คิมิงะโยะ (ญี่ปุ่น: ??? Kimi ga Yo ?) เป็นเพลงชาติของประเทศญี่ปุ่น และนับได้ว่าเป็นเพลงชาติที่สั้นที่สุดในโลก โดยมีความยาวเพียง 11 ห้องเพลง มีตัวโน้ตเพียง 40 ตัว เนื้อเพลงนั้นมาจากบทกลอนประเภทวะกะในยุคเฮอังของญี่ปุ่น (ระหว่าง ค.ศ. 794-1185) ส่วนทำนองเพลงนั้น ได้ประพันธ์ขึ้นใหม่ในยุคเมจิ โดยทำนองแรกสุดนั้นประพันธ์โดยนักดนตรีชาวไอริชเมื่อ ค.ศ. 1869 ภายหลังราชสำนักญี่ปุ่นจึงเลือกใช้ทำนองเพลงใหม่ ซึ่งเรียบเรียงโดยนักดนตรีชาวญี่ปุ่น เป็นทำนองของเพลงคิมิงะโยะในปัจจุบัน เมื่อ ค.ศ. 1880
แม้ว่าเพลงคิมิงะโยะจะเป็นเพลงชาติของญี่ปุ่นโดยพฤตินัยมานานแล้วก็ตาม แต่การรับรองฐานะทางกฎหมายเพิ่งจะมีขึ้นในปี ค.ศ. 1999 จากการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยธงชาติและเพลงชาติของญี่ปุ่นในปีนั้น ซึ่งหลังจากการผ่านกฎหมายดังกล่าว ก็ได้มีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการขับร้องและบรรเลงเพลงชาติในโรเรียนต่าง ๆ ของญี่ปุ่นขึ้น ด้วยเหตุผลเดียวกับธงฮิโนะมารูอันเป็นธงชาติของญี่ปุ่น กล่าวคือ เพลงคิมิงะโยะอ้างถึงในฐานะสัญลักษณ์ของลัทธิจักรวรรดินิยมและลัทธิทหารของญี่ปุ่น
เนื้อร้องของเพลงคิมิงะโยะนั้น เดิมเป็นบทกลอนยุคเฮอังที่ไม่ทราบว่าผู้ใดแต่งไว้ ปรากฏอยู่ในหนังสือโคะคินวะกะชู หรือ "ประชุมบทร้อยกรองแบบวะกะ" ในความเป็นจริงอาจกล่าวได้ว่า ผู้แต่งกวีบทนี้อาจเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในเวลานั้น แต่ชื่อของเขาไม่ได้รับการบรรจุไว้ในหนังสือดังกล่าว เพราะกวีผู้นั้นอาจมีฐานะทางสังคมที่ตำก็ได้ เพราะกวีในยุคนั้นมักจะไม่ใช่ชนชั้นสามัญชน บทกวีคิมิงะโยะนี้ปรากฏอยู่ในประชุมบทร้อยกรองหลายฉบับ และใช้ในยุคต่อ ๆ มาในลักษณะของเพลงเฉลิมแลองของผู้คนในสังคมชั้นสูง ทั้งนี้ ตอนต้นของบทกวีดังกล่าวมีเนื้อหาต่างจากที่ใช้เป็นเพลงชาติในปัจจุบัน โดยฉบับเดิมจะขึ้นต้นว่า "วะ งะ คิมิ วะ" ("Wa ga Kimi wa", "ท่านผู้เป็นนายแห่งข้า") เนื้อร้องของเพลงนี้ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185 - 1333) เป็น "คิมิ งะ โยะ" (แปลตามตัวคือ "สมัยแห่งท่าน") ดังที่รู้จักกันทุกวันนี้
ในปี ค.ศ. 1869 ในช่วงต้นของยุคเมจิ จอห์น วิลเลียม เฟนตัน (John William Fenton) ผู้นำวงโยธวาทิตชาวไอริช ซึ่งได้เดินทางมาเยือนญี่ปุ่น ได้ตระหนักว่าประเทศญี่ปุ่นยังไม่มีเพลงชาติของตนเอง จึงได้แนะนำให้อิวะโอะ โอยะมะ ข้าราชการชาวญี่ปุ่นแห่งแคว้นซัตสึมะ แต่งเพลงชาติขึ้น ซึ่งโอยะมะก็เห็นด้วยและได้เลือกเอาบทกวีคิมิงะโยะมาใช้เป็นบทร้องของเพลงชาติ เป็นไปได้ว่าที่มีการเลือกเอาบทกวีคิมิงะโยะมาใช้ เพราะเนื้อหาของเพลงคล้ายคลึงกับเพลงก็อดเซฟเดอะควีนของอังกฤษ โดยได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเฟนตัน หลังจากที่ได้เนื้อร้องแล้ว โอยะมะจึงร้องขอให้เฟนตันช่วยประพันธ์ทำนองเพลง เขาจึงใช้เวลาในการแต่งทำนองเพลง 3 สัปดาห์ และใช้เวลาในการซ้อมนักดนตรีในเวลาไม่กี่วัน ก่อนจะบรรเลงเพลงนี้ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระจักรพรรดิในปี ค.ศ. 1870 ทำนองเพลงดังกล่าวนี้คือทำนองฉบับแรกของเพลงคิมิงะโยะ ซึ่งต่อมาได้เลิกใช้ด้วยเหตุผลว่า ทำนองนี้ "ยังขาดความเคร่งขรึม" อย่างไรก็ตาม เพลงคิมิงะโยะทำนองนี้ปัจจุบันยังคงมีการบรรเลงปีละครั้ง ที่ศาลเจ้าเมียวโคจิ เมืองโยโกฮามา ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแต่เฟนตัน ผู้ได้รับหน้าที่เป็นผู้นำวงโยธาวาทิตของญี่ปุ่นประจำเมืองนี้
ในปี ค.ศ. 1880 สำนักพระราชวังของญี่ปุ่นได้เลือกทำนองเพลงคิมิงะโยะใหม่ ซึ่งประพันธ์โดย โยะชิอิสะ โอกุ และอะกิโมะริ ฮะยะชิ ผู้ประพันธ์เพลงอีกคนหนึ่งที่มักได้รับการกล่าวถึงรวมอยู่ในกลุ่มผู้แต่งทำนองนี้ด้วย คือ ฮิโระโมะริ ฮะยะชิ ซึ่งเป็นผู้ดูแลงานของทั้งสองคน เป็นพ่อของ อะกิโมะริ ฮะยะชิ อีกด้วย ทั้งนี้ ตัวอะกิโมะริเองก็เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของเฟนตันด้วย แม้ทำนองใหม่นี้จะมีพื้นฐานจากทำนองเพลงของราชสำนักโบราณก็ตาม แต่ก็มีการผสานเข้ากับดนตรีประเภทเพลงสรรเสริญ (hymn) ของชาติตะวันตก และใช้บางส่วนที่เฟนตันได้เรียบเรียงไว้แต่เดิมด้วย โดยฟรานซ์ เอ็คเคิร์ต (Franz Eckert) นักดนตรีชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงทำนองเพลงนี้ให้มีความกลมกลืนแบบตะวันตกมากยิ่งขึ้น นับได้ว่าเป็นการแต่งเพลงคิมิงะโยะฉบับที่ 2 และเป็นฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน และนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1893 เป็นต้นมา เพลงคิมิงะโยะบรรจุให้ใช้ในพิธีการของโรงเรียนรัฐบาลด้วยการผลักดันของทางกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่น เพลงนี้บรรเลงด้วยบันไดเสียง ซี เมเจอร์
ขอแผ่นดินแห่งพระองค์จง
อยู่ยงยั้งพันปี
แปดพันปี
ตราบจนกว่าเมล็ดกรวด
เกิดก่อเป็นแท่งภูผา
แลปกคลุม ด้วยผืนตะไคร่
ตามรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น ซึ่งได้ตราไว้เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1946 สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นไม่ทรงมีฐานะเป็นองคือธิปัตย์ แต่ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของชนในรัฐ
ในปี ค.ศ. 1999 ระหว่างการพิจารณากฎหมายว่าด้วยธงชาติและเพลงชาติของญี่ปุ่น มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายอย่างเป็นทางการของคำว่า "คิมิ" และ "คิมิงะโยะ" อยู่หลายครั้ง ในวันที่ 29 มิถุนายนของปีนั้น นายกรัฐมนตรีเคโซ โอะบุชิ จึงได้เอ่ยถึงนิยามของทั้งสองคำไว้ดังนี้
"คิมิ" หมายถึงองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ ผู้ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของชนในรัฐ และพระราชสถานะของพระองค์นั้นได้มาจากฉันทามติของมหาชนชาวญี่ปุ่นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย และวลี "คิมิงะโยะ" หมายถึงรัฐของเรา ซึ่งก็คือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิได้ทรงขึ้นครองราชย์ในฐานะสัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของชนในรัฐ โดยฉันทามติของมหาชนชาวญี่ปุ่น นี่จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุผลในการใช้บทร้อง "คิมิงะโยะ" เพื่อแสดงความหมายถึงความปรารถนาให้ชาติของเราดำรงไว้ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขชั่วกาลนาน
กัมพูชา ? กาตาร์ ? เกาหลีเหนือ ? เกาหลีใต้ ? คาซัคสถาน ? คีร์กีซสถาน ? คูเวต ? จอร์เจีย ? จอร์แดน ? สาธารณรัฐประชาชนจีน ? สาธารณรัฐจีน: เพลงชาติ, เพลงธงชาติ ? ซาอุดิอาระเบีย ? ซีเรีย ? ไซปรัส ? ญี่ปุ่น ? ติมอร์-เลสเต ? ตุรกี ? เติร์กเมนิสถาน ? ทาจิกิสถาน ? ไทย ? เนปาล ? บังกลาเทศ ? บาห์เรน ? บรูไน ? ปากีสถาน ? พม่า ? ฟิลิปปินส์ ? ภูฏาน ? มองโกเลีย ? มัลดีฟส์ ? มาเลเซีย ? เยเมน ? รัสเซีย ? ลาว ? เลบานอน ? เวียดนาม ? ศรีลังกา ? สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ? สิงคโปร์ ? อัฟกานิสถาน ? อาเซอร์ไบจาน ? อาร์เมเนีย ? อินเดีย ? อินโดนีเซีย ? อิรัก ? อิสราเอล ? อิหร่าน ? อุซเบกิสถาน ?
เคอร์ดิสถาน (อิรัก, ตุรกี, อิหร่าน, ซีเรีย) ? นากอร์โน-คาราบัค (อาเซอร์ไบจาน) ? ปาเลสไตน์ (ยังเป็นที่ถกเถียง) ? Deg o Tegh o Fateh (ชาวซิกข์) สาธารณรัฐตุรกีแห่งไซปรัสเหนือ (ยังเป็นที่ถกเถียง) ? ตูวา (รัสเซีย) ? รัฐบาลพลัดถิ่นของทิเบต ? เซาท์ออสซีเชีย (ยังเป็นที่ถกเถียง) ?