กาเซเรส (สเปน: C?ceres) เป็นเมืองหลักของจังหวัดกาเซเรสในแคว้นเอกซ์เตรมาดูรา ทางภาคตะวันตกของประเทศสเปน เขตเทศบาลของเมืองมีเนื้อที่ 1,750.33 ตารางกิโลเมตร (675.806 ตารางไมล์) ซึ่งเป็นขอบเขตทางภูมิศาสตร์ (เมือง) ที่ใหญ่ที่สุดในสเปน
เขตเมืองเก่าหรือ "ซิวดัดโมนูเมนตัล" (Ciudad Monumental) ยังคงมีกำแพงโบราณล้อมรอบอยู่โดยยังคงลักษณะที่ได้สร้างไว้ในยุคกลางอย่างสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของความเป็นปัจจุบันให้เห็น มหาวิทยาลัยเอกซ์เตรมาดูราและหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ 2 แห่งก็ตั้งอยู่ในเมืองนี้ นอกจากนี้กาเซเรสยังเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลคาทอลิกโกเรีย-กาเซเรส (Coria-C?ceres)
กาเซเรสได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1986 เนื่องจากความโดดเด่นของงานสถาปัตยกรรมในเมืองที่มีการผสมผสานระหว่างรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ โรมัน อิสลาม นอร์เทิร์นกอทิก และอิตาเลียนเรอเนซองซ์ ซึ่งเป็นผลมาจากการสงครามหลายครั้งที่รบกันที่เมืองนี้ตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ หอคอยประมาณ 30 แห่งที่สร้างขึ้นในสมัยอัลอันดะลุส (สมัยที่ชาวมุสลิมมีอำนาจในสเปน) ยังคงอยู่ในเมืองนี้ โดยหอคอยบูคาโก (Torre del Bujaco) มีชื่อเสียงมากที่สุด
ปรากฏการตั้งถิ่นฐานใกล้เมืองกาเซเรสมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีหลักฐานคือภาพเขียนต่าง ๆ ในถ้ำมัลตราเบียโซ (Maltravieso) และถ้ำเอลโกเนคาร์ (El Conejar) ซึ่งเขียนขึ้นในยุคหินเก่าตอนปลาย (ประมาณ 25,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) กาเซเรสเริ่มมีความสำคัญขึ้นมาในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ภายใต้การครอบครองของโรมัน ซากปรักอยู่ในเมืองนั้นเป็นตัวบ่งชี้ว่ากาเซเรสได้รับการก่อตั้งและมีความเจริญมาตั้งแต่ 25 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซากกำแพงเมืองบางส่วนซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวโรมันตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 และคริสต์ศตวรรษที่ 4 ยังคงปรากฏอยู่ รวมทั้งทางเข้า-ออกเมืองทางหนึ่งคือ Arco del Cristo
หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายลง ชาววิซิกอทซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมันกลุ่มหนึ่งได้ปกครองกาเซเรสสืบต่อมา ถือเป็นยุคเสื่อมถอยยุคหนึ่งของเมือง จนกระทั่งชาวมัวร์ (ชาวอาหรับจากแอฟริกาเหนือ) สามารถยึดเมืองนี้ได้ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 กาเซเรสใช้เวลาส่วนใหญ่ของอีก 2-3 ศตวรรษถัดมาอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมัวร์ แม้จะมีหลายครั้งที่ตกไปอยู่ในการยึดครองของชาวคริสต์ก็ตาม ในช่วงนี้ชาวมัวร์ได้สร้างเมืองกาเซเรสขึ้นใหม่ รวมทั้งกำแพง พระราชวัง และหอคอยหลายแห่ง
ต่อมาชาวคริสต์ซึ่งนำโดยพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 จากราชอาณาจักรเลออนทางตอนเหนือของคาบสมุทรไอบีเรียสามารถยึดกาเซเรสคืนได้ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ระหว่างนี้กาเซเรสมีย่านชาวยิวที่สำคัญอยู่หนึ่งแห่ง เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ทั้งเมืองมีประชากร 2,000 คน และมีครอบครัวชาวยิวถึงเกือบ 140 ครอบครัวอาศัยอยู่ แต่ในที่สุดประชากรชาวยิวก็ถูกขับไล่ออกไปจากสเปนเมื่อปี ค.ศ. 1492 ร่องรอยอิทธิพลของชาวยิวในช่วงก่อนหน้านี้ยังคงหลงเหลือให้เห็นถึงปัจจุบันในเมืองนี้ โดยเฉพาะในย่านซานอันโตเนียว
กาเซเรสมีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงการพิชิตดินแดนคืน (ตามที่ได้กล่าวแล้ว) และในช่วงการค้นพบทวีปอเมริกา เนื่องจากชนชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลของสเปนจำนวนมากได้มาสร้างบ้านเรือนและวังเล็ก ๆ ที่นี่ และสมาชิกในตระกูลต่าง ๆ จากเมืองนี้ (รวมทั้งจากแคว้นเอกซ์เตรมาดูรา) หลายคนได้ร่วมเดินทางไปยังทวีปอเมริกาเพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 กาเซเรสได้กลายเป็นเมืองหลักของจังหวัด ทำให้เกิดความเจริญเติบโตในด้านต่าง ๆ ขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากชะงักงันไปในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน สำนักงานใหญ่ของมหาวิทยาลัยและหน่วยงานของรัฐหลายแห่งสามารถพบได้ที่เมืองนี้ ซึ่งในปี ค.ศ. 2007 มีประชากรจำนวน 91,606 คน