การทลายคุกบัสตีย์ (ฝรั่งเศส: Prise de la Bastille; อังกฤษ: Fall of the Bastille) คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2332 ณ บัสตีย์ ซึ่งเป็นป้อมปราการและเรือนจำที่สร้างขึ้นในยุคกลาง ตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงปารีส ราชอาณาจักรฝรั่งเศส แม้ในเวลานั้นจะมีนักโทษอยู่เพียงเจ็ดคน แต่สถานที่แห่งนี้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการใช้พระราชอำนาจในทางมิชอบและเกินขอบเขตของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเหตุการณ์นี้ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการปฏิวัติฝรั่งเศส
การทลายคุกบัสตีย์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่ซึ่งวันดังกล่าวได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ เรียกว่า วันบัสตีย์ (Bastille Day) หรือเป็นที่รู้จักในประเทศฝรั่งเศสว่า วันที่สิบสี่กรกฎาคม (ฝรั่งเศส: Le quatorze juillet) และเดิมเรียกว่า วันเฉลิมฉลองสหพันธรัฐ (ฝรั่งเศส: F?te de la F?d?ration)
ในช่วงรัชกาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ฝรั่งเศสเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาระทางการเงินจากการสนับสนุนการปฏิวัติอเมริกาของฝรั่งเศส และผลพวงจากระบบการจัดเก็บภาษีอากรในอัตราถดถอย ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2332 การประชุมสภาฐานันดร พ.ศ. 2332 ถูกจัดขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ แต่การประชุมกลับถูกยื้อไว้ด้วยขนบจารีตอันโบราณและแนวคิดอนุรักษนิยมของฐานันดรที่สอง แม้ว่าจฐานันดรที่สองจะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับประชากรชาวฝรั่งเศสในขณะนั้นก็ตาม ต่อมาซามูเอล โชเมต์ ผู้บัญชาการกรมที่ทหารที่ 14 แห่งกองทัพราชอาณาจักรฝรั่งเศสในขณะนั้น ได้ละทิ้งตำแหน่งราชการและเข้าร่วมกับฝ่ายกบฏ ในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2332 ฐานันดรที่สาม พร้อมด้วยคณะผู้แทนราษฎรจากสามัญชน สถาปนาตนเองขึ้นเป็น สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ที่มีจุดมุ่งหมายในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของฝรั่งเศสขึ้นมา ซึ่งในช่วงแรกพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่ทรงเห็นด้วยกับความริเริ่มดังกล่าว แต่ก็ทรงถูกบังคับให้ยอมรับในอำนาจหน้าที่ของสมัชชาแห่งชาติ ที่ซึ่งเปลี่ยนไปเป็น สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ (National Constituent Assembly) ในวันที่ 9 กรกฎาคม
เหล่าสามัญชนได้ร่วมกันจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธของประชาชน (ฝรั่งเศส: Garde Nationale) พร้อมประดับริบบิ้นวงกลมสามสี กอการ์ด (ฝรั่งเศส: cocardes) ที่ประกอบไปด้วยสีน้ำเงิน สีขาว และสีแดง อันเกิดจากการรวมริบบิ้นกอการ์ดส์สีน้ำเงิน-แดงของกรุงปารีสเข้ากับริบบิ้นกอการ์ดส์สีขาวของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส ริบบิ้นกอการ์ดส์เหล่านี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ จนในที่สุดได้ถูกนำมาใช้เป็นธงไตรรงค์ เลอ ตรีกอลอร์ ของฝรั่งเศสในที่สุด
กรุงปารีสเกือบเข้าสู่สภาวะจลาจลจากคำกล่าวของฟร็องซัว มิเญต์ "[กรุงปารีส]ปนเปื้อนไปด้วยเสรีภาพและความกระตือรือร้น" แสดงให้เห็นแรงสนับสนุนสภาร่างรัฐธรรมนูญฯ เป็นวงกว้าง ทุกวันสื่อมีการรายงานการโต้เถียงในสภาฯ จนการโต้เถียงดังกล่าวขยายวงออกมานอกสภาฯ สู่สาธารณชนตามจัตุรัสสาธารณะและศาลาว่าการเมือง ต่อมาพระราชวังหลวงถูกใช้เป็นสถานที่พบปะและจัดการประชุมนับครั้งไม่ถ้วน ฝูงชนได้ถือโอกาสการเข้าไปประชุม ณ พระราชวังหลวง บุกเข้าไปยังเรือนจำปรีซง เดอ ลาบ์เบย์ เพื่อปล่อยตัวพลทหารบกของกองกำลังราชองค์รักษ์ฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Gardes Fran?aises) ที่ถูกคุมขังเนื่องจากปฏิเสธคำสั่งยิงเข้าใส่ฝูงชน ซึ่งสมาชิกสภาฯ ถวายคำแนะนำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงเมตตาพลทหารเหล่านี้ ส่งผลให้ต่อมาทั้งหมดถูกนำตัวกลับไปคุมขังเช่นเดิมและได้รับพระราชทานอภัยโทษในที่สุด แสดงให้เห็นว่ากองทัพของชาติที่ในอดีตขึ้นตรงแต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เริ่มหันเข้าหาฝ่ายสาธารณชนมากขึ้น
ในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2332 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ผู้ซึ่งดำรงพระราชอำนาจภายใต้อิทธิพลของเหล่าขุนนางหัวอนุรักษนิยมจากสภาองคมนตรีของพระองค์เอง มีพระราชโองการถอดถอนฌัก เน็กแกร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของพระองค์ ผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจต่อฐานันดรที่สาม หลังจากที่เขาได้ปฏิรูปรื้อสร้างการบริหารงานในกระทรวงของตนขึ้นใหม่ ทั้งนี้พระเจ้าหลุยส์ทรงวางกองกำลังป้องกันไว้ทั้งที่พระราชวังแวร์ซาย เทศบาลเซเวรอส์ เทศบาลแซ็ง-เดอนี และสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส จากนั้นทรงแต่งตั้งวิกตอร์-ฟร็องซัว ดยุกแห่งบรอกลี ดยุกแห่งลากาลิซ็องนีแยร์ ดยุกแห่งโว-กวียง บารงหลุยส์แห่งเบรอเตย และข้าหลวงประจำราชสำนักฌอแซฟ ฟูลง ทดแทนในตำแหน่งของปิเซเกอร์ อาร์ม็งด์ มาร์ก เคาน์แห่งม็งต์มอแร็ง ดยุกแห่งลาลูแซร์น แซ็งต์-ปรีสต์ และฌัก เน็กแกร์ ตามลำดับ
ข่าวการถอดถอนเน็กแกร์ออกจากตำแหน่งมาถึงยังกรุงปารีสในบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม ชาวปารีสส่วนมากสันนิษฐานว่าการถอดถอนดังกล่าวหมายถึงจุดเริ่มต้นของการรัฐประหารโดยฝ่ายอนุรักษนิยม ชาวปารีสฝ่ายเสรีนิยมยังรู้สึกกราดเกรี้ยวจากความกลัวที่ว่าการโยกกองทหารหลวงมาประจำการ ณ แวร์ซาย คือความพยายาในการล้มล้างสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติซึ่งประชุมกัน ณ แวร์ซาย ฝูงชนรวมตัวกันทั่วกรุงปารีส และรวมตัวกันมากกว่าหนึ่งหมื่นคนบริเวณพระราชวังหลวง กามิลล์ เดมูแล็งส์ ประสบความสำเร็จในการปลุกระดมฝูงชนด้วยการร้องป่าวประกาศว่า พลเมืองทั้งหลาย ไม่มีเวลาเหลืออีกต่อไปแล้ว การปลดเน็กแกร์คือเสียงระฆังมรณะแห่งเซนต์บาโทโลมิวสำหรับผู้รักชาติ! นี่คือคืนที่ชาวสวิสและเยอรมันทุกคนจะเดินทางจากช็องเดอมาร์สเพื่อสังหารเราทุกคน สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ ก็คือการจับอาวุธขึ้นมา! ซึ่งพลทหารสวิสและเยอรมันคือหนึ่งในกองกำลังทหารรับจ้างชาวต่างชาติที่มีสัดส่วนไม่น้อยในกองทัพราชอาณาจักรฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติ และถูกมองว่ามีแนวโน้มที่จะเข้าข้างฝ่ายสามัญชนน้อยกว่าพลทหารทั่วไปในกองทัพฝรั่งเศส ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ประมาณการณ์กันว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนพลทหาร 25,000 นายในกรุงปารีสและแวร์ซายถูกโยกย้ายมาจากกองกำลังทหารต่างชาตินี้
ระหว่างการเดินขบวนประท้วงตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ฝูงชนยังได้แสดงประติมากรรมครึ่งตัวของเน็กแกร์และหลุยส์ ฟิลิปที่ 2 ดยุกแห่งออร์เลอ็องไปตามท้องถนนพร้อมกับการเดินขบวน โดยเริ่มตั้งแต่พระราชวังหลวง จากนั้นผ่านเขตโรงละครไปตามแนวถนนทิศตะวันตก จนทำให้ฝูงชนเข้าปะทะกับกองทหารหลวงเยอรมัน (รัวยาล-อัลเลอม็องด์) บริเวณระหว่างปลัสว็องโดม (ฝรั่งเศส: Place Vend?me) กับพระราชวังตุยเลอรีส์ ส่วนเหตุการณ์บริเวณหัวถนนช็องเซลีเซ เจ้าชายแห่งล็องเบสก์นำกองทหารม้าเข้าปะทะขับไล่ฝูงชนที่เหลืออยู่บริเวณปลัสหลุยส์แก็งซ์ (ปัจจุบันคือปลัสเดอลากงกอร์ด; ฝรั่งเศส: Place de la Concorde) ด้านผู้บัญชาการกองทัพหลวง บารงแห่งเบซ็องวัล เกรงว่าจะเกิดเหตุนองเลือดในหมู่ฝูงชนผู้ติดอาวุธตนเองมาอย่างแย่ ๆ และกลัวว่าพลทหารให้กองของตนจะแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับฝูงชน จึงตัดสินใจถอนกองกำลังกลับสู่เขตเทศบาลเซเวรอส์อันเป็นฐานที่มั่น ในขณะเดียวกันนั้นเองที่เหตุการณ์ความไม่สงบทวีความรุนแรงขึ้นในหมู่ชาวปารีสผู้ไม่พอใจการใช้อำนาจของรัฐบาล โดยฝูงชนกลุ่มดังกล่าวบุกเข้าทำลายทรัพย์สินภายในสำนักงานศุลกากร เนื่องจากกล่าวโทษกันว่าสำนักงานศุลกากรเป็นต้นเหตุที่ทำให้ราคาอาหารและไวน์สูงขึ้น ต่อมาชาวปารีสเริ่มเข้าปล้นสะดมสถานที่ใดก็ตามที่มีอาหาร อาวุธปืน หรือเสบียงอื่น ๆ กักตุนเอาไว้ ในคืนนั้นเองที่ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่าเสบียงกองใหญ่ถูกกักตุนไว้ในแซ็ง-ลาซาร์ เคหสถานอันโออาของนักบวชซึ่งถูกใช้เป็นอารามแม่ชี โรงพยาบาล โรงเรียน หรือแม้กระทั่งคุก ส่งผลให้ฝูงชนผู้โกรธเกรี้ยวบุกทลายและเข้าปล้นสะดมเคหสถานดังกล่าว จนสามารถยึดเอาข้าวสาลีได้จำนวน 52 เล่มเกวียน ก่อนจะถูกนำไปจำหน่าย ณ ตลาดสดในวันต่อมา และวันเดียวกันนั้นเองที่ฝูงชนเข้าปล้นสะดมสถานที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งรวมทั้งคลังแสงอาวุธ โดยกองทัพหลวงไม่ได้เข้าระงับเหตุความวุ่นวายในสังคมที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้นแต่อย่างใด
กองกำลังราชองค์รักษ์ตั้งหลักอย่างถาวรอยู่ในกรุงปารีส โดยมีท่าทีที่เป็นมิตรและเข้ากับฝ่ายประชาชนชาวปารีส ซึ่งในช่วงต้นของเหตุความไม่สงบที่เริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม กองกำลังนี้ยังคงประจำการอยู่ ณ ค่ายทหารของตน ในขณะที่ตามท้องถนนของกรุงปารีสเต็มไปด้วยความวุ่นวายจนแทบจะเป็นเรื่องปกติ ด้านชาลส์ เออแฌน เจ้าชายแห่งล็องเบสก์ (จอมพลผู้ประจำการ ณ ค่ายทหารดังกล่าว และผู้บังคับบัญชากองทหารม้าหลวงรัวยาล-อัลเลอม็องด์) ไม่ไว้ใจว่านายทหารในกองนี้จะเชื่อฟังคำบังคับบัญชา จึงตัดสินใจโยกพลทหารม้าจำนวนหกสิบนายไปประจำอยู่ ณ กองบัญชาการใหญ่ในถนนลาโชเซด็องแตง และนี่นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ความพยามยามป้องกันเหตุความไม่สงบของผู้บังคับบัญชาลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โต นายทหารจำนวนหนึ่งจากกองกำลังราชองค์รักษ์พยายามเดินขบวนปลุกระดมแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ฝ่ายฝูงชนจึงเริ่มจัดตั้งกองกำลังฝึกฝนของตนเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป เหล่าผู้บังคับบัญชาในกองทัพหลวงจึงเริ่มตั้งค่ายกัน ณ สวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส พร้อมทั้งยังรู้สึกเคลือบแคลงว่าจะสามารถไว้วางใจกองกำลังทหารรับจ้างชาวต่างชาติได้หรือไม่ โดยในเหตุการณ์นี้ หลุยส์-ฟีลิป ดยุกแห่งออร์เลอ็อง (ผู้เสวยราชย์ขึ้นเป็น กษัตริย์ประชาชน ในอนาคต) ก็อยู่ร่วมเป็นสักขีพยานอยู่ด้วย โดยเขาเป็นเพียงพลทหารหนุ่มที่มีความคิดเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้เขายังแสดงทรรศนะถึงอดีตด้วยว่าพลทหารราชองครักษ์ฝรั่งเศสละทิ้งภาระหน้าที่ของตนในช่วงก่อนเหตุความไม่สงบ ปล่อยให้กองทหารถูกควบคุมโดยนายทหารชั้นประทวนมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะความเป็นผู้นำของบารงแห่งเบซ็องวัลที่ไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้พระราชอำนาจในการปกครองกรุงปารีสของพระเจ้าหลุยส์เสมือนว่าถูกล้มเลิกไปชั่วคราว ในขณะที่ฝ่ายสามัญชนมีการจัดตั้ง กองทหารกระฎุมพี (bourgeois militia) ขึ้นมาควบคุมเหตุจลาจลทั่วทั้งเขตเลือกตั้งทั้งหกสิบเขตของกรุงปารีสแทน
ในเช้าวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2332 กรุงปารีสตกอยู่ในสภาวะความไม่สงบ ผู้สนับสนุนฐานันดรที่สามในฝรั่งเศสตกอยู่ในการปกครองของกองทหารกระฎุมพีแห่งปารีส (ภายหลังกลายไปเป็นกองกำลังติดอาวุธของประชาชน; National Guard) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้บุกปล้นสะดม ออแตลเดแซ็งวาลีด (ฝรั่งเศส: H?tel des Invalides) ยึดเอาอาวุธ (เช่น ปืนดาบศิลาจำนวน 29,000 - 32,000 กระบอก แต่ไม่มีดินปืนหรือกระสุน) และกำลังพยายามบุกเข้าไปยังป้อมบัสตีย์เพื่อชิงเอาอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติม เช่น ดินปืนซึ่งมีมากถึง 13,600 กก. (30,000 ปอนด์) ถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในป้อม
ณ ช่วงเวลานั้น คุกภายในป้อมบัสตีย์แทบจะไม่มีนัทโทษหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงนักโทษชราถูกคุมขังเพียง 7 คนเท่านั้น ตามบันทึกระบุว่านักโทษทั้งเจ็ดคนได้แก่ ผู้ต้องหาปลอมแปลงเอกสาร 4 คน ผู้วิกลจริต 2 คน และขุนนางผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากพวกพ้อง 1 คน คือเคาน์แห่งโซลาจ (ก่อนหน้านี้มาร์กี เดอ ซาด พึ่งจะถูกโยกย้ายออกไปจากคุกได้เพียงสิบวัน) ด้วยค่าใช้จ่ายทำนุบำรุงรักษาป้อมปราการแห่งนี้ไม่คุ้มเสียกับประโยชน์การใช้งานที่มีอยู่จำกัด ทำให้รัฐบาลตัดสินใจปิดป้อมแห่งนี้ไม่นานก่อนเหตุความวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม ป้อมบัสตีย์ยังคงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของระบอบเผด็จการของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส
พลทหารที่ประจำอยู่ ณ ป้อมบัสตีย์โดยปกติมีทั้งสิ้น 82 นาย (ทั้งหมดเป็นนายทหาร แอ็งวาลีด; ฝรั่งเศส: invalides; พลทหารผ่านศึกผู้ไม่เหมาะสมกับการสู้รบอีกต่อไป ด้วยเหตุผลทางกายภาพที่อาจจะได้รับบาดเจ็บจนพิการหรือทุพพลภาพ) อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 กรกฎาคม มีการเสริมกำลังด้วยพลทหารรักษาพระองค์จำนวน 32 นาย จากกองทหารซาลิ-ซามาดของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเดิมประจำการอยู่ ณ สวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส มีการเสริมกำลังปืนใหญ่น้ำหนัก 8 ปอนด์ ตามกำแพงของป้อมจำนวน 8 กระบอก และปืนใหญ่ขนาดเล็ก 12 กระบอก โดยมีผู้บัญชาการสูงสุดประจำป้อมคือ แบร์นาร์ด-เรอเน เดอ โลเนย์ บุตรชายชองผู้บัญชาการคนก่อนหน้า และเกิดภายในป้อมบัสตีย์แห่งนี้
รายชื่อของ แว็งเกอเดอลาบัสตีย์ (ฝรั่งเศส: vainqueurs de la Bastille; ผู้ทลายคุกบัสตีย์) ตามบันทึกมีจำนวนทั้งสิ้น 954 ราย ซึ่งหากรวมฝูงชนผู้ร่วมการทลายคุกแล้ว จำนวนผู้ทลายคุกทั้งหมดก็ยังคงไม่เกิน 1,000 คน เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อฝูงชนรวมตัวกันในช่วงเช้า เรียกร้องให้นายทหารประจำป้อมยอมจำนน เคลื่อนย้ายปืนใหญ่ออกไป และยอมมอบอาวุธรวมถึงดินปืนให้แก่ฝ่ายประชาชน ฝ่ายทหารได้เชิญตัวแทนสองคนเข้าไปเจรจาภายในป้อมและเชิญตัวแทนอีกกลุ่มเข้าไปในช่วงเที่ยง การเจรจาดำเนินไปอย่างยืดเยื้อในขณะที่ฝูงชนเริ่มหมดความอดทน จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. ฝูงชนกรูกันเข้าไปบริเวณลานด้านนอกของป้อมซึ่งไม่ได้มีการป้องกันเอาไว้ ทำให้ฝ่ายพลทหารของป้อมตัดสินใจตัดสายโซ่ของสะพานชัก เพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงชนบุกเข้าถึงส่วนในของป้อมได้ ส่งผลให้ตัวสะพานหล่นทับผู้ร่วมทลายคุกรายหนึ่งและนำมาสู่การยิงต่อสู้ในที่สุด มีการเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์แตกต่างกันออกไป หนึ่งในนั้นเล่าว่าผู้บัญชาการป้อม (เดอโลเนย์) สั่งให้ระดมยิงปืนใหญ่ใส่ฝูงชน คร่าชีวิตเด็ก สตรี และผู้ประท้วงคนอื่นๆ ไปหลายคน จึงทำให้การประท้วงเปลี่ยนไปเป็นการจลาจลบริเวณรอบ ๆ ป้อมบัสตีย์ นอกจากนี้ฝูงชนยังรู้สึกว่าตนถูกหลอกล้อให้ติดกับของฝ่ายทหาร ทำให้การต่อสู้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ในขณะที่เจ้าหน้าที่บางส่วนพยายามยุติการยิงต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย แต่ก็ถูกเพิกเฉยโดยกลุ่มฝูงชนผู้ทลายคุก
การต่อสู้ยังคงดำเนินไปจนกระทั่งเวลา 15.00 น. เมื่อมีการเสริมกำลังจากกองกำลังราชองค์รักษ์ การ์ดฟร็องเซ ผู้ก่อกบฏและกลุ่มนายทหารผู้แปรพักตร์จำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยปืนใหญ่สองกระบอก ซึ่งกองกำลังของกองทัพบกหลวงแห่งฝรั่งเศสที่ประจำการณ์อยู่ใกล้เคียง ณ สวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส ไม่ได้เข้าทำการแทรกแซงหรือให้การช่วยเหลือฝ่ายของเดอโลเนย์แต่อย่างใด ต่อมาเมื่อเวลา 17.00 น. ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุสังหารหมู่ของทั้งสองฝ่ายเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น เดอโลเนย์จึงตัดสินใจหยุดยิงและส่งจดหมายยืนข้อเสนอของเขาแก่ฝูงชนผ่านช่องว่างของประตูป้อมด้านใน ฝูงชนปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว แม้กระนั้นเอง เดอโลเนย์ก็ยังคงตัดสินใจที่จะยอมจำนน เนื่องจากตระหนักได้ว่ากองทหารของเขาจะไม่สามารถยื้อการสู้รบได้นานกว่านี้ เดโลเนย์เปิดประตูป้อม ฝูงชนต่างแห่กรูเข้าสู่ลานด้านในและปลดปล่อยคุกบัสตีย์ได้สำเร็จเมื่อเวลา 17.30 น.
ฝ่ายผู้ทลายคุก 94 ราย และนายทหาร 1 นาย เสียชีวิตในการต่อสู้ที่เกิดขึ้น เดอโลเนย์ถูกจับกุมตัวและถูกลากไปตามท้องถนนมุ่งสู่ออแตลเดอวีล พร้อมกับมีการด่าทอและทารุณกรรมไปตลอดเส้นทาง ภายนอกออแตลเดอวีล มีการถกเถียงถึงชะตากรรมของเดอโลเนย์ต่อจากนี้ไป ทำให้เดอโลเนย์ผู้ถูกทารุณจนอาการสาหัสตะโกนขึ้นว่า "พอได้แล้ว! ให้ฉันตายเถอะ!" และเตะพ่อครัวทำขนมนามว่าดูเลต์เข้าที่หน้าแข้ง จากนั้นเดอโลเนย์จึงถูกแทงซ้ำไปซ้ำมาก่อนที่จะล้มลงในที่สุด ก่อนที่ฝูงชนจะเลื่อยศีรษะของเขานำมาเสียบเข้ากับหอกหลาวและนำไปตระเวนแห่ตามท้องถนนของกรุงปารีส พลทหารประจำป้อมอีกสามนายก็ถูกสังหารโดยฝูงชนด้วยเช่นกัน นายตำรวจที่รอดชีวิตมาได้รายงานรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนพลทหาร แอ็งแวลิด ประจำป้อมสองนายถูกรุมประชาทัณฑ์ ในขณะที่พลทหารสวิสจากกองทหารซาลิ-ซามาด ได้รับการปกป้องจากกองกำลัง การ์ดฟร็องเซ และถูกปล่อยตัวกลับสู่กองทหารของพวกตน มีเพียงนายทหารสองนายจากกองทหารนี้ที่ถูกสังหาร ผู้บังคับบัญชาของพวกเขา พลโทหลุยส์เดอฟลู เขียนรายงานถึงรายละเอียดในเหตุการณ์ดังกล่าว และรวมมันเข้ากับสมุดบันทึกเหตุการณ์ประจำกองทหารซาลิ-ซามาด การเสียชีวิตของเดอโลเนย์นับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง (และอาจไม่ยุติธรรมสำหรับเขา) แต่กระนั้นเดอฟลูก็ยังคงกล่าวโทษว่าเดอโลเนย์อ่อนแอและบกพร่องในการเป็นผู้นำที่เฉียบขาด กล่าวโทษอีกว่าสาเหตุที่ทำให้ป้อมถูกทลายได้สำเร็จเป็นเพราะความเฉื่อยชาของผู้บัญชาการกองทัพบกหลวงแห่งฝรั่งเศสที่ประจำอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ที่ไม่พยายามเข้าสนับสนุนกองกำลังของเดอโลเนย์ ณ ป้อมบัสตีย์ หรือออแตลเดแซ็งแวลิดที่กำลังถูกโจมตีจากฝูงชน
ต่อมากลุ่มฝูงชนผู้ก่อจลาจลเดินทางกลับไปยังออแตลเดอวีล และกล่าวหาว่า เพรโวเดมาร์ช็อง (นายกเทศมนตรี) ฌัก เดอ เฟลสเซลล์ ทรยศต่อประเทศชาติ โดยเขาถูกลอบสังหารขณะถูกนำตัวไปพิจารณาคดี ณ พระราชวังหลวง
ในเช้าวันต่อมา ดยุกแห่งลารอเชฟูโกด์นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระองค์ตรัสถามว่า "นี่คือการก่อกำเริบหรือ" ในขณะที่ลารอเชฟูโกด์ทูลกลับไปว่า "มิใช่ขอรับ นี่มิใช่การก่อกำเริบ นี่คือการปฏิวัติ"
พลเมืองชาวปารีสคาดการณ์ว่าจะมีการโจมตีตอบโต้ จึงทำการยึดฐานที่มั่นตามท้องถนน ก่อกำแพงหินกำบัง และติดอวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ โดยเฉพาะหอกไม้เหลาจำนวนมาก ในขณะที่แวร์ซาย สมัชชาแห่งชาติยังคงไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ในปารีส แต่ระแวดระวังว่านายพลเดอบรอกลีอาจนำกองทหารฝ่ายกษัตริย์นิยมก่อรัฐประหาร และบังคับให้สมัชชา ฯ รับพระราชโองการวันที่ 23 มิถุนายน จากนั้นจึงจะยุบสมัชชาลง วิสเคาน์แห่งนออาย เป็นบุคคลแรกที่นำข่าวและข้อเท็จจริงอันถูกต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปารีสมายังสมัชชา ฯ ที่แวร์ซาย จากนั้นสมัชชาจึงส่งผู้แทนไปยังออแตลเดอวีลเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงของนออาย
ในเช้าของวันที่ 15 กรกฎาคม ผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ปรากฏเป็นที่ชัดแจ้งแก่พระเจ้าหลุยส์ด้วยเช่นกัน พระองค์พร้อมด้วยนายพลทหารของพระองค์มีท่าทีผ่อนคลายลง กองกำลังหลวงที่ประจำการณ์อยู่ตามจุดต่าง ๆ ของกรุงปารีสถูกโยกย้ายกระจัดกระจายไปตามป้อมประจำการณ์เดิมของพวกเขาตามแนวชายแดน ด้านมาร์กี เดอ ลา ฟาแยตต์ เข้าบังคับบัญชากองกำลังติดอาวุธของประชาชนในปารีส ในขณะที่ฌ็อง-ซิลแว็ง เบญี (ผู้นำของฐานันดรที่สามและผู้ยุยงในการประกาศคำปฏิญาณสนามเทนนิส) เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีภายใต้โครงสร้างการปกครองท้องถิ่นแบบใหม่ที่เรียกว่า กอมมูนแห่งปารีส (ฝรั่งเศส: Commune de Paris) พระเจ้าหลุยส์ทรงประกาศว่าจะโปรดเกล้า ฯ ให้เน็กแกร์กลับมาดำรงตำแหน่งเดิม และเสด็จ ฯ จากแวร์ซายกลับสู่ปารีส ต่อมาในวันที่ 17 กรกฎาคม ณ กรุงปารีส ทรงรับเอาริบบิ้นกอการ์ดสามสีจากเบญีและเสด็จ ฯ เข้าไปในออแตลเดอวีล ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของประชาชนว่า "กษัตริย์จงเจริญ" และ "ประเทศชาติจงเจริญ"
แม้กระนั้นเอง ภายหลังเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นปารีส เหล่าขุนนางและชนชั้นสูง ผู้ไม่สามารถไว้วางใจสถานการณ์และความปรองดองระหว่างกษัตริย์และประชาชนของพระองค์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้ เริ่มพากันลี้ภัยออกนอกประเทศในฐานะ ฝ่ายเอมิเกร (ฝรั่งเศส: ?migr?s) ซึ่งผู้เข้าร่วมฝ่ายเอมิเกรในช่วงแรกประกอบไปด้วย เคาน์แห่งอาร์ตัว (พระเจ้าชาร์ลที่ 10 ในอนาคต) กับพระโอรสทั้งสองพระองค์ เจ้าชายแห่งกงเด เจ้าชายแห่งกงตี ตระกูลโปลีญัก และชาร์ล อะเล็กซ็องด์ เดอ กาโลน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ทั้งหมดต่างพำนักอยู่ในตูริน ที่ซึ่งเดอกาโลน ในฐานะสายลับของเคาน์แห่งอาร์ตัวและเจ้าชายแห่งกงเด เริ่มแผนการก่อสงครามกลางเมืองภายในราชอาณาจักร และเริ่มเจรจากับประเทศในยุโรปเพื่อตั้งสัมพันธมิตรในการต่อสู้กับฝรั่งเศส
ข่าวการจลาจลที่ประสบผลสำเร็จแพร่สะพัดไปทั่วฝรั่งเศส ประชาชนต่างพากันจัดตั้งระบบการปกครองคู่ขนานอย่างเทศบาล สำหรับรัฐบาลพลเรือนและกองกำลังทหารติดอาวุธ ในเขตทุรกันดาร บ้างถึงกับกระทำการเกินเลยไปมาก เช่น ในระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม มีคฤหาสน์ในชนบทมากมายถูกเผา เนื่องจากมีความกลัวที่ว่าเหล่าชนชั้นสูงและเจ้าที่ดินกำลังพยายามขัดขวางการปฏิวัติ
นักประพันธ์เพลงชาวออสเตรีย คาร์ล ดิตเทอร์ ฟอน ดิตเทอร์ดอร์ฟ ประพันธ์เพลง ซิมโฟนีอินซีเมเจอร์ (Symphony in C Major) เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่เหตุการณ์ทลายคุกบัสตีย์ ท่อนแรกของเพลงรู้จักทั่วไปกันในชื่อ ลาปรีสเดอลาบัสตีย์ (ฝรั่งเศส: La Prise De La Bastille; เรือนจำแห่งบัสตีย์)
ในหนังสือ เรื่องของสองนคร โดยชาร์ลส์ ดิกคินส์ ตระกูลดีฟาร์จส์เป็นผู้นำการโจมตีบัสตีย์ในหนังสือเล่มที่สองของดิกคินส์
ในฐานะเชิงอรรถทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ปัจจุบัน กุญแจที่นำไปสู่บัสตีย์ถูกเก็บรักษาไว้ภายในบ้านพักของจอร์จ วอชิงตัน ณ ภูเขาเวอร์นอน โดยเขาได้รับกุญแจดังกล่าวจากมาร์กี เดอ ลาฟาแยตต์ ในปี พ.ศ. 2333 ในฐานะข้อเสนอสันติภาพ