การบุกครองโปแลนด์ของสหภาพโซเวียต เป็นปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งเริ่มขึ้นโดยปราศจากการประกาศสงคราม เมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1939 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สิบหกวันหลังจากการเริ่มต้นบุกครองโปแลนด์โดยนาซีเยอรมนี การบุกครองดังกล่าวจบลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกองทัพแดง เมื่อต้นปี ค.ศ. 1939 สหภาพโซเวียตพยายามที่จะสร้างพันธมิตรต่อต้านนาซีเยอรมนี โดยเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส โปแลนด์ และโรมาเนีย แต่ประสบกับอุปสรรคหลายประการ รวมถึงการปฏิเสธที่จะยอมให้มีการเคลื่อนกำลังกองทัพโซเวียตผ่านดินแดนของประเทศเหล่านั้น อันเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงร่วมกัน เมื่อการเจรจากับประเทศเหล่านี้ประสบความล้มเหลว สหภาพโซเวียตจึงเปลี่ยนสถานะต่อต้านเยอรมนีของตน และเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 1939 ได้มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพกับนาซีเยอรมนี ซึ่งนำไปสู่การบุกครองโปแลนด์ ทั้งโดยนาซีเยอรมนีและโดยสหภาพโซเวียต รัฐบาลโซเวียตประกาศว่า การกระทำของตนเป็นการปกป้องชาวยูเครนและชาวเบลารุส ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกของโปแลนด์ เนื่องจากรัฐโปแลนด์ได้ล่มสลายลงในการเผชิญหน้ากับการโจมตีจากเยอรมนี และไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้กับพลเมืองของตนได้
กองทัพแดงได้บรรลุเป้าหมายของตนได้อย่างรวดเร็ว และมีกำลังพลเหนือกว่าการต้านทานของฝ่ายโปแลนด์อย่างมาก ทหารโปแลนด์กว่า 230,000 นายหรือกว่านั้น ถูกจับเป็นเชลยศึก รัฐบาลโซเวียตได้ผนวกเอาดินแดนที่ได้รับมาใหม่ภายใต้การปกครองของตน และในเดือนพฤศจิกายน ได้ประกาศว่าพลเมืองชาวโปแลนด์ 13.5 ล้านคน ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตยึดครองดังกล่าว กลายเป็นพลเมืองโซเวียตแล้ว รัฐบาลโซเวียตได้ปราบปรามการต่อต้านโดยประหารและจับกุมประชาชนนับพัน และได้ส่งพลเมืองจำนวนมากไปยังไซบีเรีย หรือส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลของสหภาพโซเวียต ระหว่างการเนรเทศครั้งใหญ่สี่ครั้ง ระหว่างปี ค.ศ. 1939 ถึง 1941
การบุกครองของโซเวียต ซึ่งโพลิตบูโร เรียกว่าเป็น “การทัพเพื่อการปลดปล่อย” นำมาซึ่งการต่อต้านจากชาวโปลนับล้าน ชาวยูเครนตะวันตก และชาวบาเลรุสเซียน นำไปสู่สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน และสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต ระหว่างการคงอยู่ของสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ การบุกครองดังกล่าวถือเป็นข้อห้ามกล่าวถึง และเกือบจะถูกลบไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของ "มิตรภาพนิรันดร" ระหว่างสมาชิกของค่ายตะวันออก
ปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 สหภาพโซเวียตพยายามที่จะสร้างพันธมิตรต่อต้านเยอรมนีกับสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และโปแลนด์ อย่างไรก็ตาม การเจรจาต่าง ๆ ประสบกับความยากลำบาก สหภาพโซเวียตยืนยันในเขตอิทธิพลของตนลากจากฟินแลนด์ไปจนถึงโรมาเนีย และต้องการความช่วยเหลือทางทหารนอกจากประเทศที่ถูกโจมตีโดยตรงแล้ว แต่ยังรวมถึงทุกประเทศที่โจมตีประเทศในเขตอิทธิพลนี้ด้วย นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเจรจากับฝรั่งเศสและอังกฤษ ความต้องการของสหภาพโซเวียตในการยึดครองรัฐบอลติก (ลัตเวีย เอสโตเนีย และลิทัวเนีย) ก็ได้ปรากฏให้เห็นออกมาอย่างชัดเจนแล้ว นอกจากนี้ ฟินแลนด์ ยังถูกรวมไปอยู่ในเขตอิทธิพลของโซเวียตเช่นเดียวกัน และท้ายที่สุด สหภาพโซเวียตยังได้ต้องการสิทธิที่จะส่งกองทัพเข้าไปยังโปแลนด์ โรมาเนีย และรัฐบอลติก เมื่อสหภาพโซเวียตรู้สึกว่าความมั่นคงของตนถูกคุกคาม ทำให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ปฏิเสธข้อเสนอนั้น ดังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโปแลนด์ โจเซฟ เบค ได้ชี้แจงว่า เมื่อสหภาพโซเวียตส่งทหารเข้ามาในดินแดนของตนแล้ว ทหารเหล่านั้นอาจไม่ได้ถูกเรียกกลับประเทศของตนอีกเลยก็เป็นได้ สหภาพโซเวียตไม่ไว้วางใจในความมั่นคงร่วมกันอย่างมีเกียรติของอังกฤษและฝรั่งเศส นับตั้งแต่ทั้งสองประเทศประสบความล้มเหลวที่จะป้องกันชัยชนะของฟาสซิสต์ ใน สงครามกลางเมืองสเปน หรือป้องกันเชโกสโลวาเกียจากนาซีเยอรมนีนอกจากนี้ สหภาพโซเวียตยังสงสัยว่าฝ่ายพันธมิตรตะวันตกอาจต้องการให้สหภาพโซเวียตรบกับเยอรมนีอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่พวกตนคอยเฝ้ามองอยู่โดยไม่ช่วยเหลืออะไร และด้วยความกังวลดังกล่าว สหภาพโซเวียตจึงหันไปเจรจากับเยอรมนีแทน
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1939 สหภาพโซเวียตได้ลงนามในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ กับนาซีเยอรมนี ซึ่งทำให้ฝ่ายพันธมิตรประหลาดใจมาก รัฐบาลของทั้งสองประเทศได้ประกาศว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาไม่รุกรานระหว่างกัน แต่ในข้อตกลงลับของสนธิสัญญานั้น เป็นการตกลงแบ่งโปแลนด์ และยุโรปตะวันออกให้อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียต สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ ซึ่งกล่าวว่าเป็นใบเบิกทางสำหรับการทำสงคราม และเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของฮิตเลอร์ในการบุกครองโปแลนด์
สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นการเพิ่มพื้นที่ป้องกันเพิ่มเติมทางด้านตะวันตก นอกจากนั้น ยังได้เป็นการเพิ่มเติมดินแดน ซึ่งเคยถูกผนวกเข้ากับโปแลนด์เมื่อยี่สิบปีก่อนคืน และเป็นการรวมประชากรชาวยูเครนตะวันตก ชาวยูเครนตะวันออกและชาวเบลารุสเซียนเข้าด้วยกันภายใต้รัฐบาลโซเวียต ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประชากรดังกล่าวนี้อาศัยอยู่ภายในรัฐเดียวกัน ผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน มองเห็นประโยชน์จากการทำสงครามในยุโรปตะวันตก ซึ่งอาจเป็นการบั่นทอนกำลังของศัตรูทางอุดมการณ์ของเขา และเป็นการขยายดินแดนใหม่แพร่ขยายของคอมมิวนิสต์
ไม่นานหลังจากการบุกครองโปแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ผู้นำนาซีได้กระตุ้นให้สหภาพโซเวียตได้ปฏิบัติตามข้อตกลง และโจมตีโปแลนด์จากทางตะวันออก เอกอัครทูตเยอรมนีแห่งกรุงมอสโก เฟรดริช เวอร์เนอร์ ฟอน เดอร์ ชูเลนบูร์ก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต วียาเชสลาฟ โมโลตอฟ ได้แลกเปลี่ยนการเจรจาทางการทูตในประเด็นดังกล่าว
เมื่อนั้นโมโลตอฟได้ใช้สถานการณ์ทางการเมืองกับสถานการณ์ดังกล่าว และกล่าวว่า รัฐบาลโซเวียตได้มีความตั้งใจที่จะถือเอาโอกาสที่กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปมากขึ้น เพื่อประกาศว่าโปแลนด์กำลังล่มสลาย และเป็นความจำเป็นของสหภาพโซเวียตที่จะให้ความช่วยเหลือชาวยูเครนและชาวรัสเซียขาว ซึ่งถูกคุกคามโดยเยอรมนี การอ้างเหตุผลนี้เป็นการเข้าแทรกแซงของสหภาพโซเวียต ซึ่งสามารถแก้ตัวต่อหน้ามวลชนจำวนมาก และเป็นการล้างภาพลักษณ์ของผู้บุกครองอีกด้วย
สาเหตุที่สหภาพโซเวียตชะลอการเข้าสู่สงครามของตนมีหลายเหตุผลด้วยกัน ทั้งเนื่องจากกองทัพของตนกำลังอย่ระหว่างข้อพิพาทตามแนวชายแดนกับญี่ปุ่น ทำให้สหภาพโซเวียตต้องใช้เวลาระดมพลเข้าสู่กองทัพแดง และเห็นข้อได้เปรียบทางการทูตในการรอจนกว่าโปแลนด์จะพ่ายแพ้ ก่อนที่กองทัพของตนจะเคลื่อนทัพ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 1939 โมโลตอฟประกาศทางวิทยุว่า สนธิสัญญาทุกฉบับระหว่างสหภาพโซเวียตกับโปแลนด์ทั้งหมดเป็นโมฆะ เนื่องจากถือว่ารัฐบาลโปแลนด์ได้ละทิ้งประชาชนของตน และนับเป็นความสิ้นสุดของความเป็นรัฐ นอกเหนือจากนั้น ฝ่ายโซเวียตอาจประเมินว่าฝรั่งเศสและอังกฤษได้ให้ความช่วยเหลือโปแลนด์ตามสัญญา และส่งกองกำลังโพ้นทะเลภายในสองสัปดาห์ผ่านทางโรมาเนีย วันที่แน่นอนของการบุกครองจะต้องคำนวณโดยวันที่ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับเยอรมนี บวกด้วย 14 วัน ซึ่งเป็นวันที่ 17 กันยายน 1939 และเมื่อตนยังไม่เห็นการเข้าช่วยเหลือของกองทัพฝรั่งเศส-อังกฤษมาถึงโรมาเนียเลย สหภาพโซเวียตจึงตัดสินใจที่จะโจมตี
สตาลินไม่ปรารถนาที่จะช่วยเหลือนาซีเยอรมนีทำสงครามของตน ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นสถานการณ์ ดังที่ยุทธศาสตร์ของเขาตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าควรจะปล่อยให้รัฐทุนนิยมตะวันตกและนาซีเยอรมนีทำสงครามระหว่างกัน ก่อนที่เขาจะสามารถสู้กับทั้งสองฝ่ายได้ ทางด้านฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรล้มเหลวที่จะช่วยเหลือโดยส่งกองกำลังโพ้นทะเล หรือการเริ่มต้นการรุกเต็มรูปแบบทางด้านตะวันตกของเยอรมนี หรือแม้กระทั่งการทิ้งระเบิดในเขตอุตสาหกรรมทางภาคตะวันตกของเยอรมนี ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับสตาลิน จากปรารถนาของเขาที่ต้องการให้เกิดการหลั่งเลือดระหว่างศัตรูของคอมมิวนิสต์ทั้งสองฝ่าย และในวันเดียวกัน กองทัพแดงได้ข้ามแนวชายแดนเข้าสู่โปแลนด์
กองทัพแดงเข้าสู่ภาคตะวันออกของโปแลนด์ ประกอบด้วย 7 กองทัพสนาม มีกำลังพลระหว่าง 450,000 – 1,000,000 นาย ถูกจัดวางกำลังเป็นสองแนวรบ: แนวรบเบลารุส ภายใต้การบังคับบัญชาของมิคาอิล โควัลยอฟ และแนวรบยูเครน ภายใต้การบังคับบัญชาของแซมยอน ติโมเชนโก เมื่อถึงเวลานี้ กองทัพโปแลนด์ประสบความล้มเหลวที่จะป้องกันแนวชายแดนทางด้านตะวันตกของตน และในการตอบสนองโจมตีโต้กลับในยุทธการแห่งบซูรา ซึ่งแต่เดิมแล้ว กองทัพโปแลนด์ได้จัดเตรียมแผนการรับมือกับภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียตไว้เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาไม่พร้อมที่จะรับมือกับการโจมตีจากทั้งสองด้านพร้อมกัน และนักยุทธศาสตร์ทางทหารของโปแลนด์ยังเชื่ออีกด้วยว่าไม่มีหนทางที่จะต้านทานการบุกครองจากเยอรมนีและสหภาพโซเวียตพร้อมกันได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อเช่นนั้น แต่กองทัพโปแลนด์ก็ยังไม่ได้พัฒนาแผนการอพยพในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ในช่วงเวลาที่กองทัพโซเวียตบุกครอง ผู้บัญชาการระดับสูงของโปแลนด์ส่งกองกำลังของตนส่วนใหญ่ไปป้องกันแนวชายแดนทางด้านตะวันตก และเหลือกองกำลังป้องกันแนวชายแดนทางด้านตะวันออกเพียง 20 กองพัน ซึ่งประกอบด้วยกองกำลังป้องกันชายแดนราว 20,000 นาย (Korpus Ochrony Pogranicza) ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพล วิลเฮล์ม ออร์ลิค เร็คเคมันน์
ในตอนแรก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของโปแลนด์ จอมพลเอ็ดเวิร์ด ริดซ์ สมิกลี่ สั่งให้กองกำลังชายแดนต้านทานกองทัพโซเวียต แต่ในภายหลัง เขาเปลี่ยนใจหลังจากที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรี เฟลิคแจน สลาวอจ สคลาวคอฟสกี และสั่งการให้กองกำลังเหล่านั้นล่าถอยและจู่โจมกองทัพโซเวียตในการป้องกันตัวเองเท่านั้น
พวกโซเวียตได้มีถึงเราแล้ว ผมได้ออกคำสั่งให้มีการล่าถอยไปยังโรมาเนียและฮังการีด้วยเส้นทางที่สั้นที่สุด อย่าต่อสู้กับพวกบอลเชวิค นอกเหนือจากว่ากองกำลังเหล่านั้นโจมตีคุณหรือพยายามปลดอาวุธกองกำลังของคุณ ภารกิจเพื่อกรุงวอร์ซอและเมืองอื่น ๆ จะยังคงเป็นการป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายเยอรมัน - ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมืองที่ถูกยึดครองโดยพวกบอลเชวิคควรจะเจรจาในการถอนทหารประจำการไปยังฮังการีหรือโรมาเนียด้วย
ชุดคำสั่งที่ขัดแย้งกันสองชุดทำให้เกิดความสับสนในกองทัพโปแลนด์ และเมื่อกองทัพแดงโจมตีกองกำลังโปแลนด์ ก็นำไปสู่การกระทบกระทั่งและยุทธการขนาดเล็กขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การตอบสนองของผู้ที่ไม่ใช่เชื้อสายโปลได้ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก ในบางกรณี อย่างเช่น ชาวยูเครน ชาวเบลารุส และชาวยิว ซึ่งให้การต้อนรับกองกำลังฝ่ายบุกครองเยี่ยงผู้ปลดปล่อย องค์การชาตินิยมชาวยูเครน ได้ถูกก่อตั้งขึ้น เพื่อต่อสู้กับชาวโปล และภารดรคอมมิวนิสต์ได้ก่อการปฏิวัติในท้องถิ่น อย่างเช่นที่ Skidel
แผนการเริ่มต้นในการล่าถอยของกองทัพโปแลนด์ คือ การล่าถอยและรวมกำลังใหม่ในเขตหัวสะพานโรมาเนีย ซึ่งเป็นดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของโปแลนด์ใกล้กับแนวชายแดนที่ติดกับโรมาเนีย โดยมีแนวคิด คือ การปรับใช้ตำแหน่งป้องกันที่นั่นและรอคอยการโจมตีของอังกฤษและฝรั่งเศสจากทางตะวันตกตามที่สัญญาเอาไว้ แผนการนี้คาดว่าเยอรมนีจะลดการปฏิบัติการในโปแลนด์ เพื่อนำกำลังของตนไปสู้ในแนวรบที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตรคาดหวังว่ากองทัพโปแลนด์จะยื้อเวลาได้หลายเดือน แต่การโจมตีของสหภาพโซเวียตทำให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
ผู้นำทางการเมืองและทางทหารของโปแลนด์รู้ดีว่าตนกำลังพ่ายแพ้สงครามกับเยอรมนี และการโจมตีจากสหภาพโซเวียตยิ่งเป็นการตอกย้ำในประเด็นนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโปแลนด์ปฏิเสธที่จะยอมจำนนหรือเจรจาสันติภาพกับเยอรมนี แต่กลับสั่งการให้กองทหารทั้งหมดอพยพจากโปแลนด์ และรวมกำลังใหม่ในฝรั่งเศส ส่วนรัฐบาลโปแลนด์ได้หลบหนีข้ามพรมแดนไปยังโรมาเนีย เมื่อราวเที่ยงคืนของวันที่ 17 กันยายน 1939 ผ่านจุดผ่านแดนที่ Zaleszczyki กองทัพโปแลนด์ยังคงดำเนินการเคลื่อนทัพมุ่งหน้าไปยังเขตหัวสะพานโรมาเนีย โดยได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีของกองทัพเยอรมันทางด้านหนึ่ง และการปะทะกับกองทัพโซเวียตจากอีกด้านหนึ่ง หลายวันหลังจากคำสั่งอพยพได้ประกาศออกมา กองทัพเยอรมันสามารถทำลายกองทัพคราคอฟ (Army Krak?w) และกองทัพลูบลิน (Army Lublin) ได้ที่ยุทธการแห่งโทมาสซอฟ ลูเบลสกี ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 กันยายน
กองทัพโซเวียตมักจะพบกับกองกำลังเยอรมัน ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามาจากทิศทางตรงกันข้าม และมีตัวอย่างของการร่วมมือกันหลายครั้งระหว่างทั้งสองกองทัพในการรบ เช่น เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนผ่านป้อมปราการเบรสต์ ซึ่งถูกทำลายลง หลังจากยุทธการแห่ง Brze?? Litewski ไปยังกองพลน้อยรถถังที่ 29 แห่งสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายพลเยอรมัน ไฮนซ์ กูเดเรียน และนายพลจัตวาโซเวียต แซมยอน คริโวเชย์น ได้มีการจัดขบวนฉลองชัยชนะร่วมกันในเมืองนั้นลวีฟยอมจำนนเมื่อวันที่ 22 กันยายน ไม่กี่วันหลังจากที่กองทัพเยอรมันยุติปฏิบัติการปิดล้อม และกองทัพโซเวียตได้มาดำเนินการต่อ กองทัพโซเวียตได้ยึดเมืองวิลโน เมื่อวันที่ 19 กันยายน หลังจากการสู้รบเป็นเวลาสองวัน และยึดเมืงกรอดโนได้เมื่อวันที่ 24 กันยายน หลังจากการรบเป็นเวลาสี่วัน เมื่อวันที่ 28 กันยายน กองทัพแดงได้มาถึงแนวแม่น้ำนารอว์ บี๊กตะวันตก วิสตูล่าและซาน - ซึ่งเป็นแนวชายแดนซึ่งได้ตกลงไว้ในการบุกครองร่วมกับกองทัพเยอรมัน และการต้านทานของโปแลด์ ซึ่งถูกปิดล้อมในเขตป้องกันซาร์นี โวลฮีเนีย ใกล้กับแนวชายแดนโปแลนด์-โซเวียตเดิม ได้ทำการรบไปจนถึงวันที่ 25 กันยายน
ถึงแม้ว่ากองทัพโปแลนด์จะได้รับชัยชนะทางยุทธวิธีได้ในยุทธการแห่ง Szack เมื่อวันที่ 28 กันยายนก็ตาม แต่ผลของการรบที่ใหญ่กว่าไม่เป็นที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด อาสาสมัครพลเรือน ทหารชาวบ้านและทหารที่ล่าถอยกลับมาได้ทำการรบต้านทานในกรุงวอร์ซอ ไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน ปราการมอดลิน ทางตอนเหนือของกรุงวอร์ซอ ยอมจำนนเมื่อวันที่ 29 กันยายน ในวันที่ 1 ตุลาคม กองทัพโซเวียตขับไล่กองทัพโปแลนด์ให้ล่าถอยไปจนถึงเขตป่าในยุทธการแห่ง Wytyczno ซึ่งเป็นหนึ่งในการเผชิญหน้าโดยตรงครั้งสุดท้ายของการทัพดังกล่าว
ทหารประจำการบางแห่งได้ป้องกันที่มั่นของตนหลังจากที่ส่วนอื่น ๆ ได้ยอมจำนนไปแล้ว แต่กองกำลังสุดท้ายของโปแลนด์ที่ยอมจำนน คือ กลุ่มปฏิบัติการอิสระโปลิเซ่ นายพลฟรานซิสเซ็ค คลีเบิร์ก (Samodzielna Grupa Operacyjna "Polesie") ในวันที่ 6 ตุลาคม หลังจากยุทธการแห่งค็อก ใกล้กับเมืองลูบลิน เป็นเวลาสี่วัน และเป็นจุดสิ้นสุดของการบุกครอง
กองทัพโซเวียตได้รับชัยชนะ ในวันที่ 31 ตุลาคม วียาเชสลาฟ โมโลตอฟได้รายงานต่อรัฐสภาสูงสุดของโซเวียต ว่า: "หลังจากการโจมตีสั้น ๆ ของกองทัพเยอรมัน และตามด้วยการรุกของกองทัพแดง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำลายสิ่งมีชีวิตอันอัปลักษณ์ซึ่งหลงเหลืออยู่จากสนธิสัญญาแวร์ซาย"
ปฏิกิริยาของฝรั่งเศสและอังกฤษยังคงเงียบกริบ นับตั้งแต่ไม่มีประเทศใดที่ต้องการเผชิญหน้ากับสหภาพโซเวียตในสถานการณ์เช่นนี้ ภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันระหว่างโปแลนด์-อังกฤษ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1939 อังกฤษได้ให้สัญญาจะช่วยเหลือโปแลนด์หากถูกโจมตีจากอำนาจในทวีปยุโรป แต่เมื่อเอกอัครราชทูตโปแลนด์ เอ็ดเวิร์ด เบอร์นาร์ด แรคซินสกี ได้เตือนความจำของเลขาธิการแห่งรัฐด้านกิจการต่างประเทศและเครือจักรภพ อี. เอฟ. แอล. วูด เอร์ลที่หนึ่งแห่งฮาลิแฟกซ์ เขากลับตอบอย่างทื่อ ๆ ว่า เป็นธุระของอังกฤษหรือที่จะประกาศสงครามกับสหภาพโซเวียต นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร เนวิลล์ เชมเบอร์แลนด์ พิจารณาให้มีการพิจารณาสาธารณะในการฟื้นฟูสถานภาพรัฐของโปแลนด์ แต่ในตอนท้าย ก็กลายเป็นเพียงการแถลงการตำหนิเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฝรั่งเศสเองก็ได้ให้สัญญากับโปแลนด์ รวมไปถึงการมอบความช่วยเหลือทางอากาศ แต่กลับไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ครั้นเมื่อกองทัพโซเวียตเคลื่อนทัพเข้าสู่โปแลนด์ ฝรั่งเศสและอังกฤษได้ตัดสินว่าตนไม่อาจให้ความช่วยเหลือโปแลนด์ได้ในระยะเวลาอันสั้น และเริ่มต้นวางแผนสำหรับชัยชนะในระยะยาวแทน ฝรั่งเศสได้ดำเนินการรุกในแคว้นซาร์เพียงเล็กน้อย เมื่อต้นเดือนกันยายน แต่หลังจากความพ่ายแพ้ของโปแลนด์ กองทัพฝรั่งเศสก็ล่าถอยกลับไปยังแนวมากิโนต์ ในวันที่ 4 ตุลาคม ชาวโปลจำนวนมากไม่พอใจกับการให้ความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยจากฝ่ายพันธมิตรตะวันตก ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีการทรยศโดยชาติตะวันตก
ในเดือนตุลาคม 1939 โมโลตอฟได้รายงานสภาสูงของโซเวียต ว่ากองทัพโซเวียตเสียชีวิตทหารไป 737 นาย และได้รับความสูญเสีย 1,862 นายระหว่างการทัพ แต่ผู้เชี่ยวชายชาวโปแลนด์อ้างว่ามีทหารเสียชีวิตสูงถึง 3,000 นาย และบาดเจ็บราว 8,000-10,000 นาย ส่วนทางฝ่ายโปแลนด์ มีทหารเสียชีวิตในการรบกับสหภาพโซเวียตราว 6,000-7,000 นาย และถูกจับเป็นเชลยศึกราว 230,000-450,000 นาย ทหารโซเวียตมักจะไม่ให้เกียรติในเงื่อนไขการยอมจำนน พวกเขาให้สัญญาทหารโปแลนด์ว่าจะมอบอิสรภาพให้ แต่กลับเข้าจับกุมในทันทีที่วางปืนลง
สหภาพโซเวียตล้มเลิกการรับรองรัฐโปแลนด์นับตั้งแต่เริ่มต้นการบุกครองแล้ว ผลที่ตามมา คือ รัฐบาลของทั้งสองไม่เคยประกาศสงครามอย่างเป็นทางการระหว่างกัน ฝ่ายโซเวียตไม่ได้จัดเชลยศึกที่เป็นทหารโปแลนด์ว่าเป็นเชลยศึก แต่จัดว่าเป็นกบฏต่อรัฐบาลใหม่อันชอบธรรมของยูเครนตะวันตกและเบโลรุสเซียตะวันตก ฝ่ายโซเวียตสังหารเชลยศึกชาวโปแลนด์นับหมื่นนาย บางคนอย่างเช่น นายพลโจเซฟ ออลซีนา วิลซินสกี ผู้ซึ่งถูกจับกุมตัว สืบสวน และถูกยิงเมื่อวันที่ 22 กันยายน นับเป็นการประหารระหว่างการทัพเลยทีเดียว ในวันที่ 24 กันยายน ทหารโซเวียตสังหารเจ้าหน้าที่ 42 คนและคนไข้ของโรงพยาบาลทหารโปแลนด์ในหมู่บ้านกราโบวิค ใกล้กับ Zamo?? ฝ่ายโซเวียตยังได้ประหารนายทหารทุกนายที่สามารถจับกุมตัวได้ภายหลังยุทธการแห่ง Szack นับตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 1939 ทหารโปแลนด์และพลเรือนมากกว่า 20,000 นายเสียชีวิตในการสังหารหมู่คาทิน
ในการควบคุมตัวในเรือนจำของโซเวียต ได้มีการทรมานผู้ต้องขังกกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองขนาดเล็ก ในเมือง Bobrka ผู้ต้องขังถูกราดด้วยน้ำต้มเดือด ใน Przemyslany ผู้ต้องขังถูกตัดจมูก หูและนิ้ว รวมไปถึงควักลูกตาออก ในเมือง Czortkow สตรีในเมืองถูกตัดเต้านมออกจากร่าง และในเมือง Drohobycz ได้มีการพบเหยื่อถูกมัดติดกันด้วยลวดหนาม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Sambor, Stanislawow, Stryj และ Zloczow รวมไปถึงเมื่อในเมือง Czortk?w และระหว่างการลุกฮือขึ้นโดยชาวโปแลนด์ท้องถิ่น เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1940 ได้ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงโดยฝ่ายโซเวียต
"เราไม่สามารถหลีกหนีข้อสรุปที่ว่า: ระบบความปลอดภัยของรัฐโซเวียตทรมานผู้ต้องขังในเรือนจำของตนไม่เพียงแต่ต้องการบีบคั้นให้มีการสารภาพเท่านั้น แต่รวมไปถึงทำให้พวกเขาเหล่านั้นเสียชีวิตลงด้วย ไม่ใช่ว่าหน่วยเอ็นเควีดีจะมีความซาดิสต์ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว การทรมานนี้เป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและมีระเบียบ"
ฝ่ายโปแลนด์และสหภาพโซเวียตได้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1941 หลังจากข้อตกลงซิคอร์สกี-เมย์สกี แต่สหภาพโซเวียตได้ยุติความสัมพันธ์ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1943 หลังจากที่รัฐบาลโปแลนด์และทหารนาซีเยอรมันที่สโมเลนสค์ที่ตรวจการอยู่ได้ตรวจสอบ เมื่อได้ค้นพบหลุมมรณะที่ Katyn หลังจากนั้น ฝ่ายโซเวียตได้พยายามวิ่งเต้นฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกให้ยอมรับรัฐบาลนิยมโซเวียตของ วานดา วาซิลลีว์สกา ในกรุงมอสโก
ในวันที่ 28 กันยายน 1939 สหภาพโซเวียตและเยอรมนีได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขลับของสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ โดยยกลิทัวเนียให้อยู่ในเขตอิทธิพลของโซเวียต และเลื่อนแนวชายแดนในโปแลนด์มาทางด้านตะวันออก โดยยกให้เป็นดินแดนของเยอรมนีมากขึ้น จากการจัดการดังกล่าว มักจะถูกพิจารณาว่าเป็นการแบ่งโปแลนด์ครั้งที่สี่ในประวัติศาสตร์ สหภาพโซเวียตได้ครอบครองดินแดนฝั่งตะวันออกเกือบทั้งหมดของแม่น้ำพิซา นาโรว์ บั๊กตะวันตกและซาน ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 200,000 ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองชาวโปแลนด์อาศัยอยู่ 13.5 ล้านคน
กองทัพแดงได้หว่านความสับสนให้กับชาวบ้านท้องถิ่น โดยกล่าวอ้างว่าพวกเขามายังโปแลนด์ เพื่อช่วยป้องกันภัยจากนาซี การบุกครองของพวกเขาสร้างความประหลาดใจให้กับประชาคมโปแลนด์และผู้นำ ซึ่งยังไม่ได้แนะนำวิธีการรับมือกับภัยการบุกครองของสหภาพโซเวียตเลย พลเมืองชาวโปแลนด์และชาวยิวอาจเลือกที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของโซเวียตมากกว่าอยู่ภายใต้การปกครองของเยอรมนี อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโซเวียตได้พยายามสอดแทรกแนวคิดของตนลงไปในวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว และยังได้เริ่มการริบทรัพย์ การยึดในเป็นของรัฐบาล และกระจายทรัพย์สินของเอกชนและของรัฐโปแลนด์ทั้งหมดเสียใหม่ ระหว่างการยึดครองเป็นระยะเวลานานสองปี ฝ่ายโซเวียตได้จับกุมพลเมืองชาวโปแลนด์กว่า 100,000 คน และเนรเทศชาวโปแลนด์เป็นจำนวนระหว่าง 350,000–1,500,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิต 250,000–1,000,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมือง
จากจำนวนประชากร 13.5 ล้านคนซึ่งอาศัยอยู่ในเขตยึดครองโปแลนด์ของสหภาพโซเวียต เชื้อชาติโปลเป็นเชื้อชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ชาวเบลารุสและชาวยูเครนเมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนคิดเป็น 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด การผนวกดินแดนในครั้งนี้ไม่ได้รวมเอาเชื้อชาติเบลารุสหรือชาวยูเครนทั้งหมด มีบางส่วนที่อาศัยอยู่ในเขตยึดครองของเยอรมนีทางตะวันตก แม้กระนั้น ก็สามารถทำให้เกิดการรวมตัวกันของชนส่วนใหญ่ของประชากรทั้งสองเชื้อชาติ และเกิดเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเบลารุส และสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน ซึ่งขยายเพิ่มขึ้นมา
ในวันที่ 26 ตุลาคม 1939 การเลือกตั้งสภาเบลารุสและสภายูเครนถูกจัดขึ้น ในการรับรองการผนวกดินแดนดังกล่าวให้เป็นการสมเหตุสมผล ชาวเบลารุสและชาวยูเครนในโปแลนด์มักจะถูกเบียดขับให้เกิดความเป็นต่างด้าวมากขึ้น โดยนโยบายของรัฐบาลโปแลนด์ และการสลายขบวนการแบ่งแยกดินแดน ทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีความจงรักภักดีน้อยมากต่อรัฐโปแลนด์ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ชาวเบลารุสเซียนและชาวยูเครนทั้งหมดที่เชื่อในความรับผิดชอบจากการปกครองของโซเวียต หลังจากทุพภิกขภัยชาวยูเครนแห่งปี 1932-1933 ในทางปฏิบัติแล้ว คนจนมักจะให้การต้อนรับพวกโซเวียต และพวกผู้ดีชั้นสูงจะเข้าร่วมกับการต่อต้าน ถึงแม้ว่าจะสนับสนุนให้มีการรวมชาติใหม่ก็ตาม
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/การบุกครองโปแลนด์ของสหภาพโซเวียต