ลาซา (ทิเบต: ?????, จีนตัวย่อ: ??; จีนตัวเต็ม: ??; พินอิน: L?s?) เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบตแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดว่ามีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองในที่ราบสูงทิเบต รองจากเมืองซีหนิง และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,490 เมตร (11,450 ฟุต) ซึ่งนั่นเองทำให้ลาซากลายเป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่สูงที่สุดของโลก ในเมืองประกอบไปด้วยหลายวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะศาสนสถานของศาสนาพุทธ-ทิเบต เช่นพระราชวังโปตาลา หรือ วัดโจคัง หรือ พระราชวังโนร์บูกลิงกา เป็นต้น
ลาซาแท้จริงหมายถึง "ผืนดินแห่งพระพุทธองค์" เอกสารเกี่ยวกับทิเบตโบราณและจารึกต่างๆได้แสดงให้เห็นว่า สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า "ราซา" อาจหมายถึงสถานที่เลี้ยงแพะ หรือเป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า "ระเว ซา" สถานที่ที่รายล้อมไปด้วยกำแพง อย่างไรก็ตาม ชื่อลาซาที่ถูกบันทึกเป็นครั้งแรกนั้นมีความหมายถึงวัดโจโว ในการเจรจาระหว่างจีนกับทิเบตใน ค.ศ. 822
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 ซรอนซันกัมโป กลายเป็นผู้นำของจักรวรรดิทิเบต ที่มีอำนาจเหนือลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร (มักเรียกว่า แม่น้ำยารลุงซรอนโป) ภายหลังจากมีชัยชนะเหนืออาณาจักรฉางชุงทางตะวันตก ซรอนซันกัมโป ได้ย้ายเมืองหลวงจากชิงวาตักเซร ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของยารลุง มายังราซา (ลาซาในภายหลัง) ซึ่งในปี ค.ศ. 673 ก็ริเริ่มการก่อสร้างพระราชวังโปตาลา
กรุงลาซาครอบคลุมบริเวณพื้นที่ถึง 30,000 ตารางกิโลเมตร นับรวมพื้นที่ตอนกลางขนาด 544 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรทั้งหมด 500,000 คน ในจำนวนนี้จำนวน 250,000 คนเป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ลาซาเป็นที่อยู่ของชาวทิเบต, ชาวฮั่น และ ชาวหุย เช่นเดียวกับหลายกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แต่โดยรวมแล้ว ชาวทิเบตมีจำนวนประชากรมากที่สุด
ลาตั้งอยู่ด้านล่างของแอ่งขนาดเล็ก ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาหิมาลัย, ลาซามีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,600 เมตร and li และตั้งอยู่ในใจกลางที่ราบสูงทิเบตที่มีภูเขาล้อมรอบที่อาจมีความสูงถึง 5,500 เมตร ในอากาศมีออกซิเจนเพียง 68% ของปริมาณออกซิเจนที่ระดับน้ำทะเล ทางใต้ของเมืองมีแม่น้ำไหลผ่านชื่อว่า แม่น้ำลาซา ซึ่งเป็นแควหนึ่งของแม่น้ำหยาหลู่จั้งปู้ แม่น้ำลาซานี้เองเป็นที่รู้จักโดยชาวทิเบตท้องถิ่นในนาม "คลื่นความสุขสีคราม"
จาก สารานุกรมบริแตนนิกา ฉบับที่ 11 ตีพิมพ์ระหว่างปี ค.ศ. 1910-1911 ได้บึนทึกเกี่ยวกับประชากรทั้งหมดของลาซา รวมถึงลามะในเมืองและบริเวณใกล้เคียงว่ามีจำนวนประมาณ 30,000 คน แต่จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 1854 นั้นพบว่ามีประชากรราว 42,000 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประชากรในลาซานั้นลดลงอย่างมาก สารานุกรมบริแตนนิกายังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในลาซานั้นมีจำนวนบ้านเรือนของชาวทิเบตซึ่งเป็นฆราวาสอยู่ราว 1,500 ครัวเรือน ซึ่งมีสตรีทิเบตอยู่เพียง 5,500 คน ขณะเดียวกัน ในลาซายังมีเชื้อชาติอื่น ๆ มาอาศัยอยู่ ในจำนวนนี้เป็นชาวจีนราว 2,000 คน และจากประเทศใกล้เคียงเช่นเนปาล ราว 800 คน และจำนวยน้อยมากจากภูฏานกับมองโกเลีย
ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 นักสำรวจตะวันตกชื่อดังหลายคนเดินทางไปลาซา อาทิ ฟรานซิส ยังฮัสแบนด์, อเล็กซานดรา เดวิด นีล และ ไฮน์ริค ฮาร์เรอร์ พวกเขาพบว่าลาซาเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในทิเบต และประชากรเกือบครึ่งเป็นพระสงฆ์
ส่วนใหญ่ของประชากรก่อน-1950 ชาวจีนในลาซาเป็นพ่อค้าและเจ้าหน้าที่ ในแถบลูบูของลาซา ประชาชนที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นล้านเป็นลูกหลานของเกษตรกรผู้ปลูกผักชาวจีน ซึ่งในบางส่วนแต่งงานกับภรรยาชาวทิเบต พวกเขามาถึงลาซาในทศวรรษที่ 1840-1860 ภายหลังจากที่จีนได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้ามา
ประชากรทั้งหมดของลาซาในปัจจุบันคือ 521,500 คน (รวมถึงผู้อพยพ แต่ไม่รวมทหารรักษาการณ์ของจีน) ในจำนวนนี้ 257,400 คนอยู่ในเขตเมือง (เป็นผู้อพยพจำนวน 100,700 คน) ในขณะที่ประชากรอีกราว 264,100 คน อยู่ในเขตชนบท
จากการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 มีข้อมูลของการกระจายชาติพันธุ์ในลาซาเป็นดังนี้: