การถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง (อังกฤษ: recall) คือ กระบวนการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งจากตำแหน่ง
นอกเหนือไปจากสิทธิในการริเริ่มออกกฎหมาย การออกเสียงประชามติ และการเลือกตั้งแล้ว ประชาชนชาวอเมริกายังมีสิทธิในการเข้าชื่อกันเพื่อถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งระดับท้องถิ่นอีกด้วย ซึ่งสิทธิดังกล่าวได้รับการริเริ่มและสนับสนุนจากชนชั้นนำที่มีแนวคิดก้าวหน้าในสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้ โดยมีการเริ่มนำเสนอแนวคิดดังกล่าวเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์โอเรกอน (อังกฤษ: Oregon newspaper) ของนายวิลเลียม เอส. อูเร็น (William S. U'Ren) ทั้งนี้ ยังไม่สามารถเข้าชื่อถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งระดับชาติ (เช่น ประธานาธิบดี สมาชิกวุฒิสภา) ได้ในขณะนี้ ซึ่งการถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเป็นสิทธิของชนในท้องถิ่นนั้น ๆ และมีรัฐสิบห้ารัฐที่กฎหมายอนุญาตให้พลเมืองในรัฐเข้าชื่อถอดถอนข้าราชการและพนักงานของรัฐประจำท้องถิ่นนั้นได้อีกด้วย
มีบุคคลระดับผู้ว่าการรัฐเพียงสองนายที่ถูกถอดถอนโดยพลเมืองในรัฐของตน รายแรกใน พ.ศ. 2464 นายลีนนท์ เจ. ฟาเซียร์ (Lynn J. Frazier) ผู้ว่าการรัฐนอร์ทดาโคตา ถูกถอดถอนในกรณีพิพาทเกี่ยวกับวิสาหกิจที่รัฐเข้าไปเป็นเจ้าของ และรายต่อมาใน พ.ศ. 2546 นายเกรย์ เดวิส (Gray Davis) ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากบริหารงบประมาณรัฐผิดพลาด ประชาชนก็ไม่เอาไว้ต่อไป
อนึ่ง ในรัฐอะแลสกา รัฐจอร์เจีย รัฐแคนซัส รัฐมินนิโซตา รัฐมอนแทนา รัฐโรดไอแลนด์ และรัฐวอชิงตัน พลเมืองจะสามารถเข้าชื่อกันเพื่อถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุพิเศษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น เหตุพิเศษ เช่น ความผิดบางประการเกี่ยวกับการกระทำมิชอบหรือการประพฤติชั่วระหว่างดำรงตำแหน่งหน้าที่ของรัฐ นอกจากนี้ ในกรณีที่มิได้มีกฎหมายบัญญัติ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังสามารถร้องขอต่อศาลให้พิจารณาเหตุตามที่พวกตนระบุมาว่าเป็นเหตุอันสมควรถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งผู้นั้นออกจากตำแหน่งหรือยัง ส่วนในรัฐอื่น ๆ อีกสิบเอ็ดรัฐมิได้กำหนดเหตุพิเศษเช่นว่าไว้
จำนวนของผู้เข้าชื่อและระยะเวลาในการดำเนินการรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งล้วนแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ นอกจากนี้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินการเช่นว่าก็ยังแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์อีกด้วย
พ.ศ. 2537 - ถอดถอนข้าราชการและพนักงานของรัฐในเมืองริเวอร์เวล (River Vale) รัฐนิวเจอร์ซีย์ ดังนี้ นายวอลเทอร์ โจนส์ (Walter Jones) นายกเทศมนตรี, นางแพทริเซีย เกเออร์ (Patricia Geier) และนายเบอร์นาด แซลมอน (Bernard Salmon) สมาชิกสภาท้องถิ่น
พ.ศ. 2538 - ถอดถอนนายดอริส อัลเล็น (Doris Allen) และนายพอล ฮอร์เชอร์ (Paul Horcher) ประธานและสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. 2510 - ศาลพิพากษาว่า กฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งไม่ได้ให้อำนาจประชาชนถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งระดับชาติได้ ดังนั้น นายแฟรงก์ เชิร์ช (Frank Church) สมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาจากรัฐไอดาโฮ จึงไม่อาจถูกถอดถอนได้
พ.ศ. 2531 - หลังจากที่นายอีวาน เมแคม (Evan Mecham) ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแอริโซนาตั้งแต่ต้นปี พลเมืองของรัฐได้ประสบความสำเร็จในการเข้าชื่อกันกว่าสามแสนหนึ่งหมื่นคนเพื่อถอดถอนนายอีวานออกจากตำแหน่งเหตุความประพฤติไม่เหมาะสม และวุฒิสภาแห่งรัฐเตรียมพิจารณาลงมติถอดถอนในวันที่ 17 พฤษภาคม ปีนั้น แต่ประจวบกับที่ศาลสูงสุดแห่งรัฐมีคำพิพากษาในวันที่ 4 เมษายน ให้การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นโมฆะและให้นายอีวานพ้นจากตำแหน่งเสียก่อน นอกจากสหรัฐอเมริกาแล้วการถอดถอนในต่างประเทศอาจจะพบได้ในประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เวเนซูเอล่า แคนาดา ฯลฯ โดยแต่ละประเทศจะมีกระบวนการถอดถอนที่มีความแตกต่างกันไป
ก่อนที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จะใช้บังคับ รัฐธรรมนูญทุกฉบับก่อนหน้านั้นได้มีมาตรการในการตรวจสอบควบคุมสมาชิกรัฐสภา ให้สมาชิกสภาใดสภาหนึ่งสามารถร้องขอต่อประธานของสภาที่ตนเป็นสมาชิกในการวินิจฉัยให้สมาชิกผู้ทำความผิดพ้นจากตำแหน่งได้ รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมากขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2550 ระบุว่า เหตุที่สามารถใช้ร้องขอให้ถอดถอนจากตำแหน่ง ได้แก่ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (มาตรา 270)
มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อขอให้วุฒิสภาพิจารณาถอดถอนบุคคลใดออกกจากตำแหน่ง
เมื่อประธานวุฒิสภาได้รับคำร้องขอให้ถอดถอนผู้ใดจากตำแหน่ง จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ไต่สวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเมื่อไต่สวนเสร็จแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะรายงานวุฒิสภา โดยระบุอย่างชัดเจนว่าข้อกล่าวหาตามคำร้องขอข้อใดมีมูลหรือไม่ เพียงใด มีพยานหลักฐานที่ควรเชื่อได้อย่างไร กับทั้งระบุข้อยุติว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรด้วย (มาตรา 272 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง)
โดยหาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ว่า ข้อกล่าวหาใดมีมูลแล้ว นับแต่วันลงมติดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ และประธานกรรมการ ป.ป.ช. จะส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมความเห็นไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการต่อไป กับทั้งส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อให้ฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป แต่ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาข้อนั้นเป็นอันตกไป (มาตรา 272 วรรคสี่)
เมื่อได้รับรายงานจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว ประธานวุฒิสภาจะจัดให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณากรณีดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งหากอยู่นอกสมัยประชุม ประธานวุฒิสภาจะต้องจัดให้มีการประชุมวุฒิสภาโดยเร็วเพื่อการนั้น (มาตรา 273)
หากวุฒิสภามีมติซึ่งกระทำโดยลงคะแนนลับและมีไม่น้อยกว่าสามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่งหรือราชการ ผู้นั้นจะถูกเพิกถอนสิทธิในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมืองหรือในการรับราชการเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติถอดถอน ซึ่งมติของวุฒิสภานี้จะเป็นที่สุด และผู้ใดจะร้องขอให้ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันมิได้อีกแล้ว โดยจะไม่กระทบกระเทือนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย (มาตรา 274)
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่น ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจพิจารณาพิพากษา