กัมพูชามีความเกี่ยวข้องกับกีฬามากว่า 30 ปี มีกีฬาที่เป็นที่นิยมคือฟุตบอล และศิลปะป้องกันตัว ได้แก่ ปกกอโตหรือกระบี่กระบอง ประดัลเสรี และมวยปล้ำกัมพูชาที่นิยมไปทั่วประเทศ
ปกกอโตหรือบกกอโต หรือชื่อที่เป็นทางการ ลปกกอโต (หมายถึงการสู้สิงโตด้วยไม้) เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบโบราณของกัมพูชา เป็นการต่อสู้บนพื้น คล้ายกับกระบี่กระบองของไทย มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์
ต่างจากประดัลเสรีที่เป็นศิลปะการต่อสู้แต่ปกกอโตเป็นกีฬาของทหาร มีการใช้อาวุธต่างๆและส่วนต่างๆของร่างกาย ในการต่อสู้ ในการต่อสู้ ผู้เล่นจะแต่งตัวแบบทหารเขมรในสมัยโบราณ ใช้ผ้าขาวม้า (กร็อมา)พันมือและมีมงคลสีแดงหรือสีน้ำเงินสวมหัวสีของผ้าขาวม้าจะแสดงความชำนาญในการต่อสู้ ต่ำสุดคือสีขาว สูงสุดคือสีดำ การต่อสู้มี 341ท่า ซึ่งตั้งชื่อเลียนแบบชื่อสัตว์ต่างๆ
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกัมพูชา ควบคุมโดยสหพันธ์ฟุตบอลกัมพูชา ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2476 และเป็นสมาชิกฟีฟ่าใน พ.ศ. 2496 และสหพันธ์ฟุตบอลเอเชียใน พ.ศ. 2500 สนามกีฬาแห่งชาติพนมเปญ เป็นสนามกีฬาแห่งชาติในพนมเปญ มีความจุ 50,000 คน
การแข่งเรือพื้นบ้านเป็นกีฬายอดนิยมอย่างหนึ่งในกัมพูชา นิยมแข่งช่วงที่มีน้ำมาก โดยใช้เรือขนาดยาวและฝีพายหลายคน
เป็นการชกมวยแบบพื้นบ้านในกัมพูชา ลักษณะคล้ายมวยไทยและมีการจัดการแข่งขันทั่วไปในกัมพูชา โดยแข่งครั้งละ 5 ยก ยกละ 3 นาที พักยกละ 1-2 นาที ก่อนชกจะมีการไหว้ครู มีการบรรเลงดนตรีระหว่างการแข่งขันซึ่งประกอบด้วยกลองชนิด skor yaul ปี่ และฉิ่ง กติกาการแข่งขันที่สำคัญได้แก่ ไม่อนุญาตให้ซ้ำเติมคนล้ม ห้ามกัด หากอีกคนสู้ไม่ได้ กรรมการจะยุติการแข่งขัน ผู้ชนะอาจชนะโดยชนะน็อค เมื่อทำให้คู่ต่อสู้ล้มแล้วไม่สามารถสู้ต่อได้ภายใน 10 วินาที โดยกรรมการเป็นผู้นับ ถ้าสู้กับครบยกจะตัดสินด้วยคะแนน ถ้าคะแนนเท่ากันถือว่าเสมอ
รูปแบบการชกมวยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความคล้ายคลึงกัน คาดว่าในอดีตเป็นศิลปะการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ชาวเขมรเชื่อว่าประดัลเสรีเกิดขึ้นก่อนการต่อสู้แบบอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีหลักฐานจากรูปสลักหินในปราสาทนครวัดแต่ยังไม่มีหลักฐานอื่นเพิ่มเติม
ในช่วงที่กัมพูชาเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ประดัลเสรีกลายเป็นกีฬาโดยเพิ่มการสวมนวมและการแข่งขันเป็นยก ระหว่างสงครามกลางเมืองกัมพูชา เมื่อเขมรแดงโค่นล้มรัฐบาลนอยมตะวันตกของลน นลเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 เขมรแดงมีแผนจะกำจัดอิทธิพลของตะวันตกออกไปและสร้างสังคมในอุดมคติ บุคคลที่มีความรู้ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลเก่าและผู้เคยเป็นครู แพทย์ ทหาร นักแสดง นักร้องจะถูกประหารชีวิต ชาวกัมพูชาถูกบังคับให้อยู่ภายในค่ายใช้แรงงาน ในช่วงนี้ประดัลเสรีถูกห้ามแข่ง นักมวยส่วนมากถูกประหารเช่นกัน ทำให้ศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ลดลงอย่างมาก ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 กองกำลังเขมรฝ่ายตรงข้ามกับเขมรแดงร่วมกับกองทัพเวียดนามโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงลง หลังจากนั้น ประดัลเสรีจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่มีการฟื้นฟู ประดัลเสรีได้เป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ มีการเปิดค่ายฝึกเป็นจำนวนมาก และมีผู้มาฝึกเป็นจำนวนมากเช่นกัน ทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติ มีการจัดการแข่งขันทุกสัปดาห์ และมีถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ปัจจุบัน กัมพูชาพยายามสนับสนุนประดัลเสรีเพื่อแข่งกับมวยไทยในเชิงการตลาด
กัมพูชาเคยพยายามที่จะรวมกีฬามวยในสุวรรณภูมิเข้าด้วยกันในการประชุมอาเซียน พ.ศ. 2538 ในช่วงที่มีการแข่งขันมวยไทยสมัครเล่นชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ กัมพูชาต้องการให้เปลี่ยนชื่อมวยไทยเป็นมวยสุวรรณภูมิ ซึ่งจะรวมมวยไทย มวยลาว ประดัลเสรีของกัมพูชา และมวยในพม่า แต่ไทยไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าแต่ละชาติมีการชกมวยในรูปแบบของตนเอง อีกทั้งมวยไทยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติแล้ว ต่อมา กัมพูชาจึงไม่ร่วมแข่งขันมวยไทยในกีฬาซีเกมส์ พ.ศ. 2548
มวยปล้ำกัมพูชาจะแข่งขันกันสามยก ผู้ชนะในแต่ละยกคือผู้ที่ดันคู่ต่อสู้ให้ถอยหลังได้ ผู้ชนะคือผู้ชนะสองในสามยก ในระหว่างการแข่งขันจะมีการตีกลองให้จังหวะคือ Skor Ngey และ Chhmolนิยมแข่งกีฬาชนิดนี้ในวันขึ้นปีใหม่เขมรและงานตามประเพณีอื่นๆ