาวฮั่นไว้ในตอนเริ่มต้นของประวัติศาสตร์จีน แม้ว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ในยุคนี้ยากที่จะเข้าใจเนื่องจากขาดแคลนบันทึกทางประวัติศาสตร์ การค้นพบแหล่งโบราณคดีได้ชี้ชัดการสืบต่อจากวัฒนธรรมนีโอลิทิค (ยุคหินใหม่) ตลอดลำแม่น้ำเหลือง โดยตลอดช่วงกลางของแม่น้ำเหลืองเป็นที่ตั้งของวัฒนธรรม Jiahu (7000 ถึง 6600 ปีก่อนคริสตกาล), วัฒนธรรม Yangshao (5000 ถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล), วัฒนธรรม Longshan (3000 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล) และตลอดแม่น้ำเหลืองตอนล่างเป็นที่ตั้งของวัฒนธรรม Qingliangang (5400 ถึง 4000 ปีก่อนคริสตกาล), วัฒนธรรม Dawenkou culture (4300 ถึง 2500 ปีก่อนคริสตกาล), วัฒนธรรม Longshan (2500 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล) และวัฒนธรรม Yueshi
ราชวงศ์แรกที่ได้รับการพรรณาในบันทึกประวัติศาสตร์ของจีนคือราชวงศ์เซี่ย เป็นช่วงเวลาในตำนานเนื่องจากมีหลักฐานทางโบราณคดีไม่เพียงพอ พวกเขาถูกล้มล้างโดยคนจากทิศตะวันออกที่ก่อตั้งราชวงศ์ซาง (1600-1040 ปีก่อนคริสตกาล) ตัวอย่างทางโบราณคดีแรกสุดของอักษรจีนย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานี้จากอักขระที่สลักบนกระดูกทำนายดวงชะตา เหล่าอักขระทำนายที่พัฒนาอย่างดีแล้วบอกใบ้ถึงจุดกำเนิดแรกเริ่มของตัวอักษรในจีน ในท้ายที่สุดพวกซางถูกล้มล้างโดยพวกโจว ซึ่งได้ปรากฏขึ้นเป็นรัฐแล้วแถวแม่น้ำเหลืองเมื่อสองพันปีก่อนคริสตกาล
พวกโจวเป็นผู้สืบทอดต่อมาจากพวกซางโดยใช้ภาษาและวัฒนธรรมร่วมกับชาวซาง พวกเขาได้ขยายอาณาเขตรวบรวมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของแม่น้ำแยงซี จากการเข้ายึดครองและครอบครอง พื้นที่ส่วนใหญ่แห่งนี้จึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของการทำให้เป็นจีน และวัฒนธรรมจีนฮั่นต้นแบบก็แผ่ขยายไปทางใต้ อย่างไรก็ตามอำนาจของกษัตริย์โจวแตกเป็นเสี่ยงๆและได้เกิดรัฐอิสระขึ้นมากมาย ในยุคนี้ได้ถูกแบ่งเป็นสองช่วงได้แก่ ยุคฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง (Spring and Autumn) และยุคสงครามรณรัฐ (Warring States) ช่วงเวลานี้เป็นยุคของการพัฒนาวัฒนธรรมและความคิดปรัชญาหลักๆรู้จักกันในชื่อว่า the Hundred Schools of Thought ในจำนวนหลักปรัชญาที่สำคัญที่สุดที่เหลือรอดจากยุคนี้คือหลักคำสอนของลักธิเต๋าและขงจื๊อ
ยุคของสงครามรณรัฐสิ้นสุดลงด้วยการรวมประเทศจีนโดยราชวงศ์ฉินหลังจากเอาชนะรัฐอริอื่นๆทั้งหมด ผู้นำฉินสื่อหวงประกาศตนเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกตำแหน่งที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่แต่ได้เป็นแบบอย่างไปอีกสองพันปีข้างหน้า พระองค์สถาปนารัฐรวมศูนย์อำนาจขึ้นใหม่แทนระบบศักดินาเก่า สร้างระเบียบแบบแผนมากมายของจักรวรรดิจีน และรวมประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมโดยประกาศมาตรฐานหน่วยชั่งตวงวัด,ตัวอักษรและเงินตราเป็นหนึ่งเดียว
อย่างไรก็ตามรัชสมัยของราชวงศ์แรกอันเกรียงไกรก็อยู่ไม่นาน เนื่องจากกฎอาญาสิทธิ์ของจักรพรรดิองค์แรกและโครงการก่อสร้างขนาดมหึมาของพระองค์ เช่น กำแพงเมืองจีน ปลุกปั่นให้เกิดการก่อกบฏไปสู่ราษฏร ราชวงศ์ล่มสลายในไม่ช้าหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคต ราชวงศ์ฮั่น (260-220 ปีก่อนคริสตกาล) ปรากฏขึ้นจากความพยายามสืบทอดอำนาจและประสบความสำเร็จในการสถาปนาราชวงศ์ที่ยืนยาวกว่าขึ้น และได้สานต่อระเบียบแบบแผนจำนวนมากที่ได้สร้างโดยฉินสื่อหวงแต่บรรเทากฎเกณฑ์ต่างๆลง ภายใต้ราชวงศ์ฮั่นศิลปะและวัฒนธรรมได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก ในขณะที่ราชวงศ์แผ่ขยายอำนาจทางทหารไปทุกทิศทาง ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ชาวฮั่นรับเอาชื่อมาจากราชวงศ์นี้นั่นเอง
การล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นตามมาด้วยยุคแห่งการแตกแยกและอีกหลายศตวรรษแห่งความขัดแย้งท่ามกลางการสู้รบระหว่างอาณาจักรต่างๆ ในช่วงเวลานี้พื้นที่ทางตอนเหนือของจีนถูกรุกรานโดยชนเผ่าเร่ร่อนหลากหลายที่ไม่ใช่คนในแผ่นดินจีนซึ่งมาสถาปนาอาณาจักรของตัวเอง ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคืออาณาจักรเว่ยเหนือสถาปนาโดยเซียนเป่ย นับจากช่วงเวลานี้เป็นต้นไปที่ประชากรพื้นเมืองของจีนเริ่มถูกเรียกว่าชาวฮั่น หรือ คนของฮั่น เพื่อแบ่งแยกจากพวกเร่ร่อนจากทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ "ฮั่น" จึงหมายถึงราชวงศ์เก่า การสู้รบและการรุกรานนำมาซึ่งหนึ่งในการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ราษฎรฮั่น ขณะที่เหล่าราษฏรหนีลงใต้ไปที่แม่น้ำแยงซีและเลยออกไปโดยค่อยๆเคลื่อนย้ายศูนย์รวมประชากรชาวฮั่นไปทางใต้ และเร่งกระบวนการทำให้เป็นฮั่นในภาคใต้อันห่างไกล ในเวลาเดียวกันทางตอนเหนือชนเผ่าเร่ร่อนส่วนใหญ่ในจีนตอนเหนือก็กลายเป็นจีน เมื่อพวกเขาปกครองเหนือชาวฮั่นจำนวนมากและรับเอาส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและการบริหารปกครองแบบฮั่น หมายเหตุ พวกผู้ปกครองชาวเซียนเป่ยแห่งอาณาจักรเว่ยเหนือได้ออกคำสั่งกำหนดนโนบายการทำให้เป็นฮั่นอย่างเป็นระบบโดยรับเอานามสกุลแบบฮั่น, ระเบียบแบบแผนและวัฒนธรรมไป
ราชวงศ์สุ่ย (581–618) และถัง (618–907) เห็นความต่อเนื่องของกระบวนการทำให้เป็นฮั่นอย่างสมบูรณ์ในชายฝั่งทางใต้ที่ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน รวมทั้งส่วนที่เป็นจังหวัดฝูเจี้ยนและกวางตุ้ง ในตอนปลายราชวงศ์ถังรวมทั้งยุคห้าราชวงศ์ถัดมาประสบกับการสู้รบที่ต่อเนื่องยาวนานทางตอนเหนือและกลางของจีน ความมั่งคงของชายฝั่งทางใต้เมื่อเทียบกันแล้วทำให้เป็นจุดหมายที่น่าดึงดูดใจสำหรับผู้ลี้ภัย
อีกสองสามศตวรรษถัดมาต้องประสบกับการรุกรานอย่างต่อเนื่องของคนที่ไม่ใช่ฮั่นจากทางเหนือ เช่น พวก Khitan และ Jurchen ในปี 1279 พวกมองโกล (ราชวงศ์หยวน) ก็เอาชนะประเทศจีนได้ทั้งหมด นับเป็นครั้งแรกที่คนที่ไม่ใช่คนในแผ่นดินจีนจะทำเช่นนั้นได้ พวกมองโกลแบ่งสังคมออกเป็นสี่ชนชั้นโดยจัดให้พวกตัวเองอยู่ชั้นบนสุด และชาวฮั่นอยู่สองชั้นล่างสุด ส่วนราชวงศ์ซ่งและหยวนก็สั่งห้ามการอพยพเพราะเห็นว่าเป็นการไม่จงรักภักดีต่อบรรพบุรุษและแผ่นดินเกิด ถ้าจับได้ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
ในปี 1368 ผู้ต่อต้านชาวฮั่นขับไล่พวกมองโกลออกไป หลังจากขัดแย้งกันเองภายในพักหนึ่งก็ได้สถาปนาราชวงศ์หมิง (1368–1644)การตั้งถิ่นฐานของชาวฮั่นในภูมิภาครอบนอกยังคงดำเนินต่อไปในระหว่างช่วงเวลานี้ โดยมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้รับผู้อพยพเป็นจำนวนมาก
ในปี 1644 ปักกิ่งถูกยึดครองโดยกบฏชาวนานำโดย Li Zicheng และจักรพรรดิหมิงองค์สุดท้ายปลงพระชนม์ชีพพระองค์เอง พวกแมนจู (ราชวงศ์ชิง) ให้การสนับสนุนนายพลของราชวงศ์หมิงอู๋ซานกุ้ยและยึดกรุงปักกิ่งไว้ กองทัพหมิงที่เหลืออยู่นำโดยโคซิงกาจึงหนีไปไต้หวันที่ซึ่งในท้ายที่สุดพวกเขายอมจำนนต่อกองทัพชิงในปี 1683 เกาะไต้หวันที่ผู้อยู่อาศัยแต่เดิมส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นเมืองที่ไม่ใช่ฮั่นถูกทำให้กลายเป็นฮั่นโดยผู้อพยพจำนวนมากประกอบกับการผสมกลมกลืนไปด้วยในช่วงเวลานี้ แม้ว่าจะมีความพยายามจากพวกแมนจูในการขัดขวางก็ตาม เนื่องจากพวกแมจูพบความยากลำบากในการควบคุมดูแลเกาะแห่งนี้ ในขณะเดียวกันพวกแมนจูก็ห้ามไม่ให้ชาวฮั่นอพยพไปแมนจูเรีย เพราะพวกแมนจูเห็นว่าเป็นฐานที่มั่นของราชวงศ์ ในปี 1681 พวกแมนจูจึงสั่งให้ก่อสร้างคูน้ำและทำนบเพื่อห้ามชาวฮั่นไม่ให้ตั้งถิ่นฐานเลยออกไปจากเขตนี้ ราชวงศ์ชิงเริ่มเข้าครอบครองแผ่นดินพร้อมชาวจีนฮั่นในภายหลังภายใต้กฎของราชวงศ์ การเคลื่อนย้ายชาวฮั่นครั้งนี้ไปแมนจูเรียถูกเรียกว่า Chuang Guandong (ในระหว่างราชวงศ์ก่อนๆการตั้งถิ่นฐานของชาวฮั่นในแมนจูเรียอยู่ทางตอนใต้เป็นหลัก ที่ซึ่งตอนนี้เป็นมณฑลเหลียวหนิง อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างและหลังจากปลายราชวงศ์ชิงชาวฮั่นได้ตั้งถิ่นฐานและกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่เกือบทั้งหมดของแมนจูเรีย)
ในศตวรรษที่ 19 ผู้อพยพชาวฮั่นเป็นจำนวนมากอพยพไปส่วนอื่นๆของโลก รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ
ราชวงศ์ชิงถูกแทนที่โดยสาธารณรัฐจีนในปี 1912 ในปี 1942 สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ถูกก่อตั้งขึ้นภายหลังสิ่นสุดสงครามกลางเมือง ในขณะที่สาธารณรัฐจีนล่าถอยไปไต้หวัน ผู้ลี้ภัยประมาณหนึ่งล้านคนหนีไปด้วยทำให้ประชากรไต้หวันเพิ่มขึ้นอีก ในปี 1980 นโยบายลูกคนเดียวถูกนำมาใช้ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อควบคุมการเพิ่มจำนวนประชากร ซึ่งมีผลบังคับใช้กับชาวฮั่นเท่านั้น
การอพยพของชาวจีนไปโพ้นทะเลก็ได้ดำเนินต่อมาจนถึงศตวรรษที่ 20 และ 21 การกลับมาของฮ่องกงสู่การปกครองของจีนในปี 1977 ก่อให้เกิดคลื่นอพยพขนาดใหญ่ของชาวจีนฮ่องกงไปอเมริกาเหนือ, ออสเตรเลีย และที่อื่นๆ ชาวจีนไปปรากฏอยู่ในยุโรปเช่นเดียวกับในรัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งตะวันออกไกลของรัสเซียด้วย
จีนเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่และซับซ้อนที่สุดของโลก วัฒนธรรมจีนย้อนกลับไปได้นับพันๆปี ชาวฮั่นบางส่วนเชื่อว่าพวกเขาล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกัน ซึ่งเล่าปรัมปราถึงหัวหน้าชนเผ่าอาวุโส จักรพรรดิเหลืองและจักรพรรดิยันเมื่อหลายพันปีก่อน ดังนั้นชาวฮั่บางส่วนจึงเรียกตนเองว่า "ลูกหลานของจักรพรรดิเหลืองและยัน" วลีที่มีความหมายโดยนัยสะท้อนบรรยากาศการเมืองที่แตกแยกดังในจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน ตลอดประวัติศาสตร์ของจีน วัฒนธรรมของจีนได้รับอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงจากลัทธิขงจื้อ ซึ่งได้สร้างรูปแบบความคิดแบบจีนมากมาย ลัทธิขงจื้อเป็นหลักปรัชญาอย่างเป็นทางการตลอดช่วงประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของจีนยุคจักรวรรดิ ความรอบรู้ในหลักคำสอนของขงจื้อคือหลักเกณฑ์อันแรกสำหรับการสอบเข้ารับราชการ
ชาวจีนพูดภาษาหลากหลายแบบ หนึ่งในชื่อของกลุ่มภาษานั้นคือ "ฮั่นอวี่" หมายถึงภาษาฮั่น (อวี่ แปลว่า ภาษา) ในทำนองเดียวกันอักษรจีนที่ใช้เขียนภาษาเรียกว่า"ฮั่นจื่อ"หรืออักษรฮั่น (จื่อ แปลว่าตัวหนังสือ)ในขณะที่มีภาษาถิ่นอยู่มากมายแต่ภาษาเขียนมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างมาก ความเป็นเอกภาพนี้ต้องยกให้ราชวงศ์ฉินซึ่งได้สร้างมาตรฐานให้กับรูปแบบการเขียนอันหลากหลายของจีนในยุคนั้น เป็นเวลานับพันๆปีภาษาเขียนโบราณ(Classical Chinese)ถูกใช้เป็นรูปแบบการเขียนมาตรฐานในหมู่ปัญญาชนซึ่งใช้คำศัพท์และหลักไวยากรณ์ซึ่งอาจแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับภาษาพูดอันหลากหลาย
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ภาษาเขียนมาตรฐาน หรือ ภาษาเขียนสมัยใหม่ (Written Vernacular Chinese) ที่มีรากฐานจากภาษาฮั่นปักกิ่งซึ่งได้พัฒนาขึ้นสองสามร้อยปีมาแล้ว ถูกทำให้เป็นมาตรฐานและรับเข้ามาใช้เพื่อแทนที่ภาษาเขียนโบราณ ในขณะที่รูปแบบการเขียนสมัยใหม่ในภาษาจีนอื่นๆ เช่น ภาษาเขียนกวางตุ้ง ยังมีอยู่ แต่ภาษาเขียนแบบปักกิ่งเป็นที่เข้าใจกว้างขวางกว่าในหมู่ผู้พูดภาษาจีนทั้งหมดและมีความสำคัญกว่าในพวกภาษาเขียนซึ่งก่อนหน้านี้เคยใช้โดยภาษาเขียนโบราณ ดังนั้นแม้ว่าผู้อาศัยในภูมิภาคต่างๆไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใจคำพูดของกันและกัน เพราะพวกเขาใช้ภาษาเขียนร่วมกัน
ต้นทศวรรษที่ 1950 อักษรฮั่นตัวย่อถูกรับเข้ามาใช้ในจีนแผ่นดินใหญ่และต่อมาในสิงคโปร์ ในขณะที่ชุมชนชาวจีนอื่นๆในฮ่องกง, มาเก๊า, สาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) และจีนโพ้นทะเล ยังใช้อักษรฮั่นตัวเต็มต่อไป ในขณะเดียวกันมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญอยู่ระหว่างชุดอักษรทั้งคู่ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจกันได้อยู่เป็นจำนวนมาก
ชื่อจีนปกติแล้วมีความยาวสองหรือสามพยางค์โดยนามสกุลมาก่อนชื่อแรก นามสกุลปกติแล้วมีความยาวหนึ่งตัวอักษร แม้ว่านามสกุลจำนวนหนึ่งที่พบได้น้อยมีความยาวสองพยางค์หรือมากกว่า ในขณะที่ชื่อแรกมีหนึ่งหรือสองพยางค์ ในจีนมี 4,000 ถึง 6,000 นามสกุล ในจำนวนนั้นประมาณ 1,000 นามสกุลพบได้บ่อยที่สุด
ในอดีตของประเทศจีน ร้อยสกุล (???) นามสกุลที่พบบ่อยทั้งหนึ่งร้อยเป็นอัตลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ของชาวฮั่น นอกเหนือจากวัฒนธรรมและตัวอักษรร่วมกันแล้วการมีต้นตระกูลร่วมกันในนามสกุลคืออีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่มีส่วนร่วมในอัตลักษณ์ของชาวฮั่น
ทุกวันนี้ชาวฮั่นทั่วไปสวมใส่เสื้อผ้าตามแบบตะวันตก ส่วนน้อยสวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวฮั่นดั้งเดิมเป็นประจำ อย่างไรก็ตามชุดแบบจีนสงวนไว้สำหรับ เครื่องแต่งกายในศาสนาและพิธีการ ตัวอย่างเช่น พระในลักธิเต๋าสวมใส่ชุดเดียวกับบัณฑิตในสมัยราชวงศ์ฮั่น ชุดพิธีการในญี่ปุ่นอย่างเช่นพระในลัทธิชินโตเหมือนมากกับชุดพิธีการในจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ในปัจจุบันชุดจีนแบบดั้งเดิมที่นิยมมากที่สุดสวมใส่โดยหญิงสาวมากมายในโอกาสสำคัญๆ เช่น งานแต่งงานและงานปีใหม่เรียกว่ากี่เพ้า อย่างไรก็ตามเครื่องแต่งกายเหล่านี้ไม่ใช่มาจากชาวฮั่นแต่มาจากการดัดแปลงชุดแต่งกายของชาวแมนจู ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ปกครองประเทศจีนระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 20
บ้านแบบฮั่นแตกต่างจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ชาวฮั่นในปักกิ่งอาศัยรวมกันทั้งครอบครัวในบ้านหลังใหญ่ที่มีลักษณะสี่เหลี่ยม บ้านแบบนี้เรียกว่า ??? บ้านเหล่านี้มีสี่ห้องทางด้านหน้าได้แก่ ห้องรับแขก, ครัว, ห้องน้ำ และส่วนของคนรับใช้ ข้ามจากประตูคู่บานใหญ่คือส่วนสำหรับผู้สูงอายุในครอบครัว ส่วนนี้ประกอบด้วยสามห้อง ห้องกลางสำหรับสักการะแผ่นจารึก 4 แผ่นได้แก่ สวรรค์, โลกมนุษย์, บรรพบุรุษ และอาจารย์ มีสองห้องที่อยู่ติดทางด้านซ้ายและขวาเป็นห้องนอนสำหรับปู่ย่าตายาย ส่วนด้านตะวันออกของบ้านสำหรับลูกชายคนโตกับครอบครัว ในขณะที่ด้านตะวันตกสำหรับลูกชายคนรองกับครอบครัว แต่ละด้านมีเฉลียงบางบ้านมีห้องรับแสงแดดสร้างจากผ้ามีโครงเป็นไม้หรือไม้ไผ่ ทุกๆด้านของบ้านสร้างอยู่ล้อมรอบลานบ้านตรงกลางสำหรับเล่าเรียน,ออกกำลังกายหรือชมวิวธรรมชาติ
คำจำกัดความของความเป็นฮั่นนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 กลุ่มคนที่พูดภาษาอื่นบางกลุ่ม เช่น ฮากกา และ ทันกา ไม่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นชาวฮั่น ในขณะที่บางครั้งคนบางกลุ่มที่ไม่ได้พูดภาษาฮั่นเช่น จ้วง กลับเป็นชาวฮั่น ทุกวันนี้ชาวหุยได้รับการพิจารณาเป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์ แต่นอกเหนือจากการปฏิบัติตามศาสนกิจของศาสนาอิสลามแล้วมีสิ่งเล็กน้อยที่แบ่งแยกพวกเขาจากพวกฮั่น ชาวฮั่นสองคนจากพื้นที่ต่างกันอาจจะแตกต่างในทางภาษา,ประเพณีและวัฒนธรรมมากกว่าชาวหุยกับชาวฮั่นที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดกันเสียอีก ในระหว่างราชวงศ์ชิงชาวฮั่นที่ได้เข้าสู่ระบบทหารแปดกองธงถือว่าป็นชาวแมนจู ในขณะที่ชาวฮั่นชาตินิยมกำลังหาหนทางโค่นล้มระบอบกษัตริย์ก็ได้เน้นย้ำความเป็นฮั่นเพื่อให้แตกต่างจากผู้ปกครองชาวแมนจู นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมาสาธารณรัฐจีนให้การรับรอง 5 กลุ่มชาติพันธุ์หลักได้แก่ ฮั่น, หุย, มองโกล, แมนจู และทิเบต ในขณะที่ตอนนี้สาธารณรัฐประชาชนจีนให้การรับรอง 56 กลุ่มชาติพันธุ์
ไม่ว่าจะมีนิยามของกลุ่มชาติพันธุ์ในจีนสมัยก่อนหรือไม่ยังคงเป็นคำถามที่น่าสงสัย อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ ชาวจีนส่วนใหญ่คิดว่าแต่ละคนเป็นพลเมืองของราชอาณาจักรใดๆโดยเฉพาะ ถึงกระนั้นก็ตามความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของหลากหลายราชวงศ์ที่นำโดยชาวฮั่นนับพันๆปีได้นำมาซึ่งอัตลักษณ์ร่วมกัน นักวิชาการชาวจีนมากมายเช่น โห ปิงตี้ เชื่อว่านิยามของชาติพันธุ์ฮั่นเป็นของโบราณ นับย้อนไปถึงราชวงศ์ฮั่นนั่นเอง
Haplogroup O3 (Y-DNA) คือ เครื่องหมายดีเอ็นเอที่มีร่วมกันในชาวฮั่น ดังที่มันปรากฏในจีนในช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์ มันถูกพบในผู้ชายชาวจีนมากกว่า 50% และถึงมากกว่า 80% ในบางกลุ่มย่อยของชาติพันธุ์ฮั่น อย่างไรก็ตามไมโตคอนเดรียดีเอ็นเอ (mtDNA) ของชาวฮั่นมีความหลากหลายเพิ่มขึ้นเมื่อมองจากจีนทางเหนือไปทางใต้ ซึ่งบ่งบอกว่าเพศชายบางส่วนได้อพยพจากจีนตอนเหนือ แต่งงานกับผู้หญิงพื้นเมืองทางใต้หลังจากมาถึงกวางตุ้ง, ฝูเจี้ยนและพื้นที่อื่นๆของจีนตอนใต้ อย่างไรก็ดีการทดสอบเปรียบเทียบลักษณะทางพันธุกรรมของชาวฮั่นเหนือ, ชาวฮั่นใต้และชาวพื้นเมืองทางใต้ระบุว่า Haplogroup O1b-M110, O2a1-M88 และ O3d-M7 ซึ่งแพร่หลายในคนพื้นเมืองทางใต้พบได้ในชาวฮั่นใต้บางส่วนเท่านั้น (เฉลี่ย 4%) แต่ไม่พบในชาวฮั่นเหนือ ดังนั้นนี่จึงพิสูจน์ได้ว่าการมีส่วนร่วมของผู้ชายพื้นเมืองทางใต้ไปสู่ชาวฮั่นใต้มีจำกัด ในทางกลับกันมีความเหมือนของพันธุกรรมที่สอดคล้องกันอย่างมากในการกระจายตัวของโครโมโซม Y Haplogroup ระหว่างประชากรจีนทางเหนือและทางใต้ และผลของการวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principal Component Analysis) ระบุว่าประชากรฮั่นเกือบทั้งหมดสร้างการจับกลุ่มกันในโครโมโซม Y ของพวกเขา อีกทั้งการประมาณการมีส่วนร่วมของชาวฮั่นเหนือไปสู่ชาวฮั่นใต้นั้นมีมากมายทั้งเชื้อสายทางบิดาและมารดา สำหรับ mtDNA นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภูมิศาสตร์ ผลที่ได้คือชาวฮั่นเหนือเป็นผู้ให้หลักสู่ยีนพูลของชาวฮั่นใต้ อย่างไรก็ตามน่าสังเกตว่ากระบวนการแผ่ขยายเป็นการนำโดยเพศชายเป็นหลักดังที่แสดงให้เห็นจากการมีส่วนร่วมอย่างมากมายในโครโมโซม Y มากกว่าใน mtDNA จากชาวฮั่นเหนือไปสู่ชาวฮั่นใต้ การสังเกตลักษณะพันธุกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับบันทึกทางประวัติศาสตร์ของคลื่นอพยพขนาดใหญ่ของผู้ที่อยู่อาศัยทางเหนือของจีนเพื่อหลบหนีภัยสงครามและความอดอยากไปจีนตอนใต้ นอกจากคลื่นผู้อพยพเหล่านี้แล้ว การอพยพขนาดเล็กกว่าไปทางใต้ก็เกิดขึ้นอยู่เกือบตลอดเวลาสองพันปีที่ผ่านมา ยิ่งกว่านั้นการศึกษาของสถาบันวิทยาศาสตร์จีนในเรื่องข้อมูลทางพันธุกรรมในฮั่นกลุ่มย่อยและชนกลุ่มน้อยในจีนแสดงว่าประชากรฮั่นกลุ่มย่อยในพื้นที่ต่างๆมีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับคนพื้นเมืองนั้นๆ และนั่นหมายความว่าในหลายกรณีเลือดของชนกลุ่มน้อยได้ผสมกับชาวฮั่น ในขณะเดียวกันเลือดของชาวฮั่นก็ผสมกับชนกลุ่มน้อยนั้น ล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้การศึกษา Genome-Wide Association มากมายเกี่ยวกับประชากรฮั่นแสดงให้เห็นว่าการกระจายของพันธุกรรมเชิงภูมิศาสตร์จากเหนือสู่ใต้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยมาก ในท้ายที่สุดด้วยข้อยกเว้นในบางสาขาของภาษาพูดของชาวฮั่น เช่น ผิงหัว ประชากรฮั่นทั้งมวลล้วนมีโครงสร้างพันธุกรรมที่สอดคล้องกัน
นอกเหนือจากความหลากหลายของภาษาพูดซึ่งล้วนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษจีนยุคเก่าร่วมกันแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างในวัฒนธรรมระหว่างชาวจีนฮั่นแต่ละภูมิภาคอีกด้วย ตัวอย่างเช่น อาหารจีนนั้นมีความหลากหลายตั้งแต่อาหารรสเผ็ดร้อนอันโด่งดังของเสฉวน ไปจนถึงติ่มซำและอาหารทะเลสดๆของกวางตุ้ง อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ความรู้สึกร่วมในวัฒนธรรม(หรืออย่างน้อยทางการเมือง)ยังคงมีอยู่ระหว่างกลุ่มที่หลากหลายเนื่องจากมีวัฒนธรรม ,การประพฤติปฏิบัติ, ภาษา และการปฏิบัติศาสนกิจ ร่วมกัน เอกสารทางประวัติศาสตร์ระบุว่าชาวฮั่นสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าหัวเซี่ยโบราณของจีนตอนเหนือ ระหว่างช่วงสองพันปีที่ผ่านมาวัฒนธรรมฮั่น(นั่นคือภาษาและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง) ได้ขยายไปสู่จีนตอนใต้ พื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมืองทางใต้ รวมทั้งผู้ที่พูดตระกูลภาษา ไท-กะได, ออสโต-เอเชียติก และม้ง-เมี่ยน ในขณะที่วัฒนธรรมหัวเซี่ยแผ่ขยายจากพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเหลืองก็ได้ดูดกลืนเอากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นชาวฮั่นเมื่อกลุ่มเหล่านี้รับเอาภาษาและวัฒนธรรมฮั่นไปนั่นเอง