คำสั่งประธานาธิบดีไรช์ว่าด้วยการป้องกันประชาชนและรัฐ หรือรู้จักกันในชื่อ กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรช์ซทัก (เยอรมัน: Reichstagsbrandverordnung) เป็นคำสั่งของฝ่ายบริหารที่เพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก ประธานาธิบดีเยอรมนี ออกเพื่อตอบโต้เหตุเพลิงไหม้ไรช์ซทัก เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933 มีเนื้อหาสาระเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลของพลเมืองเยอรมันอย่างมาก พรรคนาซียืมมือประธานาธิบดีออกคำสั่งดังกล่าวโดยอาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภาที่พรรคครองอยู่ เพื่อจับกุมผู้ต่อต้านพรรคและระงับสิ่งตีพิมพ์ที่เห็นว่าเป็นภัยต่อตน นักประวัติศาสตร์มองว่าการออกคำสั่งฉบับนี้เป็นการเตรียมสร้างรัฐเผด็จการของพรรคนาซีในกาลอนาคต
ก่อนเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้รัฐสภาไรช์ซทักสี่สัปดาห์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์แห่งพรรคนาซีได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี และได้รับเชิญจากประธานาธิบดีเพาล์ให้เป็นผู้นำคณะรัฐบาลผสมเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 รัฐบาลของฮิตเลอร์ได้สนับสนุนให้ประธานาธิบดีฮินเดนบูร์กสั่งยุบสภาไรช์ซทัก และกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกันนั้น
ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ หกวันก่อนหน้าการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป รัฐสภาไรช์ซทักได้เกิดเพลิงไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุแม้จนบัดนี้ แต่ฮิตเลอร์และพรรคนาซีใช้เป็นเหตุสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยกล่าวหาผู้นิยมคอมมิวนิสต์ว่าก่อความไม่สงบจนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้รัฐสภา ส่งผลให้พลเมืองเยอรมันหลายล้านคนเกิดความหวาดหวั่นต่อคอมมิสนิสต์ เนื่องจากทางการประกาศว่า
"การวางเพลิงรัฐสภาไรช์ซทักเป็นความมุ่งหมายที่จะส่งสัญญาณว่าจะเกิดการก่อการจลาจลนองเลือดและสงครามกลางเมือง มีการวางแผนการปล้มสะดมอย่างกว้างขวางในกรุงเบอร์ลิน...มีการกำหนดให้มี...ตลอดทั่วเยอรมนีซึ่งการก่อการร้ายต่อบุคคลสำคัญ ต่อทรัพย์สินส่วนบุคคล ต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชากรอันสงบเรียบร้อย และจะได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอยู่ทั่วไป..."
หลังเพลิงไหม้รัฐสภาไรช์ซทักหนึ่งวัน แฮร์มันน์ เกอริงได้อภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ์ และมีการร่าง "คำสั่งประธานาธิบดีไรช์ว่าด้วยการป้องกันประชาชนและรัฐ" เสนอต่อคณะรัฐมนตรีไรช์ ซึ่งตัวฮิตเลอร์เองกล่าวว่า เหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้นำไปสู่ "การเผชิญหน้ากับพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันอย่างไม่ลดละ" จากนั้นไม่นาน เพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก วัย 84 ปีและมีภาวะสมองเสื่อม ก็ลงนามในคำสั่งฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีเยอรมนีดำเนินมาตรการใด ๆ ในกรณีจำเป็นเพื่อป้องปัดภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ
คำสั่งฉบับดังกล่าวประกอบด้วยความ 6 ข้อ ข้อ 1 มีเนื้อหาสาระเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลของพลเมืองที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ได้แก่ สิทธิพลเมือง เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพของสื่อ เสรีภาพในการชุมนุมและการรวมกลุ่มสาธารณะ ตลอดจนจำกัดความคุ้มครองความลับในไปรษณียภัณฑ์และการติดต่อสื่อสาร รวมถึงสิทธิในการป้องกันทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย ส่วนข้อ 2 และข้อ 3 เป็นการให้รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งหมดแทน ข้อ 4 และข้อ 5 เป็นการวางบทลงโทษสำหรับการละเมิดฝ่าฝืนคำสั่งนี้ เช่น โทษประหารชีวิตสำหรับการลอบวางเพลิงอาคารสาธารณะ
การออกคำสั่งดังกล่าวส่งผลให้แฮร์มันน์ เกอริง รัฐมนตรีมหาดไทยปรัสเซีย สามารถคุมกำลังตำรวจในแคว้นใหญ่ที่สุดของเยอรมนีได้ และใช้กำลังนั้นปราบปรามจับกุมผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมัน ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ถูกจับกุมมากถึงหนึ่งหมื่นคน
สามสัปดาห์ถัดมา พรรคนาซีได้ประกาศใช้รัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่พรรคนาซีมากขึ้น นำไปสู่การสร้างรัฐเผด็จการในอนาคตของพรรคนาซี
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค