การพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (อังกฤษ: Nuremberg trials) เป็นชุดการพิจารณาคดีทางทหาร ที่จัดขึ้นโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่สอง มีจุดเด่นเป็นการฟ้องสมาชิกชั้นผู้ใหญ่ในคณะผู้นำทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจของนาซีเยอรมนี ซึ่งพ่ายสงคราม
การพิจารณาทั้งนี้มีขึ้น ณ ตำหนักยุติธรรม เมืองเนือร์นแบร์ก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี โดยชุดแรกเป็น "การพิจารณาผู้กระทำความผิดอาญาสงครามกลุ่มหลัก" ในศาลทหารระหว่างประเทศ (International Military Tribunal) เริ่มในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 และเป็นการพิจารณาอันเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดด้วย จำเลยในชุดนี้ประกอบด้วยผู้นำคนสำคัญที่สุดยี่สิบสี่คนของนาซีเยอรมนีซึ่งถูกจับมาได้ ทว่า บุคคลสำคัญหลาย ๆ คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังสงคราม เป็นต้นว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ และโจเซฟ เกิบเบลส์ นั้น กระทำอัตวินิบาตกรรมไปก่อนหน้าแล้ว การพิจารณาชุดแรกนี้สิ้นสุดลงในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1946
ส่วนชุดที่สอง เป็นการพิจารณาผู้กระทำความผิดอาญาสงครามซึ่งมีความสำคัญน้อยกว่าจำเลยกลุ่มแรก ดำเนินการโดย คณะตุลาการทหารเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Military Tribunals) ตามกฎหมายสภาควบคุม ฉบับที่ 10 (Control Council Law No. 10) ในครั้งนี้ มีทั้งการพิจารณาแพทย์ และการพิจารณาตุลาการ
เอกสารของคณะรัฐมนตรีสงครามแห่งอังกฤษ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2006 ระบุว่า ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944 คณะรัฐมนตรีได้อภิปรายถึงนโยบายการลงโทษผู้นำนาซีที่ถูกจับตัวได้ วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ ได้สนับสนุนให้มีการประหารชีวิตอย่างรวบรัดในบางพฤติการณ์ โดยใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยกบฏ (Act of Attainder) เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคทางกฎหมายบางประการ อย่างไรก็ดี เมื่อได้พูดคุยกับสหรัฐอเมริกาภายหลังสงครามยุติแล้ว สหรัฐอเมริกาได้ปรามเขามิให้ใช้นโยบายนี้ ครั้นปลายปี ค.ศ. 1943 ระหว่างงานสโมสรไตรภาคีเลี้ยงอาคารค่ำในการประชุมเตหะราน โจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต เสนอให้ประหารชีวิตนายทหารชาวเยอรมันราว ๆ ห้าหมื่นถึงหนึ่งแสนคน แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวติดตลกว่า เอาแค่สี่หมื่นเก้าก็พอ และเชอร์ชิลติเตียนแนวคิด "ประหารชีวิตเหล่าทหารที่สู้รบเพื่อประเทศของตนให้ตายเสียอย่างเลือดเย็น" นี้ แต่เขายืนยันว่า ผู้กระทำความผิดอาญาสงครามต้องชดใช้ความผิดของตน และตามปฏิญญามอสโกที่เขาเขียนขึ้นเองนั้น เขายังว่า บุคคลเหล่านั้นจักต้องถูกพิจารณา ณ สถานที่ที่ความผิดอาญาได้กระทำลง เชอร์ชิลล์ต่อต้านการประหารเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างแข็งขัน ตามรายงานการประชุมระหว่างโรสเวลต์-สตาลินในการประชุมยอลตาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ที่พระราชวังลิวาเดีย ประธานาธิบดีโรสเวลต์ "กล่าวว่า ขอบเขตการทำลายล้างของทหารเยอรมันในไครเมียนั้นสร้างความตระหนกให้แก่เขาเป็นอันมาก และเพราะฉะนั้น เขาจึงกระหายเลือดต่อชาวเยอรมันมากยิ่งกว่าปีก่อน และเขาหวังว่าจอมพลสตาลินจะเสนอแผนการประหารชีวิตนายทหารจำนวนห้าหมื่นคนของกองทัพบกเยอรมันอีกครั้ง"
เฮนรี มอร์เกนเธา จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกา เสนอแผนการให้ทำลายความเป็นนาซีจากเยอรมนีอย่างสมบูรณ์ แผนการดังกล่าวเรียกกันว่า "แผนการมอร์เกนเธา" (Morgenthau Plan) มีเนื้อหาสนับสนุนการบังคับให้เยอรมนีสูญเสียอำนาจทางอุตสาหกรรมของตน ในเบื้องต้น โรสเวลต์สนับสนุนแผนการนี้ และโน้มน้าวให้เชอร์ชิลล์สนับสนุนในรูปแบบที่เบาบางลง แต่แผนการเกิดรั่วไหลไปสู่สาธารณชนเสียก่อน จึงมีการประท้วงเป็นวงกว้าง เมื่อทราบว่าประชาชนไม่เอาด้วยอย่างเด็ดขาด โรสเวลต์จึงละทิ้งแผนการดังกล่าว ความที่แผนการมอร์เกนเธาถึงแก่จุดจบลงเช่นนี้ ก็บังเกิดความจำเป็นจะต้องหาวิธีสำรองสำหรับรับมือกับเหล่าผู้นำนาซีขึ้น เฮนรี แอล. สติมสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงครามแห่งสหรัฐอเมริกา และกระทรวงของเขา จึงยกร่างแผนการสำหรับ "พิจารณาชาวยุโรปผู้กระทำความผิดอาญาสงคราม" ต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 เมื่อโรสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว แฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบดีคนใหม่ แสดงความเห็นด้วยอย่างแรงกล้าในอันที่จะให้มีกระบวนการยุติธรรม และหลังสหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, สหภาพโซเวียต และฝรั่งเศส ได้เจรจากันหลายยกหลายคราว ก็ได้ข้อสรุปเป็นรายละเอียดของการพิจารณาคดี โดยเริ่มพิจารณาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 ณ เมืองเนือร์นแบร์ก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี
ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1942 ผู้แทนจากกลุ่มประเทศที่ถูกยึดครองเก้าประเทศเดินทางมาพบกันในกรุงลอนดอน เพื่อร่างมติร่วมกันระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรเกี่ยวกับอาชญากรสงครามชาวเยอรมัน ในการประชุมเตะหราน (ค.ศ. 1943) การประชุมยัลตา และการประชุมพอตสดัม (ค.ศ. 1945) มหาอำนาจทั้งสามระหว่างสงคราม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และสหราชอาณาจักร ได้ตกลงกันในรูปแบบของการลงโทษสำหรับผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งฝรั่งเศสได้รับเกียรติให้มีที่ในศาลชำระความด้วยเช่นกัน
หลักกฎหมายในการพิจารณาคดีถูกจัดตั้งขึ้นโดยธรรมนูญลอนดอน ซึ่งมีผลในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ซึ่งกำหนดในมีการพิจารณาคดีเพื่อลงโทษอาชญากรสงครามหลักแห่งกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะในทวีปยุโรป อาชญากรสงครามราว 200 คนจะถูกพิจารณาคดีที่เนือร์นแบร์ก ในขณะที่อีกราว 1,600 คนจะถูกพิจารณาดคีโดยศาลทหารทั่วไป ส่วนหลักกฎหมายสำหรับเขตอำนาจศาลนั้นถูกกำหนดโดยตราสารยอมจำนนของเยอรมนี อำนาจทางการเมืองในเยอรมนีถูกโอนไปยังสภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือเยอรมนี และสามารถเลือกที่จะลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายสงคราม เนื่องจากศาลถูกจำกัดไว้ในการฝ่าฝืนกฎหมายสงคราม ศาลดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจพิจารณาอาชญการรมสงครามที่เกิดขึ้นก่อนการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939
ศาลพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามได้พิจารณาคดีและลงโทษแต่เพียงบุคคลจากกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะเท่านั้น จึงได้เกิดการกล่าวโทษว่าศาลดังกล่าวได้ใช้ความยุติธรรมของผู้ชนะ เนื่องจากไม่มีคดีความของฝ่ายสัมพันธมิตรเลย ซึ่งนายพลชัก เยเกอร์ ได้เขียนไว้ในอัตชีวประวัติของเขาว่าในภารกิจบางอย่างของเหล่าทหารอากาศอาจถูกพิจารณาว่าเป็นอาชญากรรมสงครามได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภารกิจ "ยิงทุกอย่างที่เคลื่อนไหว" ในชนบทของเยอรมนี) เขาและนักบินคนอื่น ๆ จำเป็นจะต้องปฏิบัติภารกิจเพื่อหลีกเลี่ยงคำตัดสินของศาลทหารฐานขัดคำสั่ง เขายังได้กล่าวอีกว่า เขาหวังว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะชนะสงคราม มิฉะนั้นเขาอาจถูกพิจารณาคดีในข้อหาก่ออาชญกรรมสงคราม
การยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายอักษะเป็นสิ่งที่ผิดปกติ และนำไปสู่การก่อตั้งศาลชำระความระหว่างประเทศ โดยทั่วไปแล้ว สงครามระหว่างประเทศจะยุติลงอย่างมีเงื่อนไข และการปฏิบัติต่ออาชญากรรมสงครามจะรวมเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาสันติภาพนั้น ในหลายกรณี ผู้ที่มิได้เป็นอาชญากรสงครามก็ถูกพิจารณาคดีโดยระบบยุติธรรมในชาติของตนเช่นเดียวกัน หากผู้นั้นถูกสงสัยว่าก่ออาชญากรรมสงคราม ในการจำกัดวงในศาลชำระความระหว่างประเทศในการไต่สวนอาชญากรสงครามฝ่ายอักษะที่เป็นที่ต้องสงสัย ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ดำเนินการภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศทั่วไป
ไลพ์ซิจ มิวนิก และลักเซมเบิร์กเคยได้รับพิจารณาให้เป็นสถานที่พิจารณาคดี ส่วนสหภาพโซเวียตต้องการให้จัดการพิจารณาคดีขึ้นในกรุงเบอร์ลิน เนื่องจากเห็นว่าเป็นเมืองหลวงของฟาสซิสต์ แต่เนือร์นแบร์กถูกเลือกให้เป็นสถานที่พิจารณาคดีด้วยเหตุผลเฉพาะหลายประการ:
ด้วยการประนีประนอมกับสหภาพโซเวียต กรุงเบอร์ลินถูกจัดให้เป็นสถานที่พักอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่ระหว่างการพิจารณาคดี และยังได้มีการตกลงในฝรั่งเศสมีที่นั่งถาวรในศาลชำระความระหว่างประเทศ และการพิจารณาคดีครั้งแรกจะถูกจัดขึ้นที่เนือร์นแบร์ก
ศาลทหารระหว่างประเทศถูกเปิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1945 ณ ทำเนียบยุติธรรมในเมืองเนือร์นแบร์ก การประชุมในช่วงแรกรับผิดชอบโดยผู้พิพากษาโซเวียต นิคิทเชนโก การดำเนินคดีเริ่มขึ้นด้วยการฟ้องร้องจำเลย 24 อาชญากรสงครามคนสำคัญ และ 6 องค์การอาชญากร - ผู้นำระดับสูงของพรรคนาซี ชุทซ์ซทัฟเฟล (เอสเอส) ซีเชอร์ไฮท์สดีนสท์ (เอสดี) เกสตาโป สทูร์มับไทลุง และ "กองเสนาธิการและกองบัญชาการทหารสูงสุด" ซึ่งประกอบด้วยนายทหารอาวุโสหลายประเภท
(ตัวย่อ: I ถูกฟ้องร้องแต่ประกาศว่าไม่มีความผิด, G ถูกฟ้องร้องและพบว่ามีความผิด, O ไม่ถูกฟ้องร้อง)
ตลอดระยะการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างมกราคมและกรกฎาคม ค.ศ. 1946 จำเลยและพยานจำนวนหนึ่งได้ถูกสัมภาษณ์โดยจิตแพทย์ชาวอเมริกัน ลีออน โกลเดนสัน บันทึกของเขาได้ให้รายละเอียดถึงพฤติกรรมและข้อคิดเห็นของจำเลยที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเนื้อหาได้ถูกปรับปรุงเป็นรูปแบบหนังสือและตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2004
การลงโทษตามคำตัดสินประหารชีวิตนั้นมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1946 โดยใช้วิธีแขวนมาตรฐานแทนที่จะเป็นการแขวนยาว กองทัพสหรัฐปฏิเสธข้อกล่าวอ้างที่ว่าความยาวของเชือกนั้นสั้นเกินไปซึ่งทำให้ผู้ที่ถูกแขวนคอนั้นเสียชีวิตช้ากว่าเนื่องจากหายใจไม่ออกเมื่อเทียบกับการเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเนื่องจากคอหัก
เพฌฆาตคือ จอห์น ซี. วูดส์ ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือเป็นเวลานานว่าร่างนั้นถูกนำตัวไปยังค่ายดาเชาและเผาที่นั่น แต่ข้อเท็จจริงคือร่างนั้นถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในเมรุแห่งหนึ่งในมิวนิก และเถ้านั้นถูกโปรยลงไปเหนือแม่น้ำอีซาร์
การนิยามองค์ประกอบของอาชญากรรมสงครามนั้นถูกอธิบายโดยหลักการเนือร์นแบร์ก ซึ่งเป็นชุดเอกสารแนวปฏิบัติซึ่งถูกร่างขึ้นจากผลของการพิจารณาคดีดังกล่าว การทดลองทางการแพทย์โดยแพทย์ชาวเยอรมันซึ่งถูกดำเนินคดีในการพิจารณาแพทย์นั้นนำไปสู่การรวบรวมประมวลกฎหมายเนือร์นแบร์กสำหรับการควบคุมการพิจารณาคดีในอนาคตว่าด้วยการทดลองในมนุษย์ และหลักการทางศีลธรรมสำหรับการทดลองวิจัยในมนุษย์
การจัดตั้งศาลทหารระหว่างประเทศในการพิจารณาคดีครั้งนี้ตามมาด้วยการพิจารณาคดีของเจ้าหน้าที่นาซีชั้นผู้น้อยกว่าและการพิจารณาแพทย์นาซี ผู้ซึ่งทำการทดลองในมนุ๋ย์ในค่ายกักกัน ศาลในครั้งนี้เป็นแม่แบบสำหรับศาลทหารระหว่างประเทศภาคพื้นตะวันออกไกล ซึ่งพิจารณาคดีเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นในข้อหาอาชญากรรมต่อความสงบเรียบร้อยและต่อมนุษยชาติ นอกจากนี้ยังได้เป็นแม่แบบของการพิจารณาคดีไอช์มันน์ และศาลปัจจุบันในกรุงเฮก สำหรับการพิจารณาดคีอาชญากรรมที่ก่อขึ้นระหว่างสงครามบอลข่านในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 และที่อะรูชา สำหรับพิจารณาดคีผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
การพิจารณาดคีเนือร์นแบร์กมีอิทธิพลอย่างยิ่งพัฒนากฎหมายอาญาระหว่างประเทศ บทสรุปของการพิจารณาคดีครั้งนี้เป็นแม่แบบของ
คณะกรรมการกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งกระทำตามคำร้องขอของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ตีพิมพ์รายงาน "หลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่ได้ยอมรับในธรรมนูญศาลเนือร์นแบร์ก" และ "การพิพากษาของศาล" ในปี ค.ศ. 1950 (หนังสือประจำปีของคณะกรรมการกฎหมายระหว่างประเทศ ค.ศ. 1950 เล่ม 2)
อิทธิพลของศาลยังสามารถเห็นได้จากข้อเสนอในการจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นการถาวร และการร่างประมวลกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งได้ถูกจัดเตรียมในภายหลังโดยคณะกรรมการกฎหมายระหว่างประเทศ จนกระทั่งนำไปสู่การประกาศใช้ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศในอีกห้าสิบปีถัดมา
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/การพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก