คาราเต้ (ญี่ปุ่น: ?? karate คะระเตะ ?) หรือ คาราเต้โด (ญี่ปุ่น: ??? karated? คะระเตะโด, วิถีมือเปล่า ?) เป็นศิลปะการต่อสู้ถือกำเนิดที่โอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นการผสมผสานระหว่างการต่อสู้ของชาวโอะกินะวะและชาวจีน คาราเต้ได้เผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) เมื่อชาวโอะกินะวะอพยพเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น
คาราเต้มักถูกเข้าใจผิดว่า เป็นการต่อสู้ด้วยการฟันอิฐ แต่ที่จริงแล้ว คือการต่อสู้ด้วยการใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น กำปั้น เท้า สันมือ นิ้ว ศอก เป็นต้น แต่เมื่อถูกดัดแปลงเป็นกีฬาแล้วเหลือเพียงมือและเท้า
สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 โอะกินะวะได้มีการติดค้ากับทางจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีมานานมากตั้งแต่สมัยอดีต ในขณะนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วิชาการความรู้แขนงต่างๆ รวมถึงศิลปะการป้องกันตัว โอะกินะวะได้มีศิลปะการต่อสู้ประจำอยู่แล้ว และได้ผสมผสานกับทักษะที่ได้รับมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งก็คือมวยใต้ จนสามารถเรียกไดว่าญี่ปุ่นเป็นต้นป้นกำเนิดของคาราเต้ โดยโอะกินะวะจะเรียกศิลปะป้องกันตัวของตนเองว่า โทเต้ (??Tode) ในภาษาโอะกินะวะ หรือในภาษาญี่ปุ่นจะเรียก โอะกินะวะเต้?(??? Okinawa Te) โดย โอะกินะวะเต้ จะมีวิชาที่สามารถแยกเป็นจุดเด่นของแต่ละสำนัก หลักๆ ได้แก่ 3 สำนักหลัก ซึ่งชื่อสำนักได้ตั้งตามชื่อเมืองใหญ่ที่วิชานั้นๆ อาศัยอยู่ ได้แก่ ชูริเต้(Shuri Te) นาฮาเต้(Naha Te) และโทมาริเต้(Tomari Te)
โซคอน มัทสุมูระ (Sokon Mutsumura) ผู้เชี่ยวชาญแห่งชูริเต้ได้เดินทางไปจีนเพื่อศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมความรู้ของตนและนำกลับมาพัฒนาชูริเต้ ความรู้ใหม่ที่โซคอนนำมาก็คือ ทักษะของมวยสิงอี้ฉวน ต่อมา โชกิ โมโตบุ Shoki Motobu ผู้เชี่ยวชาญแห่งชูริเต้ ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับ T'ung Gee Hsing (ผู้สืบทอดวิชาสิงอี้ และปากั้ว ซึ่งอพยพมาอยู่ที่โอะกินะวะ)
ต่อมาปีค.ศ. 1922 ฟูนาโกชิ กิชิน ลูกศิษย์ของ อังโก อิโตสึ (Anko Itosu) แห่งชูริเต้ ได้พัฒนาคาราเต้ และเผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการที่โตเกียวโดยได้รับการสนับสนุนของ จิกาโร่ คาโน (Jikaro Kano) ผู้ก่อตั้งยูโดโคโดกัน Kodokan Judo และต่อมา บรรดาศิษย์ของฟูนาโกชิ ได้เรียกรูปแบบการสอนของฟูนาโกชิว่า โชโต (Shoto ??) ตามนามปากกาของท่าน และได้เรียกโรงฝึกแห่งแรกของท่านว่า โชโตกัน (???)
คันเรียว ฮิกาอนนะ (Kanryo Higaonna) ลูกศิษย์ของ อาราคากิ เซย์โช (Arakagi Seisho) ผู้เชี่ยวชาญนาฮาเต้ ได้เดินทางสู่ฟูเจี้ยนเพื่อหาประสบการณ์และศึกษาวิชาการต่อสู้ของจีน ได้เรียนกับ เซี่ยจงเสียง ( ???Xie zongxiang 1852-1930) หรืออีกชื่อหนึ่ง ริวริวโก (??? Ryu Ryu Ko) ผู้เชี่ยวชาญมวยกระเรียนหมิงเฮ่อฉวน (??? Minghe Quan) และเดินทางกลับมาพัฒนานาฮาเต้ ต่อมา โชจุน มิยากิ (?? ?? Miyagi Chojun, 1888-1953) ผู้สืบทอดนาฮาเต้ของคันเรียว ได้เปลี่ยนชื่อสำนักนาฮาเต้ เป็น โกจูริวคาราเต้ (?????) เพื่อพัฒนาให้ทันสมัย และได้เข้ามาในญี่ปุ่นและเริ่มทำการสอนคาราเต้ (แต่เดิมสอนอยู่ในโอะกินะวะ) เป็นเวลาไม่นานนักหลังจาก ฟูนาโกชิ แห่งโชโตกัน
หลังจากที่ มิยากิ ได้ทำการสอนในญี่ปุ่นและโอะกินะวะ ท่านได้ตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อกราบเซี่ยจงเสียงเป็นอาจารย์ ศึกษาในด้านของมวยจีนตามแบบอาจารย์ของตน และได้กลับมาญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อเรียบเรียงตำราการฝึกสอนของสำนักโกจูริวขึ้นใหม่ ให้เหมาะสมกับที่ท่านได้เรียนรู้มา
ปัจจุบันประวัติศาสตร์ส่วนนี้มีประเด็นถกเถียงกันว่า เซี่ยจงเสียง กับ ริวริวโก เป็นคนละคนกัน เนื่องจากบันทึกของ มิยากิโชจุน กล่าวไว้ว่า ตอนที่เดินทางไปฟุเจี้ยนกราบ ริวริวโก เป็นอาจารย์ถึงได้ทราบว่า ริวริวโกเสียชีวิตไปแล้ว จึงได้กราบ เซี่ยจงเสียงเป็นอาจารย์แทน(ขณะนั้น เซี่ยจงเสียงได้รับสมญานามว่า หรูเกอ หรือ ริวโก ซึ่งแปลว่าเหมือนดั่งพี่ชาย หรือเหมือนดั่งครู ไม่ใช่ หรูหรูเกอ หรือ ริวริวโก) และจากประวัติที่ คันเรียว ฮิกาอนนะไปกราบ ริวริวโกเป็นอาจารย์ ขณะนั้น เซี่ยจงเสียงยังเป็นเพียงเด็กอายุ13ปี(คันเรียว ฮิกาอนนะ อายุมากกว่า เซี่ยจงเสียง1ปี) ซึ่งในขณะนั้น ริวริวโกได้รับ นากาอิมะ โนริซาโต้(??????Nakaima Norisato )ผู้ก่อตั้งสำนักริวเอริว(???) เป็นศิษย์มานานกว่าสิบปีแล้ว
ในขณะที่ มิยากิ เดินทางไปจีนแผ่นดินใหญ่ หนึ่งในนักเรียนที่ดีที่สุดของ มิยากิ ที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่นก็คือ โกเกน ยามากูจิ?(??????Gogen Yamaguchi, 1909-1989) ฉายา THE CAT ผู้ได้รับสายดำระดับ 10 ดั้งจากมิยากิ ได้ทำการสอนต่อไปในญี่ปุ่น โดยยึดหลักการสอนแบบดั้งเดิมที่ได้เรียนรู้จากมิยากิ ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่จีน
ภายหลังจึงเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกสำนักโกจูริว เป็น 2 พวก คือ โกจูริว ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงท่าใหม่ ซึ่งผสมผสานศิลปะของมวยจีน โดย โชจุน มิยากิ และ โกจูไก พวกที่มีการสอนในญี่ปุ่นตั้งแต่แรกเริ่ม โดย โกเกน ยามากูจิ
คำว่า "คาราเต้" เดิมทีมาจากการออกเสียงแบบชาวโอะกินะวะ ตัว "คารา" ? ในภาษาจีน หมายถึง "ประเทศจีน" หรือ "ราชวงศ์ถัง" ส่วน "เต้" ? หมายถึง มือ คาราเต้ หมายความว่า "ฝ่ามือจีน" หรือ "ฝ่ามือราชวงศ์ถัง" หรือ "กำปั้นจีน" หรือ "ทักษะการต่อสู้แบบจีน" ในรูปแบบการเขียนแบบนี้ "ฝ่ามือราชวงศ์ถัง" จึงหมายถึง การต่อยมวยแบบถัง หรือ "ฝ่ามือจีน" ก็บ่งบอกถึงอิทธิพลที่รับมาจากลักษณะการต่อสู้ของชาวจีน ในปีค.ศ. 1933 หลังจากสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 2 กิชิน ฟุนาโคชิ (???? Funakoshi Gichin, 1868-1957) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ บิดาแห่งคาราเต้สมัยใหม่ ได้เปลี่ยนตัวอักษร "คารา" ไปเป็นตัวอักษรที่มีเสียงเหมือนกันแต่มีความหมายว่า "ความว่างเปล่า" ? แทน
เมื่อปีค.ศ. 1936 หนังสือเล่มที่สองของฟุนาโคชิใช้ตัวอักษร "คารา" ที่มีความหมายว่าความว่างเปล่า และในการชุมนุมบรรดาอาจารย์ชาวโอะกินะวะก็ใช้ตัวอักษรเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมาคำว่า "คาราเต้" (ซึ่งออกเสียงเหมือนเดิม แต่ใช้ตัวอักษรใหม่) จึงหมายถึง "มือเปล่า"
คำว่า "มือเปล่า" ไม่เพียงแต่นักคาราเต้จะต่อสู้โดยปราศจากอาวุธแล้ว ยังซ่อนความหมายตามความเชื่อแบบเซ็นไว้ด้วย เพราะตามวิถีแห่งเซ็นการพัฒนาความสามารถ และศิลปะของแต่ละบุคคล จะต้องทำจิตใจให้ว่างเปล่า ละเว้นจากความปรารถนา ความมีทิฐิและกิเลสต่างๆ
คาราเต้ แปลว่า วิถีแห่งการใช้มือ (ร่างกาย) ต่อสู้โดยปราศจากอาวุธ วิถีแห่งคาราเต้เป็นวิธีการดึงพลังจากทั้งร่างมารวมให้เป็นหนึ่งในการต่อสู้โจมตี ซึ่งความรุนแรงของการโจมตีนั้นมีคำกล่าวถึงว่า "อิคเคน ฮิซัทสึ"(????) หรือ "พิชิตในหมัดเดียว" สิ่งที่สำคัญของคาราเต้คือการต่อสู้กับตนเอง เช่นการฝึกยั้งแรงการโจมตี โดยใช้ในการหยุดโจมตีเมื่อสัมผัสร่างกายคู่ต่อสู้แม้เพียงเล็กน้อย เพื่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บไม่มากและป้องกันการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการฝึกการกำหนดความรุนแรงของการโจมตี เมื่อผู้ฝึกสามารถยั้งแรงได้ เขาก็จะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีได้จนถึงขีดความสามารถเช่นเดียวกัน
คำว่า โด แปลว่า วิถีทาง ลู่ทาง ศาสตร์ อีกทั้งยังหมายถึงปรัชญาเต๋าอีกด้วย โด เป็นคำต่อท้ายที่ใช้สำหรับศิลปะหลายชนิด ให้ความหมายว่า นอกจากจะศิลปะเหล่านั้นจะเป็นทักษะแล้ว ยังต้องมีพื้นฐานของจิตวิญญาณอยู่ด้วย สำหรับในความหมายที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้ อาจจะแปลได้ว่า "วิถีแห่ง..." เช่น ใน ไอคิโด ยูโด เคนโด ดังนั้น "คาราเต้โด" จึงหมายถึง "วิถีแห่งมือเปล่า"
"โด" แบบปรัชญา ด้วยความหมายที่แปลว่า วิถีทาง และเป็นชื่อศาสนาเต๋าของศาสดาเหล่าจื๊อ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในด้านปรัชญาพุทธศาสนานิกายเซนของญี่ปุ่น การตีความหมายคำนี้ จึงอาจมองได้ว่า วิถีทางการดำเนินชีวิต จิตวิญญาณของนักคาราเต้ เป็นต้น ซึ่งนักคาราเต้บางท่าน อาจใช้ คาราเต้ เป็นวิถีแห่งการเข้าถึง จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ(เต๋า เซน) ได้ ดังนั้น คำว่า "โด" ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนจำมีวิธีการในการเดินแตกต่างกัน
"โด" แบบกีฬา จริง ๆ ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีทั้งคำว่า คาราเต้ และ คาราเต้โด ทำไมต้องเพิ่มคำว่า โด คำว่า "โด" เริ่มใช้ครั้งแรกในศิลปะป้องกันตัว ยูโด โดยปรมาจารย์จิกาโร่ คาโน แห่งโคโดกันยูโด เพื่อเปลี่ยนแปลง และแบ่งแยกวิชาใหม่ โดยแยกตัวออกจากวิชา ยูยิทสุ ซึ่งยูโดได้ตัดทอนกระบวนท่าที่อันตรายออกไป เพื่อการฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ และสามารถจัดการแข่งขันได้
คาราเต้ แต่เดิมไม่มีคำว่าโด เช่นกัน แต่ก่อนจะเรียกว่า คาราเต้จิทสุ หรือว่า คาราเต้ แต่เริ่มใช้คำว่า "โด" เมื่อมีการจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศ ซึ่งต้องรวมนักคาราเต้จากทั้ง 4 สำนักใหญ่เข้าไว้ จึงต้องบัญญัติกฎการแข่งขันใหม่ ลดทอนการจู่โจมที่อันตราย และสามารถแข่งขันกันได้อย่างเต็มที่ และเป็นกลางที่สุด คำว่า "โด" ในคาราเต้จึงเกิดขึ้น และมีความหมายว่า วิถีทางการต่อสู้ในรูปแบบของคาราเต้ ซึ่งคำว่าคาราเต้โด โดยมากจะใช้ในการแข่งขัน
ขั้นตอนการฝึกของคาราเต้โด จะเริ่มต้นที่การสอนธรรมเนียมปฏิบัติ เช่นท่าเคารพต่าง ๆ การปฏิบัติตนต่อเซนเซ (อาจารย์) เซมไป (รุ่นพี่) มารยาทในโดโจ (โรงฝึก) ระเบียบในการฝึกต่างๆ แล้วจึงสอนหลักในวิชาคาราเต้ โดยจะเริ่มต้นที่การยืนในท่าชิเซนไต (ท่ายืนธรรมชาติ), ซึกิ (ท่าชก), อุเกะ (ท่าปัดป้อง), เกริ (ท่าเตะ), ดาจิ (ท่ายืนและการย่างก้าว) และนำท่าชกปัดหรือเตะมารวมกับท่าย่างก้าว จนเป็นท่ากิฮ้อง (พื้นฐาน) ต่างๆ เมื่อนำท่าพื้นฐานมาฝึกเข้าคู่กัน โดยให้ฝ่ายหนึ่งบุกฝ่ายหนึ่งรับ ก็จะเป็นการฝึกเพื่อเพิ่มทักษะคูมิเต้ (การต่อสู้) และที่การรวมท่าพื้นฐานต่างๆ มาร้อยเรียงเป็นเพลงมวยไว้รำ หรือที่เรียกว่ากาต้า เพื่อใช้ฝึกสมาธิ และเทคนิครูปแบบในการต่อสู้ต่างๆ
สิ่งสำคัญที่จะรวมเป็นนักคาราเต้ที่ดีได้ต้องมีทั้งความเป็น "คาราเต้" และต้องมี "โด" ในจิตใจ โดย คาราเต้ ต้องประกอบด้วย 3K คือ Kihon (?? กิฮ้อง) เป็นท่าพื้นฐาน?Kumite (?? คุมิเต้) เป็นการต่อสู้?Kata (? คาตะ) เป็นท่าเพลงมวย รวมแล้วเป็น KARATE ( ?? คาราเต้ ) เป็นการฝึกเพื่อให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง และสามารถต่อสู้ป้องกันตัว ช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในยามคับขัน และสิ่งสุดท้ายคือ DO (? โด) ในคำว่า?คาราเต้โด คือการฝึกตนเองให้มีระเบียบวินัยต่อตนเองและผู้อื่น มารยาทกาลเทศะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และหลักปรัชญาพุทธนิกายเซน โดย โด เป็นสิ่งที่ควบคุมจิตใจไม่ให้นักคาราเต้ไปทำร้ายผู้อื่นได้เหมือนดาบในฝัก ดังนั้นนักคาราเต้จึงไม่เป็นแค่นักสู้เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีงามอีกด้วย
ในคาราเต้ คาตะมีความสำคัญมาก คาตะสามารถบ่งบอกถึงลักษณะเด่นของในคาราเต้แต่ละสำนักได้ว่า สำนักนั้น ๆมีจุดเด่นในการต่อสู้อย่างไร รวมไปถึงระดับความสามารถของบุคคลที่ร่ายคาตะออกมาด้วยว่าอยู่ในระดับไหน มีความรู้ในด้านคาราเต้อย่างไร ในปัจจุบันมีสำนักคาราเต้มากมาย และในแต่ละสำนักก็จะมีคาตะที่ไม่เหมือนกัน ตามแต่ว่าคาราเต้ในสายนั้น ๆ จะสืบทอดต่อกันมาใน โอะกินะวะ-เต้ ชนิดใด
1. การแสดง KATA จะต้องแสดงด้วยความสมบูรณ์ และต้องแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความหมายของแต่ละท่า ในการประเมิน ความสามารถ ของผู้แข่งขันกรรมการ จะดูจาก
J.) ในการแข่งขัน KATA แบบทีมจะดูความกลมกลืนและพร้อมเพรียงกัน โดยไม่ใช้การบอกใบ้ จากการใช้ท่าทางภายนอกมาเป็นปัจจัยในการตัดสินด้วย
2. ใน 2 รอบแรก ผู้แข่งขันที่ใช้ท่าอื่นนอกเหนือจากท่าที่กำหนดจะถูกตัดสิทธิ และผู้แข่งขันที่หยุดชะงักในระหว่าง การแสดง KATA หรือ ผู้ที่แสดง KATA นอกเหนือจากที่ได้ประกาศไว้ จะต้องถูกตัดสิทธิด้วย
I. KATA ไม่ใช่การเต้นรำหรือการแสดงละคร ดังนั้นจะต้องยึดมั่นในคุณค่าของเก่าและหลักการดั้งเดิมไว้ จะต้องจริงจังเหมือนในการต่อสู้จริง และแสดงสมาธิ, พลัง, และประสิทธิภาพในการปะทะในเทคนิคของมัน และจะต้องแสดงความแข็งแกร่ง, พลัง, และความเร็ว เช่นเดียวกับท่วงท่าลีลาที่สวยงาม, จังหวะ, และการทรงตัว
IV. คำสั่งให้เริ่มและหยุดการแสดง, การกระทืบเท้า, การตบอก แขน หรือเสื้อ, และการหายใจออกอย่างไม่เหมาะสม เป็นตัวอย่างการบอกใบ้จากภายนอก และจะนำมาพิจารณาในการตัดสินด้วย
การแข่งขันของคาราเต้นั้น สามารถแบ่งออกเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ตามการต่อสู้ของแต่ละสำนัก และวัตถุประสงค์ของการแข่งขัน ซึ่งการต่อสู้ของแต่สำนักนั้นย่อมไม่เหมือนกัน จึงมีทั้งรูปแบบการแข่งของสำนัก และแบบสากลที่ได้รับการยอมรับกัน
รูปแบบของ JKA (Japan Karate Association) เป็นรูปแบบเฉพาะของสำนักโชโตกัน เอาไว้ใช้แข่งขันกันภายในสำนัก โดยจะเก็บแค่ 1 คะแนน หรือ อิป้งโชบุ ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ต้องอาศัยจิตใจ และความสามารถทางด้านคาราเต้อย่างสูง เพราะแค่ประมาทเพียงนิดเดียวสามารถเสียแต้มได้ ซึ่งทางโชโตกันจะมองว่า การโจมตีเพียงหนึ่งหมัดก็สามารถปลิดชีพได้แล้ว ดังนั้นในการแข่งถ้าพลาดแม้แต่หมัดเดียวก็ถือว่าพ่ายแพ้แล้ว ในการตัดสินแต้มนั้นจะต้องเกิดจากความเร็ว รุนแรง ความถูกต้องของคาราเต้ จังหวะ ระยะ และจิตใจที่มุ่งโจมตี ทั้งหมดจะต้องทำให้สมบูรณ์มากที่สุด ถึงจะสามารถสั่งหยุดการแข่งขัน และตัดสินให้แต้มได้ โดยมากการแข่งประเภทนี้ จะนิยมออกอาวุธเพียงหมัดเดียวเพื่อตัดสินแพ้ชนะกัน ดังนั้นการต่อสู้จึงเน้นที่จะ ทำจังหวะ ระยะ ที่ดีที่สุด ไม่เน้นการโจมตีหลายครั้งเนื่องจากถ้าเคลื่อนไหวมากเกินไป หรือโจมตีด้วยความประมาทอาจจะทำให้เกิดความเพลี้ยงพล้ำได้ ซึ่งรูปแบบการแข่งนี้เป็นต้นแบบการแข่งขันคาราเต้ ซึ่งนำมาใช้ในการแข่งขันคาราเต้ครั้งแรก ที่ประเทศญี่ปุ่น และสำนักอื่นๆ ได้นำรูปแบบกติกานี้ไปประยุกต์ใช้ในสำนักของตน
รูปแบบสากล WKF(World Karate Federation) ที่ใช้ในการแข่งขันระดับชาติเช่น ซีเกมส์ เอเซี่ยนเกมส์ ชิงแชมป์โลก ซึ่งกฎกติกานั้น ทางสหพันธ์คาราเต้โลก ได้กำหนดไว้เพื่อเป็นมาตรฐาน โดยแข่งขันจะเก็บคะแนนที่ 8แต้ม ใครสามารถทำแต้มได้สูงกว่าในกำหนดเวลา หรือว่าสามารถชิงได้ 8แต้มก่อนถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งการแข่งนี้ ได้นำเอาการแข่งขันของ JKA มาเป็นต้นแบบ แต่ปรับเรื่องการให้คะแนน จำนวนคะแนนในการตัดสิน และบทลงโทษของการแข่งขัน เพื่อพัฒนาคาราเต้ให้เป็นกีฬาสากล
รูปแบบฟูลคอนแทค เป็นรูปแบบการแข่งขันของคาราเต้ สำนักเคียวคุชิน และสำนักอื่นๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว รูปแบบกติกานี้จะนิยมใช้กันในหมู่สำนักที่มาจากเคียวคุชินคาราเต้ การแข่งแบบฟูลคอนแทคนั้น จะไม่สามารถโจมตีใบหน้าด้วยเทคนิคการใช้มือ-แขน หรือศอกได้ การโจมตีใบหน้าสามารถทำได้แค่การเตะ หรือเข่าเท่านั้น ระบบการให้คะแนนจะเป็นรูปแบบที่ว่าชกโดนคู่ต่อสู้กี่ครั้ง คล้ายๆมวยสากล และถ้าสามารถโจมตีเพียงหมัดเดียวให้คู่ต่อสู้น๊อคดาวน์ หรือโจมตีจนกว่าคู่ต่อสู้จะแสดงอาการบาดเจ็บได้ ก็จะเป็นฝ่ายชนะทันที
การแข่งขันในระดับสากล เช่นการแข่ง เอเซี่ยนเกมส์ ซีเกมส์ หรือแข่งชิงแชมป์โลก หรือชิงแชมป์ทวีป ประเทศ จังหวัด หรือเขต จะต้องควบคุมการแข่งขันกับสมาคมที่ควบคุมดูแลโดยสหพันธ์คาราเต้โลก(WKF) และใช้กฎการแข่งสากล หรือที่เรียกกันว่า กฎ WKF
แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงิน (อาโอะ) และแดง (อากะ) มีกรรมการธง 3 คนรอบขอบสนาม กรรมการชี้ขาด 1 คนในสนาม กรรมการจดบันทึกอีก 1 คนที่หน้าโต๊ะกรรมการ ซึ่งกรรมการทั้งหมดนี้ จะอยู่ในการควบคุมดูแลโดยกรรมการชุดใหญ่อีกทีหนึ่ง ซึ่งกรรมการชุดใหญ่นี้จะเป็นชุดที่คอยควบคุมดูแลการแข่งขันทั้งหมด
ในการแข่ง Kumite การแข่งขันของฝ่ายชายไม่ว่าจะเป็นการแข่งประเภททีมหรือบุคคลใช้เวลา 3 นาที ส่วนการแข่ง ของผู้หญิง, เด็ก, หรือผู้ฝึกใหม่ใช้เวลา 2 นาที
เวลาในการแข่งเริ่มต้นเมื่อกรรมการผู้ชี้ขาดให้สัญญาณเริ่ม และการแข่งขันจบลงเมื่อกรรมการผู้ชี้ขาดสั่งว่า “YAME (หยุด)” (จะหยุดก็ต่อเมื่อกรรมการชี้ขาดเห็นว่ามีการทำและได้คะแนนเกิดขึ้น)
ผู้รักษาเวลาควรให้สัญญาณหรือกดออดที่เสียงดังชัดเจน เพื่อบอกว่าเหลือเวลา 30 วินาที และ เมื่อหมดเวลาการแข่ง
7. การใช้เทคนิคหรือโจมตีคู่ต่อสู้เสร็จสมบูรณ์ในขณะหมดเวลาพอดีถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าผู้แข่งขันยังโจมตีหลังจาก หมดเวลาการแข่งขันแล้ว หรือหลังจากคำสั่งหยุดของกรรมการผู้ชี้ขาดถือว่าไม่ได้คะแนน และอาจถูกลงโทษ ได้เนื่องจากเป็นการเอาเปรียบคู่ต่อสู้
8. กรณีผู้แข่งขันทั้งสองทำการต่อสู้นอกพื้นที่แข่ง ทั้งสองจะไม่ได้คะแนนถึงแม้ว่าสามารถใช้เทคนิคโจมตีได้อย่าง สมบูรณ์ แต่ในกรณีที่มีคนใดคนหนึ่ง ใช้เทคนิคการโจมตีอย่างสมบูรณ์ขณะอยู่ในพื้นที่แข่ง และ กรรมการผู้ชี้ขาด ยังมิได้ประกาศ “YAME” เพื่อหยุดการแข่งขันกรรมการผู้ชี้ขาดสามารถพิจารณาให้คะแนน ผู้แข่งขันคนนั้นได้
9. ถ้าผู้แข่งขันทั้งสองสามารถใช้เทคนิคการต่อสู้ในเวลาเดียวกัน(Aiuchi) ผู้แข่งขันทั้งสองก็จะไม่ได้คะแนน
I. การจับตัวคู่ต่อสู้และทุ่มนั้น สามารถทำได้ต่อเมื่อกระทำหลังจากการใช้เทคนิคจู่โจมของคาราเต้ก่อน หรือคู่ต่อสู้ ได้ทำการจู่โจมและพยายามทุ่มหรือจับตัว
II. เพื่อความปลอดภัย การทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้ในลักษณะต่อไปนี้ ห้ามกระทำและจะถูกเตือนหรือปรับโทษ การทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้โดยมิได้ยึดเหนี่ยว, อันตราย, หรือแกนการหมุนอยู่เหนือระดับสะโพก แต่มีข้อยกเว้น ในการทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้ที่สามารถใช้ได้คือ เทคนิคการปัดเท้าคาราเต้แบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ต้องมีการจับยึดคู่ต่อสู้ (De Ashi-barai, Ko uchi gari, Kaui waza, etc) การทำคะแนนหลังจากทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้ : กรรมการผู้ชี้ขาดจะให้เวลาประมาณ 2-3 วินาที หลังจากการทุ่มหรือโยน เพื่อให้โอกาสเข้าทำคะแนน
III. การจู่โจมด้วยท่าทางที่ดี (Good Form) หมายถึง การจู่โจมที่มีลักษณะตรงตามบรรทัดฐานของคาราเต้ดั้งเดิม
IV. ทัศนคติทางกีฬา (Sport Attitude) หมายถึง การจู่โจมด้วยท่าทางที่ดี และไม่มีความตั้งใจที่ จะปองร้ายหรือมุ่งร้าย ต่อคู่ต่อสู้ในขณะที่ใช้เทคนิคจู่โจมทำคะแนน
V. การใช้พลังและความเร็ว (Vigorous Application) หมายถึง การแสดงให้เห็นถึงพลังและความเร็ว ในการใช้เทคนิคจู่โจมและแสดงความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่ต้องการให้การจู่โจมสำเร็จ
VI. การระวังการจู่โจมกลับ Awareness (Zanshin) เป็นบรรทัดฐานหนึ่งที่ไม่ค่อย ได้นำมาประกอบการให้คะแนน ซึ่งจะเป็นสภาวะต่อเนื่องจากการโจมตี โดยที่นักกีฬาต้องรักษาระดับสมาธิ, การสังเกตคู่ต่อสู้, และการระวัง ความเป็นไปได้ของการถูกโจมตีกลับจากคู่ต่อสู้ขณะที่ตนเองเข้าทำการจู่โจม เช่น ไม่หันหน้าหนีจากคู่ต่อสู้ ขณะที่ทำการจู่โจมคู่ต่อสู้
VIII. ระยะการจู่โจม (Correct Distance) หมายถึง การจู่โจมคู่ต่อสู้ในระยะที่เหมาะสม ทำให้การจู่โจม มีประสิทธิผลสูงสุด หากทำการจู่โจมขณะคู่ต่อสู้กำลังถอยหลังอย่างเร็วนั้น ผลการจู่โจมก็จะลดลง
IX. ระยะหยุด (Distancing) หมายถึง เมื่อสิ้นสุดการจู่โจมอวัยวะที่ใช้ในการจู่โจม เช่นการเตะหรือชกใบหน้า ควรหยุดลงเมื่อสัมผัสผิวเป้าหมาย หรืออาจมีระยะห่างประมาณ 2-3 เซนติเมตรจากเป้าหมายแต่หากเป็น การต่อยแบบ(Jodan Punch) ซึ่งมีระยะการหยุดที่เหมาะสมและคู่ต่อสู้ไม่ได้แสดงถึงความพยายามที่จะปัด หรือหยุด หรือหลบหลีกใดๆ คะแนนสามารถให้ได้ ทั้งนี้การจู่โจมต้องได้มาตรฐานการจู่โจมในข้ออื่นด้วย
X. เทคนิคการจู่โจมที่ไร้ค่า คือการใช้เทคนิคการจู่โจมที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการให้คะแนน จะไม่ได้รับ คะแนน ไม่ว่าการจู่โจมนั้นจะกระทำในรูปแบบใดหรือถูกเป้าหมายใด เช่น การจู่โจมที่ขาดท่าทางที่ดี หรือขาดพลังและความเร็ว
XI. การโจมตีที่ต่ำกว่าสายคาดเอวยังอาจได้คะแนน ถ้าการโจมตีนั้นกระทำบริเวณที่สูงกว่ากระดูกบริเวณหัวเหน่า, คอ และคอหอยก็เป็นเป้าหนึ่งถ้าผู้แข่งขันสามารถโจมตีไปยังจุดดังกล่าวได้ โดยไม่โดนหรือสัมผัสก็จะได้คะแนน
XII. การโจมตีคู่ต่อสู้อย่างสวยงามบริเวณเหนือบ่าอาจทำให้ผู้โจมตีได้คะแนน จุดโจมตีที่จะไม่ได้คะแนนคือตำแหน่ง บริเวณช่วงต่อระหว่างกระดูกแขนกับหัวไหล่ และกระดูกไหปลาร้า
XIII. สัญญาณกระดิ่งดังขึ้นหมายถึงว่าความเป็นไปได้ที่จะทำคะแนนจบลง แม้ว่ากรรมการผู้ชี้ขาดยังไม่ยุติการแข่งโดย ไม่ตั้งใจในทันทีก็ตาม การที่เวลาหมดไม่ได้หมายความว่าการลงโทษจะไม่สามารถให้ได้ แต่การลงโทษ ยังสามารถให้ได้จากคณะกรรมการผู้ชี้ขาดจนกว่าจะถึงจุดที่ผู้แข่งขันทั้งสองออกจากพื้นที่การแข่งขัน แต่การให้ โทษก็ยังสามารถให้เกินจากจุดนั้นได้อีกโดยจะได้จากคณะกรรมการควบคุมการตัดสิน
XIV. การเข้าโจมตีพร้อมกัน(Aiuchi) จะเป็นไปได้น้อยมาก ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะโจมตีพร้อมกันแต่ต้องใช้เทคนิค ทำคะแนนอย่างสมบูรณ์ ทั้งสองเทคนิคอาจจะทำพร้อมกันแต่น้อยมากที่จะมีประสิทธิภาพทำคะแนน เท่าเทียมกัน หัวข้อที่ 7: หลักการตัดสินผู้ชนะการแข่งขัน กรรมการผู้ชี้ขาดจะต้องห้ามไม่สั่ง “AIUCHI” ในกรณีที่มีเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ทำคะแนนได้ที่แท้จริง
5. การจับและพยายามทุ่มคู่ต่อสู้โดยมิได้ใช้เทคนิคการจู่โจมที่แท้จริงก่อน ยกเว้นคู่ต่อสู้พยายามทุ่มก่อน, และเมื่อ แกนหมุนของการทุ่มอยู่เหนือระดับสะโพก
7. การใช้เทคนิคจู่โจมที่ไม่สามารถควบคุมความปลอดภัย หรืออันตรายให้แก่คู่ต่อสู้ ไม่ว่าจะจู่โจมถูกเป้าหมายหรือไม่
9. ใช้คำพูดยั่วยุต่อสู้, ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกรรมการผู้ชี้ขาด, ไม่สุภาพต่อกรรมการอื่น, หรือการไร้มารยาทอื่นๆ
CHUKOKU(การเตือน) กรรมการจะเตือนผู้แข่งในกรณีที่เป็นความผิดพลาดครั้งแรกและผิดพลาดเพียงเล็กน้อย
KEIKOKU การลงโทษโดยฝ่ายตรงข้ามได้คะแนน IPPON(1 คะแนน) และเป็นการตักเตือนสำหรับ ความผิดพลาดเล็กน้อย ซึ่งกรรมการได้ทำการว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว ในยกแข่งขันนี้ หรือกรณีที่ความผิดพลาดดังกล่าวไม่รุนแรงพอที่จะสั่งลงโทษ HANSOKU CHUI ได้
HANSOKU-CHUI การลงโทษโดยที่ฝ่ายตรงข้ามได้คะแนน NIHON (2 คะแนน) และมักเกิดเมื่อ กรรมการได้กล่าวตักเตือนและลงโทษแบบ KEIKOKU ไปแล้วในการแข่งที่ผ่านมาหรือ สามารถใช้ปรับโทษดังกล่าว โดยขั้นการกระทำผิดที่รุนแรงแต่ไม่ถึงขั้น HANSOKU
HANSOKU การลงโทษในความผิดที่รุนแรงมากหรือเมื่อมีการลงโทษ HANSOKU-CHUI มาก่อน ซึ่งมีผลให้ผู้แข่งขันถูกตัดสิทธิการแข่งขันทันที ในกรณีแข่งขันประเภททีม ผู้แข่งขันที่ บาดเจ็บจะได้คะแนนเพิ่ม 8 คะแนนบวกด้วยคะแนนของคู่ต่อสู้ ถ้าคะแนนของคู่ต่อสู้ สูงกว่าของตน
SHIKKAKU การลงโทษโดยตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันตลอดรายการ หรือแค่การแข่งประเภท นั้น หรือคณะกรรมการตัดสินจะต้องร่วมปรึกษาและกำหนดขอบเขตของ SHIKKAKU การลงโทษ SHIKKAKU ซึ่งมักใช้ลงโทษกรณีผู้แข่งขันมุ่งร้าย, ไม่เชื่อฟัง กรรมการผู้ชี้ขาด หรือละเมิดกฎการแข่งและทำให้เสียเกียรติของกีฬาคาราเต้ หากเป็น การแข่งประเภททีม ถ้าสมาชิกของทีมได้รับ SHIKKAKU คู่ต่อสู้จะได้รับคะแนน 8 คะแนน บวกกับคะแนนของผู้กระทำผิดถ้าคะแนนของผู้กระทำผิดสูงกว่าของตน
ในการแข่งขันนอกเหนือจากนี้คือ การแข่งขันภายในสมาคม หรือ สำนัก เช่น การแข่งขันชิงชนะเลิศโกจูไก หรือ การแข่งขันโชโตกันชิงชนะเลิศ และสำนักอื่นๆ ทั้งในระดับประเทศ ทวีป หรือระดับโลก ก็จะใช้กฎการแข่งตามแต่ละสำนักจะตั้งกฎระเบียบการแข่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปรัชญาของแต่ละสำนักมากที่สุด ซึ่งบางสำนักยังคงรักษารูปแบบการแข่งแบบโบราณไว้ เช่น ใช้นวมบางอย่างเดียว หรือไม่ใช้นวม
การแบ่งระดับของคาราเต้ด้วยการคาดสายนั้น(Obi) จะเรียกว่า คิว(Kyu) ใช้ในระดับสายสี และดั้ง (Dan) ใช้ในระดับสายดำ
1-10Dan ดำ ซึ่งในบางสำนักจะใช้ระดับมาตรฐาน(รวมถึงสายของสี) จะใช้ไม่เหมือนกันตามแต่ละสำนัก ถึงแม้นว่าจะสำนักเดียวกัน แต่คนละประเทศก็สามารถแตกต่างกันได้