จอมโจรคิด (ญี่ปุ่น: ????? โรมาจิ: Kait? Kiddo ทับศัพท์: Kaito Kid) ; (อังกฤษ: Kid the Phantom Thief ) เป็นฉายาของตัวละครในมังงะเรื่อง จอมโจรอัจฉริยะ แต่งโดย โกโช อาโอยาม่า จอมโจรคิดเป็นที่รู้จักมากจากบทบาทในมังงะและอะนิเมะเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ที่แต่งโดยผู้เขียนคนเดียวกัน จอมโจรคิดในปัจจุบันมีทั้งหมด 2 รุ่น โดยชื่อจริงของจอมโจรคิดรุ่นแรกคือ คุโรบะ โทอิจิ (ญี่ปุ่น: ?? ?? โรมาจิ: Kuroba T?ichi) แต่หลังจากโทอิจิเสียชีวิตจากการถูกสังหาร บุตรชายของเขา คุโรบะ ไคโตะ (ญี่ปุ่น: ?? ?? โรมาจิ: Kuroba Kaito) ได้สืบทอดตำแหน่งจอมโจรคิดต่อเป็นรุ่นที่ 2 โดยหวังว่าจะพบเบาะแสของบุคคลที่สังหารพ่อของเขา ซึ่งจอมโจรอัฉริยะเล่ม 5 ตอน มิดไนท์โครว์ อาจจะมีเบาะแสว่า คุโรบะโทอิยังนั้นยังไม่ตาย ในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงจอมโจรคิด จะหมายถึงจอมโจรคิดรุ่นที่ 2 คือ คุโรบะ ไคโตะ ยกเว้นจะมีการกล่าวว่าเป็นโทอิจิโดยเฉพาะ
ในจอมโจรอัจฉริยะเล่ม 4 ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์ของโกโช อาโอยาม่า ผู้วาดจอมโจรคิด เขากล่าวว่าตัวละครที่วาดนี้เขาต้องการสื่อถึงภาพลักษณ์ของคนที่ "แว่บไปแว่บมา หาตัวจับยาก ห้าวหาญไม่มีใครเปรียบ หน้าตาหล่อเหลาเหมือนอาร์แซน ลูแปง และเป็นคนเจ้าเล่ห์" ตัวการ์ตูนนี้ให้ความสนุกในแบบของผู้ถูกล่าที่ต้องหนี อย่างไรก็ตามเขายังกล่าวถึงการวาดชุดคลุมของไคโตะนั้นว่า "ลำบากเอาการ"
คุโรบะ โทอิจิ ซึ่งเป็นจอมโจรคิดรุ่นพ่อปรากฏตัวในฐานะนักมายากลและอาชญากรเมื่อ 8 ปีก่อนที่จะเกิดเรื่องในมังงะเรื่อง จอมโจรอัจฉริยะ โดยปรากฏตัวครั้งแรกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พร้อมด้วยผู้ติดตามชื่อจิอิ โคโนะสึเกะ โทอิจิมีชื่อเสียงมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็นนักมายากลมือหนึ่งของโลก 10 ปีต่อมาหลังจากการปรากฏตัวครั้งแรก โทอิจิถูกสังหารระหว่างการแสดงโดยองค์กรองค์กรหนึ่งที่ต้องการชิง แพนโดร่า อัญมณีที่จะมีสีแดงและหลั่งน้ำตาในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ที่เชื่อว่าผู้ที่ได้ดึ่มน้ำตาจากแพนโดร่าจะเป็นอมตะ หลังจากนั้นเมื่อเริ่มเรื่องจอมโจรอัจฉริยะ จิอิ ซึ่งเป็นผู้ติดตามของโทอิจิได้ปลอมตัวเป็นจอมโจรคิดโดยหวังจะให้องค์กรที่สังหารโทอิจิปรากฏตัว โดยปรากฏตัวในครั้งนี้เน้นการขโมยอัญมณีที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นหลัก ต่างจากครั้งอื่น ๆ ที่มีการขโมยอัญมณีนอกประเทศญี่ปุ่นด้วย เป็นเวลาเดียวกับที่ คุโรบะ ไคโตะ ซึ่งเป็นบุตรของโทอิจิได้ค้นพบความจริงว่าพ่อของเขาเป็นจอมโจรคิดและถูกสังหารโดยองค์กรดังกล่าว ไคโตะจึงรับหน้าที่เป็นจอมโจรคิดเพื่อล่อให้องค์กรที่สังหารพ่อของเขาปรากฏตัวเพื่อสืบทอดหน้าที่ต่อจากจิอิ และเพื่อป้องกันไม่ให้องค์กรชิงอัญมณีแพนโดร่าไปด้วย
จอมโจรคิดไม่ว่าในรุ่นพ่อหรือรุ่นลูก ต่างก็ปรากฏตัวในยอดนักสืบจิ๋วโคนันเช่นกัน ทั้งในร่างบุคคลธรรมดาหรือจอมโจรคิด โดยคุโรบะ โทอิจิ เคยปรากฏตัวครั้งหนึ่งกับยูกิโกะและไคโตะในฉากรำลึกถึงอดีตในยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ส่วนคุโรบะ ไคโตะ ปรากฏตัวครั้งแรกในตอน "โคนัน VS จอมโจรคิด" และต่อมาก็ได้กลายเป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องนั้น รวมถึงตัวละครเสริมผู้ขัดขวางจอมโจรคิด เช่น สารวัตรนากาโมริ กินโซ ฮาคุบะ ซางุรุ ก็ได้กลายเป็นตัวละครในเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน ในทางกลับกันตัวละครจากยอดนักสืบจิ๋วโคนันก็เคยปะทะกับจอมโจรคิดมาแล้ว เช่น ในคดีแบล็กสตาร์ในจอมโจรอัจฉริยะ คุโด้ ชินอิจิ เคยปะทะกับคุโรบะ ไคโตะมาแล้ว และเชื่อกันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุที่ทำให้จอมโจรคิดและโคนันทราบตัวจริงซึ่งกันและกัน
แม้ว่าจอมโจรคิดจะมีฉายามากมาย เช่น ลูแปงแห่งเฮเซ นักมายากลใต้แสงจันทร์ เป็นต้น แต่ชื่อเรียกที่เป็นทางการตามที่ทั้ง ตำรวจสากล FBI และ CIA ตั้งไว้เป็นชื่อรหัส (Code Name) ที่เรียกว่า 1412 เดิมข้อมูลนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับแต่ก็รั่วไหลออกมา อย่างไรก็ดีชื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นชื่อที่เกิดจากการตั้งขึ้นของคุโด้ ยูซากุ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับโทอิจิ ตอนที่ยูซากุเป็นผู้ล่าและโทอิจิเป็นจอมโจรคิด และสนใจเรื่องจอมโจร 1412 ที่สามารถปั่นหัวตำรวจได้ทั่วโลก ครั้งหนึ่งยูซากุหยิบหนังสือพิมพ์ที่มีเรื่องจอมโจรคิดมาอ่านดู แต่นักข่าวเขียนเลข 1412 เป็นหวัดๆ ทำให้เขาอ่านแบบเล่นคำ ปรากฏว่าสามารถอ่านได้เป็นตัวอักษร KID ยูซากุจึงตั้งชื่อของจอมโจรคนนี้ว่า "คิด"
ในคดี "ของขวัญจากอาคาโกะ" (จอมโจรอัจฉริยะ เล่ม 3) ฮาคุบะ ซางุรุ ได้เปิดเผยข้อมูลจำเพาะที่เกิดจากการเก็บรวบรวมได้ว่าจอมโจรคิดสูง 174 เซนติเมตร หนัก 58 กิโลกรัม อายุ 15-17 ปี หมู่เลือด B เชื้อสายญี่ปุ่น ผมดำ ตาซ้ายขวา 2.0 ระดับ ไอคิว 400 เล่นกีฬาเก่งโดยเฉพาะสกีแต่ไม่ถนัดสเก็ตน้ำแข็ง เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปเปรียบเทียบพบว่าตรงกับคุโรบะ ไคโตะ ทำให้ฮาคุบะกล่าวว่าจอมโจรคิดกับไคโตะเป็นบุคคลเดียวกัน แม้ตัวไคโตะจะปฏิเสธว่าไม่ใช่คิดก็ตาม นอกจากนี้ในเนื้อเรื่องพบว่าคิดชอบไอศกรีมช็อกโกแลตแต่กลัวปลา
ความสามารถหลักของจอมโจรคิดไม่ว่าจะเป็นรุ่นพ่อหรือลูกคือการที่คิดสามารถปลอมตัวเป็นคนที่ไม่รู้จักและรู้จักได้เนียนมาก แม้กระทั่งเสียงก็สามารถปลอมได้โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องแปลงเสียง ในยอดนักสืบจิ๋วโคนันมีการกล่าวว่า ยูกิโกะซึ่งเป็นแม่ของชินอิจิได้ฝากตัวกับโทอิจิ ซึ่งครั้งนั้นทำให้ยูกิโกะรู้จักกับ ชารอน วินยาร์ด และทำให้เกิดเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างขึ้น ด้วยความได้เปรียบนี้ทำให้คิดสามารถตรวจสอบสถานที่ตั้งของอัญมณีก่อนที่จะโจรกรรมได้โดยง่าย หรือในบางครั้งก็ทำการโจรกรรมทั้งที่ปลอมตัวอยู่ก็มีให้เห็น
อย่างไรก็ดี คิดก็ยังใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยในการโจรกรรมด้วย เช่นใช้นกพิราบที่ติดกับดักฟังเสียงเพื่อช่วยในการดักฟังข้อมูลจากระยะไกล โดยใช้แว่นตาขาเดียว ใช้แฮงไกลเดอร์ในการหลบหนี ใช้ปืนที่ยิงออกมาเป็นรูปไพ่เพื่อป้องกันตัว ซึ่งเมื่อยิงออกไปไพ่กลายเป็นระเบิดควัน โดยไม่ใช้ปืนจริงเป็นอันขาด และใช้ผู้ช่วยในบางกรณี ดังจะสังเกตได้จากในอะนิเมะเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ตอนที่ 387 ซึ่งโคนันกล่าวว่าคิดมีผู้ช่วยแสดงกลเดินบนอากาศ และต่อมาก็ได้รับการยืนยันเมื่อปรากฏว่าคิดได้จับเอาพวกของตนที่แฝงตัวเป็นนักข่าวหลบหนีไปด้วยกันในคดีเล่ม 61 แต่ถึงจะใช้อุปกรณ์ดีเพียงใดก็ตาม ก็ปรากฏในเนื้อเรื่องว่าคิดได้รับบาดเจ็บบ้างเช่นกันไม่ว่าจะเป็นจากผู้ขัดขวางเช่นโคนัน หรือบุคคลที่สามที่ไม่พอใจ เป็นต้น
นอกจากความสามารถในการโจรกรรม คิดยังมีความสามารถในการสืบสวนเช่นกัน ดังจะเห็นได้ในมูฟวี่ตอน บทเพลงมรณะแด่เหล่านักสืบ ที่คิดไปช่วยโคนันและเฮย์จิสึบสวนอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจึงไปปิดบัญชีกับนายมิยามะซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นผู้สนับสนุนตัวการขโมยรถขนเงินที่คิดบังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ ซึ่งผู้ที่ขโมยนั้นก็คือรุ่นน้องที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยทางทะเลโยโกะฮะมะ ที่เดียวกับตัวประธานมิยามะนั่นเอง
ก่อนทำการโจรกรรม จอมโจรคิดจะส่งสาส์นเตือนถึงเหยื่อหรือตำรวจก่อน โดยสาส์นมีรูปแบบเป็นข้อความที่ต้องไขปริศนาอีกที รวมถึงมีรูปหน้าของจอมโจรคิด ซึ่งจอมโจรคิดจะวาดใหม่ทุกครั้งที่โจรกรรม เมื่อส่งสาส์นเตือนและตรวจสอบสถานที่โจรกรรมในบางครั้งเสร็จแล้ว จึงทำการโจรกรรมตามวิธีที่เขียนไว้ในสาส์นเตือน เช่น ทำการปลอมตัวเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือตัวเหยื่อเพื่อตบตาตำรวจ และนำของหนีไป ทำให้เกิดความสับสนระหว่างของจริงและของปลอม แล้วชิงของจริงหนีไป เป็นต้น โดยในระหว่างการโจรกรรมคิดจะไม่ฆ่าคน ไม่ใช่ปืนจริง แต่จะขโมยของไปเพียงอย่างเดียว และไม่ลักพาตัวคนเป็นอันขาด โดยปกติแล้วในระหว่างการหลบหนีหรือการโจรกรรมนั้น คิดจะสวมชุดสูทสีขาวที่ทำจากผ้าไหม มีผ้าคลุมข้างหลังและหมวกสีขาว เนคไทสีแดง เสื้อเชื้ตตัวในสีน้ำเงิน และแว่นตาขาเดียว แต่ในบางครั้งเขาก็มิได้สวมชุดนี้อันเนื่องจากการปลอมตัวและเหตุผลอื่น ๆ เช่น เพื่อมิให้ถูกสังเกตได้โดยง่ายหากมีการใช้อุบายขโมยหรือหลบหนี เป็นต้น
ตามรายงานของตำรวจก่อนที่คิดจะลงมือโจรกรรมไข่อิมพีเรียล อีสเตอร์ในมูฟวี่ตอนที่ 3 ปริศนาพ่อมดคนสุดท้ายแห่งศตวรรษ จอมโจรคิดก่อคดีรวมทั้งสิ้น 134 คดี โดย 15 คดีในจำนวนคดีทั้งหมดเป็นคดีที่เกิดขึ้น ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมัน และประเทศอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 12 ประเทศ รวมอัญมณีที่ขโมยไปได้ 152 รายการ คิดเป็นมูลค่า 38,725 ล้านเยน
แต่ตามความเป็นจริงแล้ว จอมโจรคิดนั้นไม่ใช่เป็นคนที่เห็นแก่เงิน เขาได้ขโมยของไปแล้วก็จริงแต่มักจะนำมาคืนเสมอโดยไม่ใช้สอยเลยแม้แต่น้อย คุโรบะ โทอิจิ รุ่นแรกนั้นได้หาเงินตนเองด้วยการเป็นนักมายากลที่มีชื่อเสียง แต่ไม่รู้ว่ามาเป็นจอมโจรคิดได้อย่างไร คนที่รู้ก็มีแต่คุโรบะ ชิคาเงะ ผู้เป็นภรรยาของโทอิจิและแม่ของไคโตะและคูณปู่อิจิ คนแก่ที่รับใช้โทอิจิเท่านั่น ส่วนคุโรบะ ไคโตะ รุ่นที่ 2 ต้องการตามหาเพชรแพนโดร่าเท่านั้น เพื่อสืบหาบุคคลที่สังหารพ่อของเขาและองค์กรปริศนาที่ต้องการแพนโดร่า บางครั้งไคโตะขโมยของมาได้สำเร็จได้แต่มักจะหลุดมือไปด้วยเหตุผลบางประการ เช่น โดนเอโดงาวะ โคนันหรือสารวัตรนากาโมริที่เป็นคู่ปรับคอยไล่ล่าอยู่ แต่เขาก็ไม่สนใจและพูดได้ประโยดหนึ่งว่า "ของสิ่งนั้น ไม่ใช่ของสิ่งที่ฉันต้องการหรอก"
จอมโจรคิดมีความสัมพันธ์กับบุคคลในจอมโจรอัจฉริยะหลายคน ตั้งแต่รุ่นแรกของจอมโจรคิด (โทอิจิ) ซึ่งสารวัตรนาคาโมริ กินโซ ผู้รับผิดชอบคดีจอมโจรคิด เคยกล่าวว่าจอมโจรคิดเป็นเป้าหมายในชีวิตของเขาเลยทีเดียว ความสัมพันธ์นั้นสืบทอดมาสู่รุ่นลูกเช่นเดียวกัน เนื่องจากไคโตะเป็นเพื่อนของลูกสาวของสารวัตรนาคาโมริที่ชื่ออาโอโกะ สารวัตรกับไคโตะจึงสนิทสนมกันพอสมควร ทำให้สารวัตรกับไคโตะเป็นผู้ล่ากับผู้ถูกล่าไปในตัว โดยไคโตะก็ยังสามารถหนีได้ทุกครั้งเหมือนครั้งที่พ่อเขาเคยทำ สำหรับความสัมพันธ์กับเพื่อนในห้องเรียนของจอมโจรคิด มีดังนี้
อาโอโกะชอบไคโตะอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจอมโจรคิดก็คือคุโรบะ ไคโตะ ที่เป็นเพื่อนและคู่ปรับในห้องเรียนเดียวกันของเธอนั่น ในขณะที่ตัวคุโรบะ ไคโตะเองก็ชอบอาโอโกะอยู่เช่นกันแต่ไม่แสดงออก
ฮาคุบะซึ่งเป็นนักสืบที่ไปศึกษายังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นคู่ปรับกับจอมโจรคิดในด้านการโจรกรรมที่ฮาคุบะพยายามจะจับตัวคิดให้ได้ แต่ก็ถูกคิดซ้อนแผนกลับบ้างหรือขัดขวางบ้าง ไม่เพียงแต่ด้านโจรกรรมเท่านั้น ฮาคุบะพยายามจะเอาชนะใจอาโอโกะให้ได้ ถึงขนาดว่าคิดต้องพยายามขัดขวางไม่ให้แผนที่ฮาคุบะวางไว้สำเร็จ ฮาคุบะเป็นอีกคนที่รู้ตัวจริงของคิดจากข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลเด็กนักเรียนของประเทศญี่ปุ่น
ตามเนื้อเรื่อง มีการบรรยายลักษณะของอาคาโกะว่า อาคาโกะเป็นผู้หญิงที่สวยจนทำให้ชายอื่นหลงเสน่ห์ได้หมด ยกเว้นจอมโจรคิด อาคาโกะซึ่งเป็นแม่มดจึงพยายามหาทางที่จะทำให้คิดมาสยบแทบเท้าให้ได้ แต่ไม่ว่าวิธีไหน ๆ ก็ไม่สำเร็จ อย่างไรก็ดีเธอเองเคยบอกว่าเธอชอบจอมโจรคิด และในบางครั้งก็ช่วยจอมโจรคิด เช่นในคดีแบล็กสตาร์แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อนด้วยเหตุผลเรื่องการห้ามใช้มนตราในที่สาธารณะ
จอมโจรคิดมีความสัมพันธ์กับครอบครัวคุโด้ ตั้งแต่จอมโจรคิดรุ่นโทอิจิ โดยคุโด้ ยูซากุ เป็นผู้ตั้งฉายา 1412 ให้กับจอมโจรคิด คุโด้ ยูกิโกะ เรียนการปลอมตัวกับโทอิจิมาพร้อม ๆ กับ ชารอน วินยาร์ด สำหรับ คุโด้ ชินอิจิ นั้นเคยถูกท้าทายปริศนาจากโทอิจิในสมัยเด็กมาแล้ว
ความสัมพันธ์นั้นยังคงสืบต่อมาถึงจอมโจรคิดรุ่นปัจจุบัน แต่เน้นไปที่เอโดกาวะ โคนันมากกว่า เนื่องจากโคนันเคยเผชิญหน้ากับจอมโจรคิดมาแล้วในตอนแบล็กสตาร์ การเผชิญหน้าแต่ละครั้งระหว่างคิดกับโคนันจึงเป็นไปในทางที่โคนันพยายามขัดขวางไม่ให้แผนการโจรกรรมสำเร็จ หรือเพียงแต่ปรากฏตัวเฉย ๆ โดยมีการพูดคุยบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นการที่โคนันจะอธิบายถึงกลของคิดโดยอาจมีการเย้ยหยันกันเล็กน้อย และแม้กระทั่งการช่วยกันเพื่อให้พ้นจากวิกฤตก็มีให้เห็น ซึ่งโคนันเองก็รู้ดีว่าคิดไม่ใช่คนเลว แต่ด้วยหน้าที่ของนักสืบและความท้าทายจึงมักเข้าขัดขวางและพยายามจับกุมคิดให้ได้ (แต่อย่างไรก็ตามด้วยความสามารถในการสืบแกะรอยและขัดขวางจอมโจรคิดของโคนันทำให้มีผู้จำนวนมากยอมรับนับถือจนได้แต่งตั้งฉายาว่า '''คิดคิลเลอร์''')
ในบางคดีที่คิดช่วยเหลือคนรอบข้างเช่นพวกแก๊งนักสืบจิ๋ว โคนันก็ทำปิดตาไม่รู้ไม่เห็นปล่อยคิดไป หรือในเดอะมูฟวี่ ที่โคนันประจันหน้ากับคิดบนตึกระฟ้า ขณะที่โคนันหลบไพ่ของคิดก็พลัดตกลงไป คิดจึงกางแฮงไกลเดอร์บินลงไปช่วยอย่างไม่ลังเล หรืออีกครั้งหนึ่งคือการช่วยขับเครื่องบินที่ต้องลงจอดทันทีก่อนที่จะตกร่วมกับโคนันในเดอะมูฟวี่8 มนตราแห่งรัตติกาลสีเงิน และยังลงจากเครื่องไปก่อนเพื่อล่อให้ตำรวจตามมา โดยใช้แสงไฟรถตำรวจสีแดงแทนแสงรันเวย์ฉุกเฉิน ทำให้เครื่องบินที่มีผู้โดยสารนับร้อยลงจอดได้อย่างปลอดภัย ที่เด่นชัดที่สุดคือในเดอะมูฟวี่14 ปริศนามรณะเหนือน่านฟ้า เมื่อโคนันถูกผู้ก่อการร้ายโยนลงไปจากเรือเหาะ คิดได้กระโดดลงไปช่วยและยังร่วมมือกับโคนันปลอมเป็นคุโด้ ชินอิจิเพื่อขอขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตำรวจกลับขึ้นไปบนเรือเหาะ
คิดเองรู้จักตัวจริงของโคนันว่าคือคุโด้ ชินอิจิ ทั้งยังมีหน้าตาคล้ายกันมากจนเหมือนฝาแฝด ทั้งความฉลาดเฉลียว ทักษะและไหวพริบการเอาตัวรอดก็ใกล้เคียงกัน ดังนั้นการปลอมตัวเป็นชินอิจิโดยไม่ต้องสวมหน้ากากจึงเป็นข้อได้เปรียบมากหากคิดต้องการหลบเลี่ยงการพิสูจน์ว่าเป็นตัวจริงหรือปลอมจากคนที่เข้ามาดึงหน้า อีกทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากใครหลายๆคนเสียอีก
ความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างจอมโจรคิดกับตัวละครในยอดนักสืบจิ๋วโคนัน คือความสัมพันธ์กับตระกูลสึสึกิ ตามท้องเรื่องปรากฏว่าจอมโจรคิดโจรกรรมสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของตระกูลไปหลายครั้ง เช่น อัญมณีแบล็กสตาร์ ไข่อิมพีเรียลอีสเตอร์ของฟาเบลเจ และรองเท้า "เล็บสีม่วง" เป็นต้น สึสึกิ โซโนโกะ ซึ่งเป็นบุตรสาวในตระกูลสึสึกิเองมีความคลั่งไคล้ในจอมโจรคิดเป็นอย่างมาก และมักจะเชียร์จอมโจรคิดให้ประสบความสำเร็จในการโจรกรรมอยู่ร่ำไป เป็นต้น
อีกคนหนึ่งที่จอมโจรคิดมีความสัมพันธ์ด้วยคือที่ปรึกษาประจำบริษัทสึสึกิ สึสึกิ จิโรคิจิ ผู้เป็นลุงของโซโนโกะ ซึ่งได้เดินทางไปรอบโลกเพื่อหาสมบัติทั่วโลกและรางวัลต่างๆ เขาได้โกรธแค้นจอมโจรคิดเพราะเนื่องจากเขาชอบให้ตนเองเป็นข่าวหน้าหนึ่งเสมอ แต่หนังสือพิมพ์ก็ได้พิมพ์ข่าวที่มีจอมโจรคิด แม้แต่หน้าสองก็มี ทำให้จิโรคิจิตัดสินใจว่าจะจับคิดให้ได้ โดยใช้สมบัติต่างๆที่หามาได้เป็นเหยื่อล่อ และส่งสารไปยังจอมโจรคิดเพื่อท้าทายเสมอ แต่จอมโจรคิดก็ไม่ได้นำไปจริง ๆ เพียงแต่มาตามคำท้าเพียงหอมปากหอมคอเท่านั้น ส่วนในกรณีของไข่ฟาเบลเจ จอมโจรคิดได้ขโมยเพื่อจะนำกลับไปคืนเจ้าของที่แท้จริง ซึ่งก็คือหลานสาวของผู้สร้างไข่กลขึ้นมา แต่ก็ถูกสกอร์เปียนทำร้ายไปเสียก่อน แต่ครั้งหนึ่งจิโรคิจิได้แอบส่งสารขอความช่วยเหลือไปยังจอมโจรคิด เพราะลูแปงหมาเลี้ยงของเขาได้ถูกขังไว้ในตู้เซฟที่ที่แข็งแกร่งที่สุดยากนักที่จะไขออกได้ จอมโจรคิดก็ยอมช่วยเหลือจนสามารถไขตู้เซฟพร้อมช่วยลูแปงได้ในที่สุด
เดิมทีแล้วอาโอยาม่าวาดการ์ตูนเรื่องจอมโจรอัจฉริยะและไยบะมาพร้อม ๆ กัน ลงพิมพ์ในนิตยสารโชเน็นซันเดย์และได้รับความนิยมทั้งคู่ จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งในจอมโจรอัจฉริยะที่ได้มีการนำจอมโจรคิดมาเขียนร่วมกับไยบะ และลงตีพิมพ์ในจอมโจรอัจฉริยะฉบับรวมเล่มเล่ม 3 อย่างไรก็ดีเมื่ออาโอยาม่ามาวาดเรื่องยอดนักสืบจิ๋วโคนันซึ่งก็ได้รับความนิยมในทันทีที่มีการวางตลาด อาโอยาม่าก็จำเป็นต้องหยุดเขียนเรื่องจอมโจรอัจฉริยะ แต่อาโอยาม่าก็มิได้ปล่อยให้จอมโจรคิดหายไปจากมังงะแต่อย่างใด จอมโจรคิดได้กลับมาปรากฏตัวในโคนันเล่ม 16 โดยเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโคนันกับจอมโจรคิด ครั้งนั้นเองมีการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยในจอมโจรอัจฉริยะ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของชื่อ ซึ่งในประเทศไทยปรากฏว่ามีผู้ติดตามเรื่องตั้งข้อสังเกตเมื่อได้อ่านยอดนักสืบจิ๋วโคนันเล่ม 55 ว่าที่มาของชื่อของจอมโจรคิดไม่ตรงกัน จนสามารถพิสูจน์ได้ว่าอาจเป็นการแปลผิดของสำนักพิมพ์ หลังจากเล่ม 16 ก็ยังมีการปรากฏตัวของจอมโจรคิดในยอดนักสืบจิ๋วโคนันอยู่เรื่อย ๆ ในขณะที่อาโอยาม่าก็เขียนจอมโจรอัจฉริยะซึ่งเป็นเรื่องหลักของจอมโจรคิดต่อด้วยเช่นกัน แต่ก็เขียนได้อีกแค่เล่มเดียวก็ต้องไปเขียนในยอดนักสืบจิ๋วโคนันต่อ อย่างไรก็ดีทางผู้สร้างอะนิเมะของยอดนักสืบจิ๋วโคนันก็ได้นำเรื่องในจอมโจรอัจฉริยะมาดัดแปลงและทำเป็นเรื่องของยอดนักสืบจิ๋วโคนันแทน โดยต่อไปนี้คือรายการปรากฏตัวส่วนหนึ่งของจอมโจรคิดในยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าจอมโจรคิดเป็นที่รู้จักในบทบาทการปรากฏตัวในยอดนักสืบจิ๋วโคนัน สินค้าที่ทำออกมาที่เกี่ยวกับจอมโจรคิดจึงเป็นสินค้าของยอดนักสืบจิ๋วโคนันแทบทั้งสิ้น ตัวอย่างสินค้าที่ทำออกมาและมีจอมโจรคิดออกมาด้วย เช่น
มีผู้ติดตามเรื่องในประเทศไทยส่วนหนึ่งตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับที่มาของจอมโจรคิด ตามที่ปรากฏในมังงะเล่ม 16 และเล่ม 55 ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ เนื่องจากที่มาของชื่อ "คิด" ที่คุโด้ ยูซากุเป็นคนตั้งตามที่ระบุไว้ในทั้งสองเล่มระบุไม่ตรงกัน โดยในเล่มที่ 16 ดอกเตอร์อากาสะกล่าวว่า "เขา (ยูซากุ) บังเอิญทำเหล้าหกใส่ตัว 1412 เลยอ่านใหม่ได้ว่า เค ไอ ดี KID (คิด)" ในขณะที่เล่มที่ 55 มีการยกคำพูดของคุโด้ ยูกิโกะที่พูดกับโคนันทางโทรศัพท์ว่า "เขา (ยูซากุ) บอกว่านักหนังสือพิมพ์เขียน 1412 หวัด ๆ เขาก็เลยอ่านมันว่าคิด" ผู้ติดตามเรื่องกลุ่มหนึ่งได้สอบทานกับต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น และ Case Closed ซึ่งเป็นหนังสือการ์ตูนยอดนักสืบจิ๋วโคนันฉบับสหรัฐอเมริกา และพบว่าที่มาของชื่อ "คิด" ที่ถูกต้องคือที่มาที่ว่านักหนังสือพิมพ์เขียนหวัดจึงอ่านว่าคิด ดังที่ระบุไว้ในเล่ม 55 เนื่องจากปรากฏในต้นฉบับทั้งสองว่า
ในต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วยคำว่าชาเรรุ (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Shareru) ที่แปลว่าเล่นคำ ซึ่งในต้นฉบับของ Case Closed ใช้คำว่า Redesign ซึ่งตรงกับความหมายเดิมในภาษาญี่ปุ่น แต่ผู้แปลภาษาไทยแยกคำนี้ออกเป็นสองคำ โดยแยกเป็นคำว่า สะเกะ (ญี่ปุ่น: ? โรมาจิ: Sake) ที่แปลว่าเหล้าและ โอชิรุ (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Ochiru) ที่แปลว่าตก, หล่น ทำให้ความหมายผิดเพี้ยนไป