ในฟิสิกส์นิวเคลียร์, การสลายให้อนุภาคบีตา (อังกฤษ: beta decay) เป็นรูปแบบหนึ่งของการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีที่อนุภาคบีตา (อิเล็กตรอนหรือโพซิตรอน) ถูกปลดปล่อยออกมา ในกรณีปลดปล่อยอิเล็กตรอน จะเป็น บีตาลบ (??{\displaystyle {\beta }^{-}}) ขณะที่ในกรณีปลดปล่อยโพซิตรอนจะเป็น บีตาบวก (?+{\displaystyle {\beta }^{+}}) พลังงานจลน์ของอนุภาคบีตามีพิสัยสเปกตรัมต่อเนื่องจาก 0 ถึงค่าสูงสุดที่จะเป็นไป (Q) ซึ่งขึ้นกับสภาวะนิวเคลียร์ของต้นกำเนิดและลูกที่เกี่ยวข้องกับการสลาย โดยทั่วไป Q มีค่าประมาณ 1 MeV แต่สามารถมีพิสัยจากสองสาม keV ไปจนถึง สิบ MeV อนุภาคบีตากระตุ้นส่วนใหญ่มีความเร็วสูงมากเป็นซึ่งมีความเร็วใกล้เคียงอัตราเร็วของแสง
ในการสลาย ??{\displaystyle {\beta }^{-}} อันตรกิริยาอย่างอ่อนจะเปลี่ยนนิวตรอน (n) ไปเป็นโปรตอน (p) ขณะปลดปล่อยอิเล็กตรอน (e?{\displaystyle e^{-}}) และ แอนทินิวตริโน (ue?{\displaystyle {\bar {u_{e}}}}):
ที่ระดับมูลฐาน (ที่ต่ำกว่าไฟน์แมนไดอะแกรม (Feynman diagram) ) เนื่องจากการเปลี่ยนจากควาร์กลง (down quark) เป็นควาร์กขึ้น (up quark) โดยปลดปล่อยของ W?{\displaystyle W^{-}}โบซอน W?{\displaystyle W^{-}}จะสลายในภายหลังเป็นอิเล็กตรอนและแอนทินิวตริโน
ไฟน์แมนไดอะแกรมสำหรับการสลาย ??{\displaystyle {\beta }^{-}} ของนิวตรอนไปเป็นโปรตอน อิเล็กตรอน และ อิเล็กตรอน แอนทินิวตริโนร่วมกับตัวกลาง W?{\displaystyle W^{-}}โบซอน
ในการสลาย ?+{\displaystyle {\beta }^{+}} พลังงานจะถูกใช้ในการเปลี่ยนจากโปรตอนไปเป็นนิวตรอน, โพซิตรอน (e+{\displaystyle e^{+}})และนิวตริโน (ue{\displaystyle u_{e}}):
การสลาย ?+{\displaystyle {\beta }^{+}} ไม่เหมือนกับการสลาย ??{\displaystyle {\beta }^{-}} เนื่องจากการสลาย ?+{\displaystyle {\beta }^{+}} ไม่สามารถเกิดขึ้นในการแตกตัวได้ เพราะมันต้องการพลังงาน มวลของนิวตรอนจะมีพลังงานมากกว่าโปรตอน การสลาย ?+{\displaystyle {\beta }^{+}} สามารถเกิดขึ้นได้ภายในนิวเคลียสเท่านั้น เมื่อปริมาณของพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสสูงกว่านิวเคลียสลูก ความแตกต่างของพลังงานทำให้เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนโปรตอนไปเป็นนิวตรอน โพซิตรอน และ นิวตริโน และกลายเป็นพลังงานจลล์ของอนุภาคนั้น