การแยกทัศนคติออกเป็นสองขั้ว (อังกฤษ: Attitude polarization, belief polarization, polarization effect) หรือ ทัศนคติที่สุดโต่งเพิ่มขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่เรื่องที่โต้แย้งกันสุดโต่งมากขึ้นเมื่อฝ่ายต่าง ๆ พิจารณาหลักฐานในประเด็น นี่เป็นผลอย่างหนึ่งของความเอนเอียงเพื่อยืนยัน (confirmation bias) ซึ่งเป็นความโน้มเอียงที่จะหาและตีความหลักฐานตามเลือกเพื่อจะเสริมความเชื่อหรือทัศนคติของตน และถ้าเป็นหลักฐานที่คลุมเครือ แต่ละฝ่ายอาจจะตีความว่าสนับสนุนทัศนคติของตน ทำให้จุดยืนในข้อขัดแย้งห่างกันมากขึ้นแทนที่จะลดลง
ปรากฏการณ์นี้พบในประเด็นปัญหาที่เร้าอารมณ์ เช่นประเด็นทางการเมือง แต่ประเด็นต่าง ๆ โดยมากจะไม่มีปัญหานี้ ในประเด็นที่เกิดปัญหานี้ เพียงแค่คิดถึงประเด็นโดยไม่ต้องพิจารณาหลักฐานใหม่ ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้แล้ว มีกระบวนการเปรียบเทียบทางสังคมที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้ คือ ความเชื่อจะเพิ่มขึ้นเพราะคนรอบ ๆ ตัวกล่าวซ้ำคำพูดของแต่ละคน ยืนยันกันและกันเอง นี้เป็นประเด็นน่าสนใจในสาขาจิตวิทยา สังคมศาสตร์ และปรัชญา
เริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 นักจิตวิทยาได้ทำงานศึกษาจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของปรากฏการณ์นี้
มีงานศึกษาที่สำคัญในเรื่องนี้ในปี ค.ศ. 1979 นักวิจัยเลือกกลุ่มชนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเห็นด้วยกับโทษประหารชีวิตในระดับสูง และอีกกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยในระดับสูง เบื้องต้น นักวิจัยวัดระดับความเห็นที่ผู้ร่วมการทดลองมี หลังจากนั้นก็จะแบ่งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และให้ดูแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งใน 2 แผ่น แต่ละแผ่นแสดงผลงานวิจัยที่ไม่เหมือนกัน เช่น
โครเนอร์และฟิลลิปส์ (1977) เปรียบเทียบอัตราการฆ่าคนสำหรับปีก่อนและหลังจากการออกฎหมายโทษประหารชีวิตในมลรัฐ 14 รัฐ (ในประเทศสหรัฐอเมริกา) ในรัฐ 11 รัฐจาก 14 รัฐ อัตราการฆ่าคนลดลงหลังจากการออกฎหมาย งานวิจัยนี้สนับสนุนว่าโทษประหารชีวิตมีผลช่วยป้องกัน (การฆ่าคน)
ปาล์เมอร์และแครนดัลล์ (1977) เปรียบเทียบอัตราการฆ่าคนในมลรัฐติดกัน 10 คู่ที่มีกฎหมายโทษประหารชีวิตต่างกัน ในคู่ 8 จาก 10 คู่ อัตราการฆ่าคนสูงกว่าในรัฐที่ลงโทษประหารชีวิต งานวิจัยนี้คัดค้านโทษประหารชีวิตว่ามีผลช่วยป้องกัน (การฆ่าคน)
หลังจากนั้น นักวิจัยก็ถามผู้ร่วมการทดลองถึงระดับความเชื่อของตน เกี่ยวกับผลการป้องกันการฆ่าคนของการลงโทษประหารชีวิต และในตอนนี้ ก็จะถามถึงอิทธิพลที่ผลงานวิจัยที่อ่านมีต่อทัศนคติของตน
ในขั้นต่อไป ก็จะให้ข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับงานวิจัยที่อ่าน รวมทั้งรายละเอียด บทวิจารณ์ และการโต้ตอบบทวิจารณ์ของผู้ทำงานวิจัย จากนั้น ก็จะวัดจุดยืนทางทัศนคติของผู้ร่วมการทดลองอีก แล้วถามผู้ร่วมการทดลองถึงคุณภาพงานวิจัย และอิทธิพลของงานวิจัยต่อความเชื่อของตน แล้วในที่สุด ก็จะเริ่มการทดลองใหม่สำหรับทุกคน แต่จะใช้แผ่นกระดาษและข้อมูลรายละเอียดที่สนับสนุนจุดยืนตรงกันข้ามกับที่เห็นในตอนแรก
นักวิจัยพบว่า คนมักจะเชื่องานวิจัยที่สนับสนุนความเห็นเดิมของตนว่า ทำได้ดีกว่า และน่าเชื่อถือกว่า งานวิจัยที่ไม่สนับสนุน ไม่ว่าจะมีจุดยืนไหนในเบื้องต้น ก็จะยึดจุดยืนนั้นมั่นคงยิ่งขึ้นหลังจากที่อ่านงานวิจัยที่สนับสนุน นักวิจัยชี้ว่า มีเหตุผลอยู่ที่คนจะไม่จับผิดงานวิจัยที่สนับสนุนจุดยืนของตน แต่ดูจะไร้เหตุผลที่กำลังทัศนคติของตนเพิ่มขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญ เมื่ออ่านหลักฐานที่สนับสนุน และเมื่ออ่านงานวิจัยทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนความเห็นของตน คนมักจะยืดถือทัศนคติดั้งเดิมของตนนั่นแหละมั่นคงกว่าก่อนที่จะได้รับข้อมูลเพิ่ม แต่ว่า ผลงานนี้ควรจะเข้าใจในฐานะที่มีปัญหาหลายอย่างในการดำเนินงาน รวมทั้งความจริงว่า นักวิจัยเปลี่ยนการวัดค่าผลตัวแปร (เปลี่ยน scaling) ดังนั้น การวัดค่าทัศนคติที่เปลี่ยนไปจึงใช้ไม่ได้ และว่า การวัดการแยกออกเป็นสองขั้วใช้การระบุค่าทัศนคติเองของผู้ร่วมการทดลอง (subjective) คือเป็นการประเมินแบบอัตวิสัย ไม่ใช่เป็นการวัดความเปลี่ยนแปลงโดยตรง
นักจิตวิทยาสังคมได้ทำงานศึกษาเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อตนเอง ต่อกลุ่ม และต่อจุดยืนที่กลุ่มนั้นยอมรับหรือปฏิเสธ เมื่อผู้ร่วมการทดลองเห็นตัวเองเป็นสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งสาระสำคัญสั้น ๆ ก็คือ งานวิจัยเสนอว่า คนมักจะยอมรับจุดยืนที่ตนเชื่อว่าเป็นของกลุ่ม แม้ว่าตัวเองจะพึ่งเข้ากลุ่มและแม้ว่า ตนจะยังไม่ได้พบกับสมาชิกใด ๆ ในกลุ่มเลย
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/การแยกทัศนคติออกเป็นสองขั้ว