ความเอนเอียงทางประชาน (อังกฤษ: cognitive bias) เป็นรูปแบบความคลาดเคลื่อนของการประเมินตัดสินใจ ที่การอนุมานถึงบุคคลอื่นหรือสถานการณ์ต่าง ๆ อาจจะเป็นไปโดยไม่สมเหตุผล คือ เราจะสร้างความจริงทางสังคม (social reality) ที่เป็นอัตวิสัย จากการรับรู้ข้อมูลที่ได้ทางประสาทสัมผัส เพราะฉะนั้น ความจริงที่เราสร้างขึ้นนี้ ซึ่งไม่ใช่ความจริงโดยปรวิสัย อาจจะกำหนดพฤติกรรมทางสังคมของเรา ดังนั้น ความเอนเอียงทางประชานอาจนำไปสู่ความบิดเบือนทางการรับรู้ การประเมินตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง การตีความที่ไม่สมเหตุผล หรือพฤติกรรมที่เรียกกันอย่างกว้าง ๆ ว่า ความไม่มีเหตุผล (irrationality)
ความเอนเอียงทางประชานบางอย่างเชื่อว่า เป็นการปรับตัวให้เข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อม คือเป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่มีประสิทธิภาพในสถานการณ์บางอย่าง นอกจากนั้นแล้ว ความเอนเอียงทางประชานบางอย่างสามารถทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น ในสถานการณ์ที่ความเร็วมีความสำคัญมากกว่าความแม่นยำ ดังที่พบในเรื่องของฮิวริสติก ความเอนเอียงบางอย่างอาจจะเป็น "ผลพลอยได้" ของความจำกัดในการประมวลข้อมูลของมนุษย์ ซึ่งอาจจะมาจากการไม่มีกลไกทางจิตใจที่เหมาะสม (สำหรับปัญหานั้น) หรือว่ามีสมรรถภาพจำกัดในการประมวลข้อมูล
ภายใน 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดความเอนเอียงทางประชานเป็นจำนวนมาก เป็นผลจากงานวิจัยในเรื่องการประเมินและการตัดสินใจของมนุษย์ จากสาขาวิชาการต่าง ๆ รวมทั้งประชานศาสตร์ จิตวิทยาสังคม และเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (behavioral economics) ความเอนเอียงทางประชานเป็นเรื่องสำคัญที่จะศึกษาเพราะว่า "ความผิดพลาดอย่างเป็นระบบ" แสดงให้เห็นถึง "กระบวนการทางจิตที่เป็นฐานของการรับรู้และการประเมินตัดสินใจ" (Tversky & Kahneman,1999, p. 582) นอกจากนั้นแล้ว แดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ ยังอ้างไว้ด้วยว่า ความรู้เกี่ยวกับความเอนเอียงทางประชานมีผลทางด้านการปฏิบัติในฟิลด์ต่าง ๆ รวมทั้งการวินิจฉัยทางคลินิก
ความคิดเกี่ยวกับความเอนเอียงทางประชานมาจากคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 ซึ่งมีรากฐานมาจากประสบการณ์ของพวกเขาเกี่ยวกับความไม่สามารถคิดโดยเหตุผลโดยใช้ตัวเลข (innumeracy) ของมนุษย์ คาฮ์นะมันและคณะได้แสดงโดยใช้วิธีที่ทำซ้ำได้หลายอย่างว่า การประเมินและการตัดสินใจของมนุษย์ต่างไปจากที่แสดงในแบบจำลองทางเศรษฐศาตร์ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางคือ rational choice theory (ทฤษฎีการเลือกโดยเหตุผล) โดยอธิบายว่า มนุษย์ทำการประเมินและตัดสินใจโดยใช้ฮิวริสติก ซึ่งเป็นทางลัดทางความคิดที่สามารถให้ค่าประเมินอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์บางอย่าง (Baumeister & Bushman, 2010, p. 141). ฮิวริสติกเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายกว่าในการคำนวณ แต่ว่าบางครั้งทำให้เกิด "ความผิดพลาดที่รุนแรงอย่างเป็นระบบ"
ยกตัวอย่างเช่น ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน (representativeness heuristic) คือ ความโน้มเอียงที่จะ "ประเมินความชุกหรือความน่าจะเป็น" ของเหตุการณ์หนึ่ง ๆ โดยความคล้ายคลึงของเหตุการณ์นั้นกับรูปแบบตัวอย่าง (Baumeister & Bushman, 2010, p. 141) ในงานทดลองหนึ่ง คาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ให้ผู้ร่วมการทดลองอ่านข้อความสั้น ๆ เกี่ยวกับหญิงคนหนึ่งชื่อว่าลินดา โดยกล่าวถึงเธอว่า "อายุ 31 ปี ยังโสด พูดจาตรงไปตรงมา และฉลาดมาก เธอเรียนปรัชญาเป็นวิชาเอก แม้จะเป็นนักศึกษา เธอก็มีความสนใจในปัญหาการเลือกปฏิบัติ และปัญหาความยุติธรรมทางสังคมอย่างลึกซึ้ง และเข้าร่วมการเดินขบวนต่อต้านการใช้อาวุธ/พลังงานนิวเคลียร์" ผู้ร่วมการทดลองจะอ่านข้อความนี้แล้วประเมินความเป็นไปได้ของข้อความต่าง ๆ เกี่ยวกับลินดา รวมทั้ง "ลินดาเป็นพนักงานรับฝากถอนเงินในธนาคาร" และ "ลินดาเป็นพนักงานรับฝากถอนเงินในธนาคาร และเข้าร่วมกิจกรรมขบวนการเพื่อสิทธิของสตรี" เรามักจะมีความโน้มเอียงที่มีกำลังในการเลือกข้อความหลัง ซึ่งเฉพาะเจาะจงมากกว่า ว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงกว่า แม้ว่า จริง ๆ แล้ว ประพจน์เชื่อมในรูปแบบ "ลินดาเป็นทั้ง ก and ข" ไม่สามารถที่จะเป็นไปได้มากกว่าข้อความที่ทั่วไปยิ่งกว่าคือ "ลินดาเป็น ก" การอธิบายโดยใช้ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทนก็คือว่า การตัดสินใจบิดเบือนไป เพราะว่า สำหรับผู้อ่านแล้ว ข้อความอธิบายบุคลิกของลินดา คล้ายกับของบุคคลที่อาจจะเป็นนักสิทธินิยมของสตรี แต่ไม่เหมือนกับคนที่ทำงานในธนาคาร ซึ่งอาจจะตีความได้ว่า ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทนนำไปสู่ความผิดพลาดโดยกระตุ้นความคิดแบบเหมารวม และกระตุ้นการประเมินตัดสินผู้อื่นที่ไม่เที่ยงตรง (Haselton et al., 2005, p. 726).
แต่สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ มีวิธีการอธิบายอีกอย่างหนึ่งว่า การใช้ฮิวริสติกไม่ควรที่จะนำไปสู่ความคิดว่า ความคิดของมนุษย์เต็มไปด้วยความเอนเอียงทางประชานที่ไม่สมเหตุผล แต่ว่า ควรจะคิดถึงฮิวริสติกว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่มีการปรับตัวให้เข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เหมือนการใช้ตรรกะเชิงรูปนัย (formal logic) และกฎความน่าจะเป็น อย่างไรก็ดี การทดลองต่าง ๆ เช่นเดียวกับเรื่องของลินดานี้ ได้กลายมาเป็นโปรแกรมงานวิจัยที่ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางเกินขอบเขตวิชาการทางจิตวิทยา ข้ามไปยังสาขาอื่น ๆ รวมทั้งแพทยศาสตร์และรัฐศาสตร์
ความเอนเอียงสามารถแบ่งประเภทได้หลายวิธี ยกตัวอย่างเช่นแบ่งเป็นความเอนเอียงที่เกิดเฉพาะในกลุ่มบุคคล (เช่น Group polarization) และที่เกิดในระดับบุคคล
ความเอนเอียงบางอย่างมีอิทธิพลตัดสินใจ (decision-making) ที่ต้องพิจารณาความน่าพอใจของผลทางเลือกต่าง ๆ (เช่น sunk costs fallacy) ความเอนเอียงอย่างอื่นเช่น illusory correlation (สหสัมพันธ์ลวง) มีอิทธิพลประเมินความน่าจะเป็น หรือว่าการประเมินว่าเหตุการณ์อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล มีความเอนเอียงพวกหนึ่งโดยเฉพาะที่มีผลต่อความจำ เช่น consistency bias ซึ่งก็คือการระลึกถึงทัศนคติและพฤติกรรมในอดีตว่าเหมือนกับทัศนคติในปัจจุบันเกินความเป็นจริง
มีความเอนเอียงที่สะท้อนถึงแรงจูงใจของบุคคลนั้น ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการที่จะมีภาพพจน์ของตนเชิงบวกจะนำไปสู่ Egocentric bias และการหลีกเลี่ยงความไม่ลงรอยกันทางประชาน (cognitive dissonance) ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี มีความเอนเอียงบางอย่างที่เกิดจากวิธีการรับรู้ของสมอง หรือวิธีการสร้างความจำและทำการตัดสินใจ ซึ่งมีความแตกต่างกันที่แยกออกป็น "Hot cognition" (การคิดหาเหตุผลที่มีแรงจูงใจประกอบด้วยอารมณ์) และ "Cold Cognition" เพราะว่า การคิดหาเหตุผลประกอบด้วยแรงจูงใจ (motivated reasoning) อาจเกิดขึ้นภายใต้สภาวะตื่นตัว
การที่ความเอนเอียงบางอย่างสะท้อนแรงจูงใจ โดยเฉพาะแรงจูงใจที่จะมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับตนเอง สามารถอธิบายความที่ความเอนเอียงเป็นการรับใช้ตนเองหรือพุ่งความสนใจไปในตน (เช่น illusion of asymmetric insight, ความเอนเอียงรับใช้ตนเอง [self-serving bias], และ projection bias) มีความเอนเอียงบางอย่างที่ใช้ในการประเมินบุคคลที่อยู่ใน in-group (คือในวงสังคมตนเอง) และ out-group (คือนอกวงสังคมตนเอง) โดยที่ประเมินวงสังคมของตนเองว่ามีความหลากหลายมากกว่า และดีกว่าโดยประการต่าง ๆ แม้ว่า "วงสังคม" เหล่านั้นอาจจะเป็นการกำหนดโดยสุ่ม (เช่น ingroup bias, outgroup homogeneity bias)
ความเอนเอียงทางประชานบางอย่างเป็นกลุ่มย่อยของความเอนเอียงโดยใส่ใจ (attentional bias) ซึ่งหมายถึงการใส่ใจสิ่งเร้าบางอย่างเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น มีหลักฐานว่า ผู้ที่ติดสุราหรือยาเสพติดอื่น ๆ ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษในสิ่งเร้าที่เกี่ยวกับสิ่งเสพติดนั้น ๆ บททดสอบทางจิตวิทยาเพื่อวัดความเอนเอียงที่สามัญก็คือ Stroop Task และ Dot Probe Task
มีงานทดลองคลาสสิกที่แสดง FAE คือ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ผู้เขียนแต่ละคนได้รับมอบหมายให้เขียนปาฐกถาสนับสนุนหรือต่อต้านฟีเดล กัสโตร ผู้ร่วมการทดลองกลับไม่สนใจความกดดันทางสถานการณ์เช่นนั้นแล้วกล่าวว่าผู้เขียนแต่ละคนมีทัศนคติเช่นนั้นจริง ๆ
ความเอนเอียงเพื่อยืนยันมีความสัมพันธ์กับความไม่ลงรอยกันทางประชาน (cognitive dissonance) คือ เราจะลดความไม่ลงรอยกันของสิ่งที่พบ โดยสืบหาข้อมูลที่ยืนยันความเห็นของเราเพิ่มขึ้นอีก
ในบทความที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2012 นักวิชาการเสนอว่า ความเอนเอียงที่ดูเหมือนจะไม่มีความสัมพันธ์อย่างน้อย 8 อย่าง สามารถเกิดได้โดยใช้กลไกการสร้างของทฤษฎีสารสนเทศ คือมีการแสดงว่า ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการรบกวน ในกระบวนการประมวลข้อมูลที่ต้องอาศัยความจำ ที่แปลงหลักฐานที่เป็นปรวิสัย (คือสังเกตการณ์) ให้เป็นค่าประเมินที่เป็นอัตวิสัย (คือการตัดสินใจ) สามารถที่จะสร้างความเอนเอียงทางประชานต่าง ๆ ได้คือ regressive conservatism, belief revision (หรือเรียกว่า Bayesian conservatism), illusory correlation (สหสัมพันธ์ลวง), illusory superiority (ความเหนือกว่าลวง หรือปรากฏการณ์ว่าฉันเหนือกว่าคนอื่นโดยเฉลี่ย) และ worse-than-average effect (ฉันแย่กว่าคนอื่นโดยเฉลี่ย), subadditivity effect, exaggerated expectation, overconfidence (มั่นใจมากเกินไป), และ hard-easy effect
สถาบันและแนวคิดต่าง ๆ ทางสังคม ตั้งอยู่ในรากฐานว่าเราจะทำการตัดสินใจโดยใช้เหตุผล เช่น กฎหมายเกี่ยวกับตลาดลงทุนโดยมากสมมุติว่า นักลงทุนล้วนแต่มีการกระทำที่เป็นไปตามเหตุผลอย่างสมบูรณ์แบบ แต่จริง ๆ แล้ว นักลงทุนล้วนแต่มีความจำกัดทางประชานเนื่องจากการมีความเอนเอียง การใช้ฮิวริสติก และ framing effect
ตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งคือ ในการพิจารณาคดีโดยใช้ลูกขุนที่ยุติธรรม ลูกขุนจะต้องไม่ใส่ใจในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี สามารถชั่งหลักฐานต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง เปิดใจพิจารณาความเป็นไปได้ต่าง ๆ และพยายามยับยั้งการเกิดขึ้นของเหตุผลวิบัติต่าง ๆ เช่นการอุทธรณ์โดยความรู้สึก (appeal to emotion) แต่ว่า ความเอนเอียงที่พบในงานทดลองทางจิตวิทยาเหล่านี้แสดงว่า เราจะไม่สามารถทำการเหล่านั้นได้จริง ๆ แต่ความล้มเหลวนั้นจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ไปในทิศทางที่สามารถพยากรณ์ได้
ความเอนเอียงทางประชานยังมีความสัมพันธ์กับความดำรงอยู่ได้ของเรื่องเหนือธรรมชาติ กับปัญหาสังคมเช่นความเดียดฉันท์ และเป็นอุปสรรคกับการยอมรับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่ความรู้โดยสัญชาตญาณ (non-intuitive) ของสาธารณชนทั่วไป
มีนักวิชาการหลายพวกที่ยืนยันว่า ประเด็นและทิศทางของความเอนเอียงทางประชานไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยสุ่ม คือไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ ดังนั้น ความเอนเอียงทางประชานเป็นเรื่องที่พยากรณ์ได้ นอกจากนั้นแล้ว เรายังสามารถควบคุมความเอนเอียงได้ เช่น "Debiasing" เป็นเทคนิคลดความเอนเอียงที่สนับสนุนบุคคลให้ใช้วิธีการประมวลผลเหนือสำนึกที่ควบคุมได้ เทียบกับผลที่ได้จากความเอนเอียงซึ่งเป็นกระบวนการจิตใต้สำนึกที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ส่วนในเรื่องการลด FAE วิธีที่ใช้เงินเป็นตัวล่อ และที่แจ้งผู้ร่วมการทดลองว่าตนจะต้องรับผิดชอบหาเหตุที่ถูกต้อง ทำให้ผู้ร่วมการทดลองหาเหตุได้อย่างแม่นยำขึ้น
"Cognitive bias modification" (การปรับความเอนเอียงทางประชาน) หมายถึงกระบวนการที่ปรับความเอนเอียงทางประชานของผู้ที่มีสุขภาพดี และหมายถึงวิธีการบำบัดทางจิตวิทยาที่ไม่ใช้ยาเพื่อโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และการติดสิ่งเสพติดที่เรียกว่า "Cognitive bias modification therapy" (CBMT) CBMT มีอีกชื่อหนึ่งว่า Applied Cognitive Processing Therapies (ACPT) เป็นวิธีการบำบัดที่เป็นกลุ่มย่อย ๆ ภายในวิธีการบำบัดทางจิตวิทยาที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ใช้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทางประชาน โดยร่วมกับหรือไม่ร่วมกับการใช้ยาและการบำบัดด้วยการพูดคุย และแม้ว่า CBM จะหมายถึงการปรับกระบวนการทางประชานของผู้มีสุขภาพดี แต่ว่า CBMT จะหมายถึงการบำบัดทางจิตวิทยาที่อิงหลักฐาน ที่ทำการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางประชานเพื่อบำบัดความทุกข์ จากโรคซึมเศร้าที่รุนแรงโรควิตกกังวล และจากการติดสิ่งเสพติด CBMT เป็นการบำบัดที่อาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้รักษาอยู่ร่วมด้วย CBM อาศัยทั้งหลักฐานและทฤษฎีจากแบบจำลองทางประชานเกี่ยวกับความวิตกกังวล จากประสาทวิทยาศาสตร์เชิงประชาน และจากแบบจำลองในการใส่ใจ