จิตรกรรมฝาผนัง (ภาษาอังกฤษ: Mural painting) คือภาพเขียนหลายชนิดที่เขียนบนปูนบนผนังหรือเพดาน เทคนิคที่นิยมกัน คือ การวาดภาพบนผนังปูนปลาสเตอร์เปียก (fresco) โดยที่คำว่า “fresco” มาจากภาษาอิตาลี “affresco” ซึ่งมาจากคำว่า “fresco” หรือ “สด” รากศัพท์มาจากภาษาเยอรมัน
จิตรกรรมฝาผนังแบบปูนเปียก (Buon fresco) เป็นวิธีที่ใช้สีผสมน้ำแล้ววาดลงบนปูนปลาสเตอร์ หรือ lime mortar ที่ปาดไว้บางๆบนผนังที่ภาษาอิตาลีเรียกว่า“อินโทนาโค” เมื่อทาสีลงไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรทาเคลือบให้สีติดเพราะปูนปลาสเตอร์จะมีปฏิกิริยาเคมีกับสีติดปูน เมื่อทาสีจะซึมลงไปในปูนที่ยังชื้นพอปูนแห้งก็จะมีปฏิกิริยาเคมีกับอากาศทำให้สีติดผนังได้อย่างถาวร ผู้ที่ใช้วิธีเขียนจิตรกรรมฝาผนังโดยใช้วิธีนี้คือไอแซ็ค มาสเตอร์ที่ชั้นบนของมหาวิหารเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซิที่อาซิซิ ประเทศอิตาลี
จิตรกรรมฝาผนังแบบปูนแห้ง (A Secco) จะตรงกันข้ามคือจะวาดบนปูนแห้ง (“Secco” ในภาษาอิตาลีแปลว่า แห้ง) วิธีนี้จิตรกรจะผสมสีกับสารที่ทำให้ติดผนังเช่นไข่ (ที่เรียกว่า “เทมเพอรา”) กาว หรือ น้ำมัน เพื่อให้สียึดติดกับผนัง สิ่งที่ควรจะสังเกตคือความแตกต่างระหว่างจิตรกรรมปูนแห้งที่วาดทับบนจิตรกรรมปูนเปียกซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปตั้งแต่ยุคกลางเป็นต้นมา และจิตรกรรมปูนแห้งที่วาดบนผนังเปล่า
ตามปกติแล้วจิตรกรรมปูนเปียกจะทนทานกว่าจิตรกรรมปูนแห้งที่มาวาดทับภายหลังเพราะจิตรกรรมปูนแห้งจะติดผนังที่ไม่เรียบได้ดีกว่าผนังที่เรียบ บางครั้งจิตรกรจะใช้วิธีหลังนี้เพื่อเติมรายละเอียดหรือเพราะบางสีไม่สามารถทำได้จากวิธีแรกเพราะปฏิกิริยาเคมีของปูนที่มีด่างโดยเฉพาะสีน้ำเงิน เสื้อคลุมที่เป็นสีน้ำเงินของจิตรกรรมปูนเปียกจะมาเติมด้วยวิธีหลังให้สีเข้มขึ้นเพราะทั้งสีน้ำเงิน azurite และสีน้ำเงิน “ลาพิส ลาซูไล” จะออกมาไม่สวยเมื่อใช้ปูนเปียก
จากการวิจัยพบว่าจิตรกรสมัยเรอเนซองส์ตอนต้นมักจะใช้วาดบนปูนแห้งเพื่อจะให้ได้สีที่หลากหลายกว่าปูนเปียก งานที่ทำด้วยวิธีนี้ในสมัยแรกๆ สูญหายไปเกือบหมด แต่งานที่ทำบนผิวผนังที่ทำให้หยาบเพื่อให้สีติดจะยังคงเหลืออยู่บ้าง แต่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อจิตรกรรมฝาผนังมากที่สุดก็เห็นจะเป็นความชื้น
วิธีที่สามเรียกว่า จิตรกรรมปูนชื้น หรือ “mezzo-fresco” วิธีนี้จิตรกรจะวาดรูปบนผนังปูนที่ใกล้จะแห้ง-ตามที่อิกนาซิโอ พ็อซโซอธิบายไว้เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ว่าเพื่อจะพอให้สีซึมลงไปในเนื้อปูนเพียงเล็กน้อย พอมาถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 วิธีนี้ก็ใช้แทนที่จิตรกรรมปูนเปียกเป็นส่วนใหญ่ จิตรกรที่ใช้วิธีนี้ก็มีจิโอวานนิ บัตติสตา ติเอโปโล
ระหว่างสามวิธีนี้ งานที่ทำโดยวิธีปูนแห้งล้วนจะทำได้เร็วกว่าวิธีอื่น ถ้ามีอะไรผิดก็แก้ง่ายและความแตกต่างของสีที่ทาลงไปกับเวลาที่สีแห้งจะน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
ในการสร้างจิตรกรรมปูนเปียก ช่างจะฉาบบริเวณที่จะวาดภาพด้วย “arriccio” ที่ทำให้ผนังภายใต้สาก แล้วทิ้งไว้ให้แห้งอีกสามสี่วันก่อนที่จะร่างภาพที่จะวาดลงบนผนังที่ฉาบไว้ โดยใช้สีฝุ่นแดงที่เรียกว่า “sinopia” ภาพที่ร่างก็เรียกว่า “sinopia” เช่นเดียวกัน ต่อมาการร่างใช้วิธีวาดบนกระดาษก่อนที่จะมาทาบบนผนัง ตามขอบรูปก็จะปรุเป็นรอยด้วยวัสดุที่มีความแหลมแล้วทาบกับผนังแล้วใช้ประคบที่บรรจุด้วยผงดำๆ ที่เรียกว่า “spolvero” ตบบนตัวร่าง พอเสร็จบนผนังก็จะเป็นรอยร่างคร่าวๆจากฝุ่นที่ตบเอาไว้ ถ้าผนังที่จะวาดมีรูปอยู่แล้วช่างก็จะสกัดผิวออกเป็นระยะๆ เพื่อให้ปูนที่จะฉาบเกาะติด วันที่จะวาดรูปช่างก็จะฉาบปูนบางๆ เรียบบนผนังที่เรียกว่า “อินโทนาโค” ที่เตรียมไว้ การฉาบก็จะฉาบเฉพาะบริเวณที่จะทำเสร็จในวันนั้น การซ่อนรอยต่อของปูนก็อาจจะทำโดยใช้ขอบรูปของตัวแบบ หรือทิวทัศน์ การทาสีมักจะเริ่มจากส่วนที่สูงที่สุดของภาพ บริเวณที่ทาสีเสร็จในวันหนึ่งเรียก “giornata” เราจะศึกษาขั้นตอนการวาดภาพได้จากตะเข็บหรือรอยต่อจากส่วนหนึ่งไปอีกส่วนหนึ่ง
จิตรกรรมปูนเปียกจะเป็นวิธีที่ค่อนข้างยากเพราะจิตรกรมีเวลาวาดเพียงสิบสองชั่วโมงก่อนที่ปูนจะแห้ง ตามปกติแล้วจิตรกรจะรอชั่วโมงหนึ่งหลังจากฉาบก่อนที่จะเริ่มวาดแล้ววาดไปจนราวสองชั่วโมงก่อนที่ปูนจะแห้ง พอปูนแห้งวิธีวาดปูนเปียกก็ต้องหยุดไม่มีการแก้ ปูนที่ยังวาดไม่เสร็จก็ต้องเซาะออก เพื่อได้ฉาบใหม่ ถ้ามีอะไรผิดบางครั้งก็ต้องลอกปูนที่วาดไว้ออกทั้งหมด หรือมาใช้วิธีวาดบนปูนแห้งแก้ภายหลัง
ถ้าเราดูจิตรกรรมฝาผนังบนผนังขนาดใหญ่เราอาจจะเห็นบริเวณที่วาดอาจจะแบ่งได้ราวสิบถึงยี่สิบบริเวณหรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ รอบตะเข็บที่เคยซ่อนไว้อย่างแนบเนียนก็อาจจะเด่นชัดขึ้นจนบางครั้งก็มองเห็นได้จากข้างล่าง นอกจากนั้นรอบตะเข็บมักจะแต่งให้เรียบร้อยด้วยวิธีวาดปูนแห้งซึ่งจะหลุดออกมาตามกาลเวลา
ถ้าเป็นงานปูนแห้งล้วนๆ ปูนที่ฉาบจะมีผิวหยาบ เมื่อแห้งก็จะถูด้วยกระดาษทรายเพื่อให้สีติดดีขึ้น จิตรกรก็จะทาสีเช่นเดียวกับการทาสีบนแผ่นไม้
งานจิตรกรรมฝาผนังแรกที่สุดสร้างเมื่อ 1500 ก่อนคริสต์ศักราชที่พบที่เกาะครีต ใน ประเทศกรีซ ชิ้นที่สำคัญที่สุดเรียกว่า “The Toreador” ซึ่งเป็นเรื่องราวของพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่คนกระโดดข้ามหลังวัว งานชิ้นอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ก็มีพบในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนโดยเฉพาะใน ประเทศอียิปต์ และประเทศโมร็อกโก งานจิตรกรรมฝาผนังที่พบมากในประเทศอียิปต์ก็เป็นงานที่พบในสุสานที่ฝังศพและจะใช้วิธีวาดบนปูนแห้ง แต่ที่มาของจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ยังเป็นที่สันนิษฐานกันอยู่
นักประวัติศาสตร์บางท่านก็เชื่อว่าจิตรกรจากครีตอาจจะถูกส่งไปวาดตามที่ต่างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนทางการค้าหรืออาจจะเป็นการส่งเสริมความสำคัญของศิลปะลักษณะนี้ซึ่งถือว่าเป็นศิลปะสำคัญของสมัยนั้นก็ได้
นอกจากนั้นจิตรกรรมฝาผนังยังเห็นได้จากสถาปัตยกรรมกรีก (Ancient Greece architecture) แต่ที่ยังเหลืออยู่ทุกวันนี้เกือบหาไม่ได้ ที่มีก็พบทางตอนใต้ของอิตาลีที่เพสตุม (Paestum) ที่มันยาเกรเซีย (Magna Graecia) ซึ่งเป็นอาณานิคมกรีก จิตรกรรมที่พบเมื่อปี ค.ศ. 1968 ก็อยู่ภายในที่ฝังศพวาดมาตั้งแต่ 470 ปีก่อนคริสต์ศักราชที่เรียกว่า “ที่ฝังศพของนักดำน้ำ” (Tomb of the Diver) ฉากที่วาดมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้น อีกภาพหนึ่งแสดงให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งนอนเอนอย่างพบประสังสรรค์กัน อีกภาพหนึ่งเป็นภาพชายหนุ่มกระโดดลงไปในทะเล
จิตรกรรมฝาผนังที่สร้างในสมัยจักรวรรดิโรมันเช่นที่ปอมเปอี และ Roman wall paintings, such as those at ปอมเปอี และ เฮอร์คิวเลเนียม เป็น จิตรกรรมแบบปูนเปียก
จิตรกรรมฝาผนังของอิสลาม ซึ่งหาชมได้ยากพบที่ Qasr Amra ซึ่งเป็นปราสาทกลางทะเลทรายที่ Umayyads วาดเมื่อ คริสต์ศตวรรษที่ 8
สมัยปลายจักรวรรดิโรมัน เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึง 2 จิตรกรรมฝาผนังมักจะพบภายในที่ที่เก็บศพแบบสุสานรังผึ้งภายใต้ กรุงโรม และ ประเทศไซปรัส ครีต อีฟิซุส (Ephesus) คะพาโดเซีย (Capadocia) และ อันติออก (Antioch) จิตรกรรมฝาผนังของโรมันเป็นแบบปูนเปียกบนปูนปลาสเตอร์สี นอกจากนั้นจิตรกรรมฝาผนังของคริสต์ศาสนายังพบได้ที่วัดโกเรเม (Churches of Goreme) ที่ประเทศตุรกี
เมื่อปลายยุคกลางและในสมัยเรอเนซองส์เป็นสมัยที่จิตรกรรมฝาผนังรุ่งเรืองที่สุดโดยเฉพาะในประเทศอิตาลีซึ่งยังนิยมใช้ศิลปะลักษณะนี้ตกแต่งในสิ่งก่อสร้างทางศาสนาและการปกครอง
อันเดรีย พาลลาดิโอ (Andrea Palladio) สถาปนิกคนสำคัญของอิตาลีเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 สร้างคฤหาสน์ไว้หลายแห่งที่ดูเรียบภายนอกแต่ภายในตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังอย่างวิจิตร
โฮเซ เคลเม็นเท โอโรซโค (Jose Clemente Orozco) เดวิด ซีเครอส (David Siqueiros) ดิเอโก ริเวรา (Diego Rivera) และ ฟรีดา คาห์โล เป็นจิตรกรคนสำคัญของประเทศเม็กซิโกที่มาฟื้นฟูงานจิตรกรรมฝาผนังเมื่อศตวรรษที่ 20 งานจิตรกรรมฝาผนังของริเวราเป็นการเริ่ม “ยุคเรอเนซองส์ของจิตรกรรมฝาผนังของเม็กซิโก”
จิตรกรรมฝาผนังที่เพดานและผนังถ้ำที่อจันตาวาดไว้ระหว่าง 200 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษถึงราวค. ศ. 600 พบเมื่อค.ศ. 1819 เป็นเรื่องพุทธชาดก เรื่องราวที่วาดเป็นฉากๆ แต่ไม่ต่อเนื่องกัน
จิตรกรรมฝาผนังในประเทศอิตาลีเป็นงานศิลปะที่สำคัญและมีจิตรกรผู้มีชื่อเสียงทางด้านนี้มากมายดังเช่นตัวอย่างข้างล่าง
“ความทุกข์ในการสูญเสียพระเยซู” (Lamentation) โดย จอตโต ดี บอนโดเน ที่ชาเปลสโครเวนยี (Cappella Scrovegni) ที่ปาดัว