กระบี่แสง ดาบเลเซอร์ หรือ ไลท์เซเบอร์ (อังกฤษ: Light saber) เป็นอาวุธในเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้นและทรงอานุภาพของอัศวินเจไดในจักรวาล สตาร์ วอร์ส มีลักษณะเป็นดาบ (แต่ตามชื่อภาษาอังกฤษ เซเบอร์ แปลว่า กระบี่หรือดาบโค้ง ซึ่งสะพายโดยทหารสมัยก่อนในยุโรปและอเมริกา) แต่แทนที่จะมีใบเป็นโลหะอย่างทั่วไป ใบดาบของกระบี่แสงจะเป็นเลเซอร์พลังสูง ซึ่งสามารถทะลุทะลวงโลหะแข็งได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก กระบี่แสงมีบทบาทสำคัญมากใน สตาร์ วอร์ส ทุกภาค ทั้งในภาพยนตร์ เกม และนวนิยาย
ตามหลักแล้วเจไดจะใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างอาวุธที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาสักชิ้น ซึ่งเขาหรือเธอจะใช้และดูแลมันไปตลอดชีวิตของพวกเขา เมื่อท่านสร้างมันขึ้นมา กระบี่แสงจะกลายมาเป็นสหาย เครื่องมือของท่าน และนั่นหมายถึงท่านมีสิ่งป้องกันแล้ว
ตั้งแต่การก่อตัวของไทธอน เจไดหลังจากสงครามพลังในช่วง 25,000 ปีก่อนยุทธการยาวินได้มีการสร้างอาวุธทางพิธีกรรมขึ้นมาในนิกาย ต่อมาด้วยการผสมผสานของเทคโนโลยีจากต่างดาวและพิธีกรรมเจไดได้เรียนรู้ที่จะทำการ"แช่แข็ง"ลำแสงเลเซอร์ มันเป็นเทคโนโลยีที่ต่อมาจะนำเจไดสู่การออกแบบกระบี่แสง
ในช่วงการขัดแย้งดุยนวกวูน (Duinuogwuin Contention) เมื่อประมาณ 15,500 ปีก่อนยุทธการยาวิน การศึกษาของนิกายเจไดเริ่มนำไปสู่ความสำเร็จของเทคโนโนยีดังกล่าว พวกเขาได้สร้างการเน้นลำแสงพลังงานซึ่งเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งตามเส้นรอบลงกลับไปที่แหล่งกำเนิดของมัน เป็นการสร้างใบมีดพลังงานสูงครั้งแรก กระบี่แสงขั้นต้นเหล่านี้ไม่สเถียรอย่างมากและใช้พลังอย่างไม่มีประสิทธิภาพ พวกมันสามารถใช้ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นก่อนที่จะมันจะร้อนเกินไป ด้วยข้อด้อยเหล่านี้กระบี่แสงในช่วงแรกจึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งของทางพิธีกรรม
ปัญหาเรื่องความเสถียรของแบบแรกๆ นั้นเริ่มถูกแก้ไขตลอดหลายปี ดังนั้นในช่วงร้อยปแห่งความมืดมนในปีที่ 7,000 ก่อนยุทธการยาวินอาวุธที่อุ้นอ้ายนั้นก็ต้องหลีกทางให้กับกระบี่แสงที่ดีกว่า แม้ว่าความเสถียรของพวกมัน อย่างไรก็ตามพลังที่ออกมานั้นคือสิ่งที่สำคัญ พวกมันยังคงต้องการสายพลังงานเพื่อการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง สายพลังงานที่เชื่อมต่อกับใบมีดทำให้เจไดเคลื่อนที่ได้ลำบากและไม่สามารถทำการขว้างดาบได้ อย่างไรก็ตามใบมีดแบบใหม่ทำให้พวกมันได้เปรียบกว่าในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับศัตรูที่สวมเกราะหนัก
กระบี่แสงแบบแรกยังไม่ถูกออกแบบจนถึงสงครามไฮเปอร์สเปซครั้งใหญ่ สายพลังงานที่สร้างข้อจำกัดและแพ็คพลังงานในแบบเก่านั้นถูกแทนที่ด้วยตัวจ่ายพลังงานภายในเมื่อ 4,800 ปีก่อนยุทธการยาวิน ตัวนำพลังงานที่เพิ่งเริ่มใช้กันนั้นจะย้ายพลังงานที่ห้วนกลับจากการไหลของด้านลบกลับเข้าไปในเซลล์พลังงานภายใน ด้วยการดัดแปลงนี้เซลล์พลังงานจะขยายพลังเมื่อบ่วงพลังแตก มันคือการแก้ไขปัญหาแหล่งพลังงานในแบบแรก
หลังจากการการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่กระบี่แสงกลายเป็นของหายากที่มีราคาสูงต่อนักสะสมบางคน ในช่วงจักรวรรดิกาแลกติกของพัลพาทีนกระบี่แสงบางเล่มตกไปอยู่ในตลาดมืดและถูกขายไปเป็นจำนวนมาก พวกมันปรากฏตัวอีกครั้งแค่ตอนที่นิกายเจไดใหม่เริ่มต้นขึ้น ต้องขอบคุณการสอนของลุค สกายวอล์คเกอร์และการสอนที่หายไปเมื่อครั้งการกวาดล้าง
หลังจากที่พัลพาทีนพ่ายแพ้และเจไดรวมตัวกันอีกครั้ง ผู้ใช้พลังกลุ่มอื่นอย่างพวกรีบอร์นของดีซานน์และผู้รับใช้แรกนอสได้สร้างกระบี่แสงขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อติดอาวุธให้กับกองทัพของตนเอง นิกายเจไดใหม่ยังคงดำเนินวิถีทางเก่าด้วยการใช้การเชื่อมโยงกับพลังของพวกเขาในการสร้างกระบี่แสงของตนเอง ในปีที่ 137 ปีหลังยุทธการยาวิน อัศวินจักรวรรดิได้สร้างกระบี่แสงขึ้นมาเอง กระบี่แสงเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของอัศวินแต่ละคนของจักรวรรดิ
กระบี่แสงของซิธส่วนใหญ่จะเป็นสีแดงเพราะสีแดงบ่งบอกถึงเลือด หรือความกระหาย คริสตัลของไลท์เซเบอร์ของซิธเป็นคริสตัลสีแดงสังเคราะห์ที่หาได้ง่ายแต่มีอายุการใช้งานน้อย และยักย้ายได้น้อยกว่าคริสตัลตามธรรมชาติ แม้ว่าจะน้อยมากที่คริสตัลสังเคราะห์จะทำให้ดาบแบบธรรมดาขาดได้ แต่ก็มีบ้างที่มันเกิดขึ้น
คริสตัลคือหัวใจของดาบ หัวใจของคริสตัลคือเจได เจไดคือคริสตัลของพลัง พลังคือดาบของหัวใจ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกัน คริสตัล ดาบ เจได เจ้าคือหนึ่งเดียว
พิธีการสร้างกระบี่แสงของตนเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกเจไดและเกี่ยวข้องกับทักษะทางด้านเทคโนโลยีและการเข้าถึงพลัง ในสมัยสธารณรัฐเก่าถ้ำน้ำแข็งบนดาวอิลัมถูกใช้เป็นสถานที่ที่พาดาวันจะทำการสร้างกระบี่แสงเล่มแรกของตนขึ้นมา ทั้งที่นี่และที่ที่คล้ายกันเจไดจะเลือกคริสตัลที่ดีที่สุดด้วยการนั่งสมาธิและการมีส่วนร่วมของพลัง และจากนั้นก็เริ่มการประกอบกระบี่แสงของตน
ตามธรรมเนียมแล้วการสร้างกระบี่แสงจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน สิ่งนี้ยังรวมทั้งการประกอบชิ้นส่วนด้วยมือและพลัง และการนั่งสมาธิเพื่อหาคริสตัล เจไดมักใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการรวมมันเข้าด้วยกัน ทำให้แน่ใจว่าทุกชิ้นส่วนทำงานได้สมบูรณ์ และยังรวมทั้งการเลือกความยาว สี ความถี่ของดาบ ถึงกระนั้นในช่วงที่สงครามโคลนดุเดือดมีการรายงานว่ามีคนที่สามารถสร้างกระบี่แสงได้ภายในสองวันเท่านั้น
ด้ามกระบี่แสงประกอบด้วยกระบอกอัลลอยที่โดยทั่วไปจะยาว 25-30 เซนติเมตร อย่างไรก็ดีการออกแบบและเส้นผ่าศูนย์กลางของด้ามดาบจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ที่สร้างมันขึ้นมา ด้ามดาบจะบรรจุชิ้นส่วนที่ซับซ้อนซึ่งสร้างและทำให้เกิดใบมีดที่แตกต่างกันไป พลังงานระดับสูงจะถูกปล่อยออกมาผ่านทางขั้วบวกที่เป็นเลนส์เน้นแสงและตัวสร้างพลังงาน มันจะแสดงลำแสงพลังงานที่ขยายออกมาจากฐานไปตามความยาว จากนั้นจะเคลื่อนที่โค้งกลับไปที่ขั้วลบ ตัวนำไฟฟ้าจะทำให้ห่วงพลังสมบูรณ์ด้วยการป้อนพลังงานกลับไปที่เซลล์พลังงานภายใน ที่ที่ซึ่งห่วงพลังงานจะเริ่มก่อตัวให่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นพาดาวันหรืออาจารย์เจได การสร้างกระบี่แสงนั้นเริ่มด้วยการหาชิ้นส่วนที่เหมาะสามเพื่อการสร้างอาวุธ กระบี่แสงทั้งหมดจะบรรจุชิ้นส่วนหลักๆ ดังนี้
กระบี่แสงมากมายจะมีเซ็นเซอร์อยู่ที่ด้ามจับเพื่อที่ว่าเมื่อปล่อยมือเมื่อใดมันก็จะหยุดทำงานทันที กระบี่แสงอื่นนั้นอาจไม่มีเซ็นเซอร์หรือระบบกลไกใดๆ ก็ตามที่หยุดการทำงานของดาบเมื่อปล่อยมือหรือหลุดมือ
คริสตัลคือสิ่งสำคัญของอาวุธและมันให้ทั้งพลังและสี มันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและต้องใช้การไตร่ตรองอย่างละเอียดในการเลือกใช้ทำกระบี่แสง
เมื่อมีทุกชิ้นส่วนครบแล้วเจไดจะเริ่มทำการประกอบ เนื่องจากว่าความสลับซับซ้อนของเทคโนโลยี พลังจึงถูกใช้เพื่อทำการประกอบชิ้นส่วนทั้งหลายในระดับโมเลกุล การปรับให้เหมาะสมในระดับไมโครนั้นอาจทำให้ดาบทำงานได้เกือบจะสมบูรณ์ที่สุด
เพราะว่าเจไดแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกันพวกเขาหรือเธอจึงสร้างอาวุธที่ไม่เคยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นสองเล่มก็ตาม พาดาวันบางคนสร้างกระบี่แสงเพื่อแสดงถึงความเคารพต่ออาจารย์ของพวกเขา
ความรู้เกี่ยวกับการสร้างกระบี่แสงหายไปแทบจะสาบสูญหลังจากคำสั่งที่ 66 แต่ลุค สกายวอล์คเกอร์ได้พบบันทึกและวัตถุดิบที่เขาต้องการในการสร้างกระบี่แสงของเขาเองในกระท่อมของโอบีวัน เคโนบีบนทาทูอีน
สี ชนิด และจำนวนของคริสตัลมีมากมายในกระบี่แสง สีของคริสตัลใช้เป็นสีของใบมีด คริสตัลอดีแกนยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าคริสตัลอิลัม มันเป็นคริสตัลอย่างหนึ่งที่นิยมกันมากในกระบี่แสง คริสตัลเหล่านี้สามารถดูดซับพลัง ช่วยให้เจไดกลายเป็นหนึ่งกับกระบี่แสง สัญญาณพลังอ่อนๆ จากคริสตัลชนิดนี้สามารถรับรู้ได้โดยเจไดแม้ว่ามันจะอยู่ห่างออกไป
หลังจากที่มีการค้นพบคริสตัลไคเบอร์บนดาวมิมแบน ลุค สกายวอล์คเกอร์ได้เพื่อส่วนหนึ่งของมันเข้าไปในกระบี่แสงของเขา เศษของคริสตัลทำให้ใบมีดทรงพลังและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับของเลอา ออร์กานา โซโลและลูมิยา
คริสตัลอื่นๆ อย่างเน็กซ์เตอร์และดาไมนด์ส สามารถพบได้ทั่วกาแลคซี่ และสามารถใช้ในการออกแบบรูปของคมดาบได้อีกด้วย
มุกหรือแท่งโลหะบางชนิดสามารถนำมาใช้แทนคริสตัลได้ แม้ว่ามันจะเป็นศาสตร์โบราณที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุทธการรูซาน ในช่วงที่เรแวนเดินทางบนทาริสเขาได้ค้นพบว่ามุกของมังกรไครท์ที่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของกระบี่แสงได้และเพิ่มพลังให้อย่างมาก
ด้ามกระบี่แสงส่วนใหญ่นั้นจะมีความยาว 20-35 เซนติเมตร ด้วยการใช้คริสตัลหนึ่งหรือสองอันและใช้มือทั้งสองข้าง มันเป็นเครื่องหมายการค้าของเจไดและซิธ ในช่วงนิกายเจไดใหม่มีด้ามจับหลากหลายมากมาย
กระบี่แสงโบราณ หรือ โปรโตเซเบอร์ (protosabers)—เป็นแบบเก่าสุดของกระบี่แสง มันประกอบด้วยด้ามจับที่มักเป็นดูเรเนียมแข็ง มันคือคริสตัลที่อยู่ในด้ามจับ แพ็คพลังงานที่รัดด้วยเข็มขัด มันเหมือนกับกระบี่แสงในเวลาต่อมาที่คริสตัลของพวกมันอยู่ข้างในด้ามซึ่งเป็นแหล่งของพลังงาน ความแตกต่างระหว่างกระบี่แสงเก่าและใหม่คือด้ามจะเชื่อมติดกับสายของแพ็คพลังงานด้านนอกที่จะหิ้วโดยผู้ใช้ไว้ที่หลังของพวกเขา การนำเซลล์พลังงานที่มีขนาดเล็กกว่ามาใช้ทำให้มันสามารถใส่เข้าไปในด้ามดาบได้และให้อิสระมากกว่าและทำให้กระบี่แสงแบบเก่าตกยุคไป ผู้ใช้ส่วนมากจะอยู่ในช่วงสงครามซิธครั้งใหญ่
โลหะผสมทองกับเงิน—คือกระบี่แสงที่มีด้ามหลอมมาจากทองที่มักเรียกว่ากระบี่แสงอิเลคตรัม (electrum) โลหะผสมนี้ทำให้กระบี่แสงดูสง่างาม ในวันสุดท้ายของนิกายเจไดเก่ากระบี่แสงอิเลคตรัมจะถูกใช้โดยสมาชิกอาวุโสในสภาเจได กระบี่แสงของเมซ วินดูและดาร์ธ ซีเดียสเป็นกระบี่แสงประเภทนี้
กระบี่แสงด้ามโค้ง—เป็นการออกแบบพื้นฐานสำหรับการต่อสู้ด้วยกระบี่แสงในรูปแบบที่ 2 มาคาชิ ด้ามที่โค้งทำให้เกิดการเคลื่อนที่ที่แม่นยำตามความยืดหยุ่นในการต่อสู้ มันยังยากที่จะป้องกันมันเพราะว่าผู้ใช้อาจโจมตีได้หลายมุมมากกว่าด้ามแบบปกติ ด้ามที่โค้งยังซับซ้อนกว่าและให้ความท้าทายในการเลือกใช้คริสตัลมากกว่า ด้ามแบบนี้เคาท์ ดูกูมีในครอบครอง ศิษย์ของเขาโคมาริ โวซา และอซาจจ์ เวนเทรสส์ ก่อนยุทธการรูซานอาจารย์ซิธนาดาซใช้กระบี่แสงด้ามโค้ง ศิษย์ของเขาคาสอิมใช้อาวุธต่อจากเขาหลังจากที่สังหารอาจารย์ของตน และต่อมาก็ตกไปอยู่ในมือของดาร์ธ เบน
การ์ดโชโต (Guard Shoto)— เป็นแบบที่หายาก พวกมันด้ามจับที่เป็นเส้นตั้งฉาก มีเพียงแค่มาริส บรูดและชินยาเท่านั้นที่ใช้มัน
กระบี่แสงสำหรับฝึกหัด— เป็นกระบี่แสงที่ใช้โดยเจไดเด็กเพื่อซ้อมการต่อสู้ด้วยกระบี่แสง ในขณะที่มันไม่ทรงพลังนักแต่การสัมผัสมคมดาบก็สามารถทำให้เกิดรอยไหม้ได้ กระบี่แสงชนิดนี้มักใช้ร่วมกับรูปแบบที่ 1 อันเป็นพื้นฐานของการใช้กระบี่แสง มันยังถูกใช้โดยพาดาวันและดรอยด์ฝึกในเจไดแพรกซุมของนิกายเจไดใหม่อีกด้วย
ใบมีดสองระยะ (dual-phase)—กระบี่แสงแบบนี้จะผสมผสานคริสตัลเพื่อสร้างใบ มีดที่สามารถยืดขึ้นเป็นสองเท่าของความยาวปกติ มันไม่เหมือนกับกระบี่แสงแบบปกติซึ่งมีตัวปรับด้วยมือสำหรับการลดความยาวของ ใบมีด ใบมีดสองระยะนั้นสามารถพุ่งออกมาในทันทีทำให้ฝ่ายตรงข้ามประหลาดใจได้ นอกจากนี้แล้วมันยังมีตัวปรับความกว้างของใบมีดอีกด้วย
บันทึกเมื่อ 400 ปีกอ่นยุทธการยาวินอ้างว่าไคเรน ฮัลไซออนได้สร้างกระบี่แสงสองระยะพิเศษขึ้นมาที่สามารถยาวได้จาก 1.3 เมตรไปเป็นสามเมตร กระบี่แสงแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วมาจากสงครามกลางเมืองเจได เมื่อการดวลกระบี่แสงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยและซิธมีอำนาจมากในตอนนั้น เมื่อเริ่มมีการตระหนักถึงทักษะการต่อสู้ของเจไดและเจไดเองก็ต่อสู้อย่าง หนักเพื่อยุติความขัดแย้งโดยไม่ใช้อาวุธ การดวลก็ลดน้อยลงและกระบี่แสงสองระยะก็หมดยุคของมัน
กระบี่แสงสั้น หรือ โชโต (shoto)—เป็นกระบี่แสงที่ใช้ใบมีดที่สั้นกว่าแบบปกติ ใบมีดขนาดเล็กทำให้มันง่ายในการต่อสู้โดยเจไดที่มีร่างเล็ก อย่าง อาจารย์โยดา เอฟเวน พิเอลล์ ยาดเดิล และซุย ชอย ในบางครั้งโชโตใช้กับรูปแบบไนแมนโดยผู้ที่มีร่างกายปกติ อย่าง อาจารย์คาวาร์ ผู้ที่ไม่มีความรู้สึกในพลังสามารถใช้กระบี่แสงชนิดนี้ได้เพราะมันมีใบมีดที่สั้น
กระบี่แสงใต้น้ำ—ในขณะที่กระบี่แสงส่วนมากจะสั้นลงเมื่อสัมผัสกับน้ำ กระบี่แสงชนิดนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานใต้น้ำได้เพราะมันมีคริสตัลสองอันที่ใช้การจุดติดแบบพิเศษ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงเจไดที่มาจากดาวที่เป็นน้ำเท่านั้นที่จะใช้ดาบชนิดนี้ อย่างไรก็ตามมีผู้ใช้หลายคนที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในน้ำด้วยการดัดแปลงอาวุธของพวกเขา
สีของกระบี่แสงมาจากคริสตัลที่ใช้สร้างมัน เจไดจะสะสมคริสตัลไปหลายชนิดจากธรรมชาติ ในขณะที่ซิธใช้คริสตัลสังเคราะห์ที่มักมีสีแดงอยู่แล้ว หลังจากการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่คริสตัลสังเคราะห์ก็ถูกใช้โดยเจไดในบางครั้ง
ก่อนที่จะถึงยุทธการรูซานครั้งที่ 7 เจไดโบราณใช้ใบมีดที่มีสีหลากหลาย เจไดบางคนยังใช้สีแดงด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าทางนิกายมักหลีกเลี่ยงที่จะใช้สีที่เหมือนกับซิธ สีแดงยังถูกหลีกเลี่ยงเพราะว่ามันสื่อถึงเลือดและความรุนแรง หลังจากความขัดแย้งรูซานเจไดหันมาใช้คริสตัลอดีแกนมากขึ้นซึ่งมักเป็นสีฟ้าหรือสีเขียว สีอื่นๆ นั้นก็มีเช่นกันแต่น้อย กระบี่แสงสีดำก็มีเช่นกัน
ในยุคสงครามกลางเมืองเจไดสีดาบของเจไดมักจะแสดงถึงวิถีที่เจไดผู้นั้นเลือกเดิน ถึงแม้ว่าเจไดไม่จำเป็นต้องใช้สีดาบที่ระบุชั้นของเขา ดาบสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของเจไดกงสุล สีฟ้าคือเจไดผู้พิทักษ์ สีเหลืองคือเจไดเฝ้ายาม สำหรับความแข็งแกร่งของกระบี่แสงคริสตัลเหล่านี้ก็ให้ผลท่เหมือนกันหมด มีเพียงสีเท่านั้นที่แตกต่าง
หลังจากการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่จักรพรรดิพัลพาทีนได้รื้อถอนสถานที่ขุดหาคริสตัลจำนวนมาก เพื่อทำให้การหาคริสตัลยากขึ้น หลังจากที่นิกายเจไดใหม่ถือกำเนิดการค้นพบแหล่งคริสตัลและการใช้คริสตัลสังเคราะห์ก็ทำให้กระบี่แสงที่หลากสีกลับมาอีกครั้ง
กระบี่แสงสองใบมีด—เป็นกระบี่แสงที่สามารถปล่อยพลังงานออกมาได้ทั้งสองด้าน ใบมีดแต่ละใบสามารถทำงานได้แยกกันหรือพร้อมกัน กระบี่แสงชนิดนี้สามารถใช้กับแบบด้ามเดียวหรือสองด้ามเข้ามาต่อกัน อาวุธนี้มักอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าฝ่ายตรงข้าม มันกลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ"กระบี่แสงซิธ"เพราะว่ามันถูกใช้โดยซิธ ในขณะที่เอกซาร์ คุนได้รับว่าเป็นคนแรกที่ใช้อาวุธชนิดนี้ ในโฮโลครอนเทดรีนกล่าวว่าเขาได้เรียนรู้เทคนิกดังกล่าวมาจากโฮโลครอนของซิธที่สร้างขึ้นโดยผู้ที่ถูกเนรเทศตั้งแต่สมัยร้อยปีแห่งความมืดมน
กระบองแสง—เป็นกระบี่แสงหายากที่ใช้คริสตัลและระบบพลังที่จะฉายพลังงานออกมามากถึง 3 เมตร กระบี่แสงขนาดใหญ่เหล่านี้มักใช้โดยผู้ที่มีร่างใหญ่ กอร์กผู้ที่เป็นเจไดมืดชาวกามอร์รีนกลายพันธุ์ใช้กระบี่แสงชนิดนี้
แส้แสง—เป็นแบบที่น่าตื่นตาของกระบี่แสงที่มีเพียงผู้ใช้ที่ฝึกมาอย่างดีเท่านั้นที่จะใช้มันได้ มันอาจเป็นได้ทั้งแก่นแข็งหรือพลังงานล้วนๆ เช่นเดียวกับกระบี่แสงที่มันจะปล่อยพลังงานออกมา แต่ไม่เหมือนตรงที่มันยาวและยืดหยุ่น ผู้ใช้ได้แก่ ลูมิยา กิธานี ซิลริ เวียนนา ดโพว์ และคิท ฟิสโต
กระบองแสงแฝด—เป็นรูปแบบหนึ่งของกระบี่แสงสองใบมีดเพียงแต่ว่าด้ามนั้นเป็นแบบกระบองแฝด มันยากที่จะควบคุมมากกว่ากระบี่แสงสองใบมีด กระบองแสงนี้จะทำให้ผู้ใช้ได้เปรียบทำมุมโจมตีที่คาดเดาได้ยาก อซาจจ์ เวนเทรสส์เป็นผุ้ที่ใช้อาวุธชนิดนี้บางครั้ง
หลาวแสง—เป็นหลาวพลังที่ดัดแปลงด้วยการเพิ่มตัวกำเนิดของกระบี่แสงเข้าไป มันทำให้มีใบมีดพุ่งออกมาจากปลายหลาว มันอาจถูกใช้โดยใครก็ตามที่เคยใช้หลาวพลังมาก่อนและถูกใช้โดยองครักษ์มืดของจักรพรรดิที่ใช้มันได้อย่างเก่งกาจ
คราดแสง—เป็นกระบี่แสงที่มีสองใบมีดพร้อมกับตัวกำเนิดพลังอันที่สองซึ่งจะยื่นออกมาจากด้ามหลักทำมุม 45 องศา นอกจากนี้มันยังเป็นกระบี่แสงที่ประหลาดที่สุดและหากยากที่สุด ด้ามจับยังโค้งอีกด้วย มีเจไดเพียงคนเดียวที่พบว่าใช้กระบี่แสงชนิดนี้คือโรบลิโอ ดาร์เต้
ใบมีดของกระบี่แสงเป็นรูปแบบที่ไร้สสารซึ่งไม่แผ่ความร้อนและขยายพลังงานจนกว่ามันจะเข้าสัมผัสกับของแข็ง พลังของใบมีดมีมหาศาลจนมันสามารถตัดผ่านทุกอย่าง แม้ว่าความเร็วนั้นจะขึ้นอยู่กับปลายทางและวัตถุ สิ่งหนึ่งที่สำคัญของการบาดเจ็บจากกระบี่แสงคือมันจะไม่มีเลือดถึงแม้ว่าแขนขาจะถูกตัดก็ตาม นี่ก็เพราะว่าพลังงานจากใบมีดทำให้แผลไหม้และดังนั้นแผลที่เกิดจากการตัดจะไม่มีเลือดไหลไม่ว่าจะสาหัสเท่าใดก็ตาม
เมื่อตัดผ่านสิ่งที่อัดแน่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยสร้างแนวโค้งทำให้จะทำเกิดแรงต้านทาน สิ่งนี้ทำให้ใบมีดรู้สึกเหมือนเป็นของแข็งเมื่อกระทบกับวัตถุที่อัดแน่น น้อยครั้งมากที่วัตถุแข็งจะผ่านทะลุสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและทำให้แนวโค้งขาด สนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าและพลังงานที่พุ่งออกมายังสามารถปัดป้องได้โดยแนวโค้งของกระบี่แสง สิ่งเหล่านี้ยังรวมทั้งสนามพลัง กระสุนบลาสเตอร์ และใบมีดของกระบี่แสงด้วยกัน
วิธีแรกคือการทำเกราะหรืออาวุธจากคอร์โตซิสที่ถักทอเอา ซึ่งมันจะใช้แร่เป็นวัสดุหลัก เมื่อสัมผัสกับกระบี่แสงใยคอร์โตฟิสจะตัดพลังานของใบมีด กระบี่แสงอาจทำงานใหม่เองในทันที แต่มันก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบ
วิธีที่ธรรมดาและถูกที่สุดในช่วงสงครามกลางเมืองเจไดคือนำคอร์โตซิสมาเป็นเหล็กผสมที่จะต้านทานตัวกระบี่แสงเอง แม้ว่ามันจะไม่ทำให้กระบี่แสงหยุดทำงานก็ตาม สิ่งนี้ทำให้ทหารราบต่อสู้กับเจไดหรือซิธได้
วิธีที่หายากที่สุดในการใช้คอร์โตซิสคือเหล็กสกัด ดังนั้นการสกัดไม่ได้ทำให้มันอ่อนแอลงและมันยังคงสามารถทำให้พลังงานของใบมีดหยุดได้ ส่วนมากแล้ววิธีนี้ใช้กับการทำเกราะ
วัสดุอื่นๆ ในกาแลคซี่อย่างโล่พลังงานก็ใช้ได้เช่นกัน สัตว์บางชนิดอย่างมังกรลาวามีเกราะตามธรรมชาติที่ป้องกันมันจากกระบี่แสงได้เช่นเดียวกับกระสุนบลาสเตอร์ วัสดุนำไฟฟ้าจะมีองศาในการต้านทานกระบี่แสง สนามพลังงานของกระบี่แสงจะทำปฏิกิริยากับสนามพลังของวัตถุนำไฟฟ้า และพลังงานจากใบมีดจะผ่านวัตถุไปอย่างสม่ำเสมอ ในที่สุดจะทำให้มันละลายหากพลังงานที่มากพอถูกย้าย
อาจารย์อีธ คอธ ข้ามีของบางสิ่งจะคืนท่าน มันเป็นสิ่งประดิษฐ์จากมือท่านที่ครั้งหนึ่งท่านเคยมอบให้ข้า ด้วยการคืนกระบี่แสงด้ามนี้ให้ท่าน แสดงถึงความเชื่อมั่นที่ข้ามีต่อท่านเช่นกัน
ประเพณีของเจไดในการมอบดาบให้สมาชิกเจไดท่านอื่นนั้นเรียกว่า “ ความสอดคล้องของความภักดี” (Concordance of Fealty) การแลกเปลี่ยนนี้แสดงถึงความเคารพระหว่างเพื่อนแห่งพลัง และแสดงถึงว่าจะช่วยเหลือกันในการต่อสู้ มารยาทที่ดีในเหล่าเจไดนั้นคือการให้ความเคารพแก่กัน
สตาร์ วอร์สในตอนเริ่มแรกนั้นกระบี่แสงไม่ได้เป็นอาวุธที่ใช้เฉพาะเจไดกับซิธ อันที่จริงแล้วพวกมันเป็นเพียงอาวุธธรรมดาที่ใช้โดยทหารฝ่ายกบฏและจักรวรรดิ หลังจากนั้นจอร์จ ลูคัสได้จำกัดอาวุธนี้ให้ใช้เพียงเจไดและซิธเท่านั้นเพื่อเพิ่มความรู้สึกให้มันเป็นอาวุธที่ไม่ธรรมดา
คริสตัลปรากฏตัวครั้งแรกในสตาร์ วอร์สด้วยการเป็นิส่งประดับที่ด้ามดาบในความหวังใหม่ฉบับนวนิยาย นอกจากนั้นก็ไม่มีการกล่าวถึงคริสตัลเลยทั้งในภาพยนตร์และนวนิยาย
กระบี่แสงของอนาคินกับลุคทำมาจากไฟแฟลชกล้องกราฟเฟล็กซ์ ในขณะที่ของดาร์ธ เวเดอร์ทำมาจากไแฟลชของไมโคร พรีซิชั่น โปรดักส์ในไตรภาคเดิม ด้ามจับทำมาจากขอบยางติดกระจกรถยนต์ และแหวนตัวดีถูกติดเข้าไปเพื่อให้มันสวมใส่กับเข็มขัดได้ กระบี่แสงของโอบีวันในไตรภาคเดิมเป็นอันที่ซับซ้อนที่สุดในตอนนั้น มันทำมาจากชิ้นส่วนของปืนกลเอเอ็นเอ็ม2 บราวน์นิ่ง ปืนยิงระเบิดมาร์ค 1 ของอังกฤษ และท่อเครื่องยนต์ไอพ่นของโรลส์-รอยซ์
ในแบบแรกของการกลับมาของเจได กระบี่แสงของลุคนั้นเป็นสีฟ้า แต่เมื่อต้องเจอกับท้องฟ้าของทะเลทรายจึงมีการเปลี่ยนให้มันเป็นสีเขียวเพื่อให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
ในกองทัพโคลนส์จู่โจม แซมมวล แอล. แจ็กสันขอให้กระบี่แสงของตัวละครของเขา เมซ วินดู เป็นสีม่วง ในที่สุดลูคัสก็ให้เมซ วินดูใช้กระบี่แสงสีม่วง มันเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์สตาร์ วอร์สที่มีกระบี่แสงสีอื่นที่ไม่ใช่สีแดง ฟ้า หรือเขียว
ในไตรภาคเดิมใบมีดทำมาจากคาร์บอนและแตกหักได้ง่ายมาก ในภัยซ่อนเร้นและกองทัพโคลนส์จู่โจมใบมีดกระบี่แสงทำมาจากเรซินและเหล็กทำให้มันทนทานขึ้นมาก แต่ก็คดงอได้ในตอนที่ต่อสู้กัน อย่างไรก็ตามกระบี่แสงที่ใช้ในซิธชำระแค้นทำมาจากท่อไฟเฟอร์ที่ประกอบด้วยไฟเบอร์กลาสสามชั้น สองชั้นเป็นคาร์บอนและอีกชั้นเป็นเทซาเลียม
กระบี่แสงมักจะมีปลายที่โค้งมน ในการต่อสู้ระหว่างโยดากับเคาท์ ดูกูในกองทัพโคลนส์จู่โจมนั้นเป็นครั้งแรกที่กระบี่แสงมีปลายที่แหลม ปลายที่แหลมยังถูกใช้อย่างมากในซิธชำระแค้น
กระบี่แสงถูกแสดงออกมาอย่างไม่กลมกลืนนักในภาพยนตร์สตาร์ วอร์สด้วยการที่แสงจากใบมีดนั้นจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม กระบี่แสงไม่ได้เป็นแหล่งกำเนิดแสงในไตรภาคเดิม ถึงแม้ว่าพวกมันจะส่องแสงแต่พวกมันก็ไม่ได้ทำให้สิ่งรอบข้างสว่างขึ้น ในไตรภาคใหม่พวกมันทำเช่นนั้นได้ ความไม่กลมกลืนนี้มาจากเทคนิคพิเศษของไตรภาคเดิม
บางครั้งมีการตั้งสันนิษฐานว่ากระบี่แสงไม่ส่งความร้อนออกมา การอยู่ใกล้ใบมีดจะไม่ส่งผลใดๆ จนกระทั่งไปสัมผัสมันเข้าซึ่งเป็นส่วนที่มีพลังงานและความร้อนสูง นวนิยายลีเจซี่ ออฟ เดอะ ฟอร์ซทั้งสามเล่มกล่าวว่ากระบี่แสงมีความร้อนออกมาจากใบมีด แต่ในนวนิยายเฟท ออฟ เดอะ เจไดได้กล่าวว่ากระบี่แสงมีสนามพลังรอบๆ ใบมีดทำให้ความร้อนไม่สามารถแผ่ออกมาได้ เพราะว่าผู้แต่งสตาร์ วอร์สฉบับแรกๆ บอกว่ากระบี่แสงนั้นมีการแผ่ความร้อน นี่จึงอาจเป็นได้ว่ามันคือการพยายามที่จะใช้เหตุผลเดียวกันนี้ต่อไป
ช่องฮิสตอรี่ แชนแนลได้มีภาคพิเศษของรายการโมเดิร์น มาเวลส์โดยใช้ชื่อว่าเทคโนโลยีของสตาร์ วอร์ส ในภาคนี้นักวิทยาศาสตร์เห็นด้วยว่าใบมีดของกระบี่แสงหากสร้างได้ขึ้นจริง มันคนเป็นการผสมพลาสม่าเข้าไปภายในสนามแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่เห็นด้วยที่ว่ากระบี่แสงนั้นไม่แผ่ความร้อนทั้งๆ ที่มันสามารถตัดผ่านวัตถุต่างๆ ได้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเพื่อให้พลาสม่าตัดผ่านวัตถุที่เป็นเหล็กหรือเนื้อนั้น อย่างที่ใบมีดของกระบี่แสงทำได้ พลาสม่าจะต้องร้อนเป็นสิบเท่าของทุกสิ่งที่อยู่บนโลก หรือประมาณ 2 ล้านองศา สิ่งนี้อาจทำให้กระบี่แสงเป็นอาวุธที่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้โดยบุคคล.
ในนวนิยายไลท์เซเบอร์ส เทเนล คารู้สึกว่าแขนของเธอเย็นเฉียบเมื่อถูกตัดอย่างอุบติเหตุโดยจาเซน โซโล ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะตัวบุคคลหรืออะไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่มีใครทราบ
เสียงของดาบนั้นจะถูกเพิ่มเข้าไปในภายหลังโดยทีมเอฟเฟคทางด้านเสียง แต่ยวน แมกเกรเกอร์นั้นให้เสียงกระบี่แสงของตนเองในเอพพิโสด I ซึ่งเลียม นีสันและเฮย์เดน คริสเตนเซ่นก็ให้เสียงเองด้วยเช่นกันเสียงของกระบี่แสงนั้นเป็นเสียงผสมระหว่างลำแสงของเครื่องโปรเจกต์เตอร์และเสียงสัญญาณรบกวนจากโทรทัศน์ที่ใช้ระบบเคเบิลที่ไม่ได้ป้องกันเสียงรบกวน[ต้องการอ้างอิง]