สนามเสือป่า พระราชวังดุสิต ลานพระบรมรูปทรงม้า ถนนอู่ทองใน แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
สำนักพระราชวัง (อังกฤษ: Bureau of the Royal Household; BRH) เป็นหน่วยงานของทางราชการมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลและรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชวัง ตลอดจนดูแลรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ในองค์พระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวัง และเลขาธิการพระราชวังเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารราชกิจราชการ
สำนักพระราชวังเป็นส่วนราชการที่สืบเนื่องมาจากส่วนราชการสำคัญของบ้านเมืองมาแต่โบราณกาล มีหลักฐานที่อาจทบทวนย้อนไปได้ถึงพุทธศักราช 1893 ในปีนั้นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี ได้ทรงจัดระเบียบการปกครองในราชธานีเป็นสี่กรม หรือที่เรียกว่าจตุสดมภ์ ได้แก่
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปการปกครองราชอาณาจักร แบ่งส่วนราชการระดับกระทรวงให้เป็นไปตามความจำเป็น และเหมาะสมแก่การปกครองประเทศยิ่งขึ้น กระทรวงเดิมในแบบจตุสดมภ์ทั้ง 6 ก็ให้คงอยู่ เพิ่มกระทรวงในหน้าที่ที่สมควรใหม่อีก 4 กระทรวง รวมเป็น 12 กระทรวงแต่ละกระทรวงมีเสนาบดีเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารราชการ
จากการปฏิรูปการปกครองในประเทศในครั้งนี้เอง โปรดเกล้าฯ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ปฏิบัติราชการในพระราชสำนัก ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่า กรมวัง หรือ จตุสดมภ์กรมวัง เป็นกระทรวงมีชื่อว่า กระทรวงวัง แต่โปรดเกล้าฯ ให้โอนงานที่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีไปขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรมที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ ดังนั้นส่วนราชการในจตุสดมภ์กรมวังที่มีชื่อว่า กรมพระตำรวจหลวงว่าความฎีกา อันเป็นกรมหนึ่ง ซึ่งสมัยก่อน ๆ ถือว่าเป็นส่วนราชการที่มีความสำคัญมากถึงกับในบางรัชกาลต้องโปรดเกล้าฯ ให้พระราชโอรสที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยที่สุดไปทรงกำกับราชการอยู่ เช่น ในรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอฯ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ไปทรงกำกับราชการอยู่นั้น จึงสูญไปจากทำเนียบราชการแต่นั้นมา
เสนาบดีกระทรวงวังตามแผนปฏิรูปการปกครองใหม่ในครั้งนั้น ตัวเสนาบดีมิใช่สามัญชน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์กรมวังอยู่ก่อนแล้ว เป็นเสนาบดีกระทรวงวังตามระบบการปกครองที่ปฏิรูปใหม่ จึงนับได้ว่าทรงเป็น "เสนาบดีกระทรวงวังพระองค์แรก"
การตั้งเสนาบดีกระทรวงในรัชกาลที่ 5 นั้น จะเห็นได้ว่าทรงพระราชดำริว่ากระทรวงวังนั้นสำคัญและปฏิบัติงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาก จึงทรงเลือกสรรพระราชวงศ์ขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีสืบต่อกันมาหลายพระองค์
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงส่วนราชการต่าง ๆ ในกระทรวงวัง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมแก่ราชการในพระองค์หลายประการ เช่น โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะกรมมหาดเล็กหลวง ในกระทรวงวังขึ้นเป็นกรมอิสระ ขึ้นตรงต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก (เจ้าพระยารามราฆพ) เป็นผู้บังคับบัญชา มีกรมต่าง ๆ ที่หัวหน้ากรมเป็นข้าราชการขั้นอธิบดีขึ้นอยู่ 13 กรม ได้แก่
กรมในกระทรวงวังก็ดี กรมในมหาดเล็กก็ดี แม้หัวหน้ากรมจะมีฐานะเป็นอธิบดี แต่ก็มีหลายกรมเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น เช่น
แต่ที่เรียกว่าผู้อำนวยการกรมก็มี นอกจากนั้นยังพระราชทานเกียรติยศแก่ กรมตำรวจหลวงรักษาพระองค์ กรมทหารรักษาพระองค์และกรมทหารรักษาวัง โดยทรงรับเข้าดำรงตำแหน่ง "สมเด็จพระตำรวจ" ในกรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์ และตำแหน่ง "ผู้บังคับการพิเศษ" ในกรมทหารรักษาวังด้วย
สำหรับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังนั้น ก็ยังคงใช้ราชทินนามบุคคลผู้เป็นเจ้ากระทรวงว่า "ธรรมธิกรณาธิบดี" อันเป็นราชทินนามที่สืบเนื่องมาแต่ "ธรรมาธิการ" ครั้งยังเป็นจตุสดมภ์อยู่ แม้ว่าจะได้แยกหน้าที่การพิจารณาพิพากษาอรรถคดี อันเป็นหน้าที่เดิมของจตุสดมภ์กรมวังไปเป็นหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมดังกล่าวมาแล้วก็ตาม
ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้โอนกรมธรรมการ กรมสังฆการี กรมราชบัณฑิต กรมกัลปนา และกรมศิลปากร ไปสังกัดกระทรวงธรรมการ และยุบฐานะกรมมหาดเล็กหลวงซึ่งแยกไปเป็นกรมพิเศษในรัชกาลที่ 6 ลงเป็นกรมสามัญสังกัดกระทรวงวังตามเดิม
ต่อมาเมื่อประเทศสยามได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงประกาศพระบรมราชโองการ ณ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ให้เปลี่ยนชื่อ "กระทรวงวัง" เป็น "ศาลาว่าการพระราชวัง" แต่ครั้งถึงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ก็กลับมามีฐานะเป็นกระทรวงขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พุทธศักราช 2476 และมี "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัง" เป็นเจ้ากระทรวง ซึ่งในพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมฉบับดังกล่าวนี้ ได้ตัดทอนส่วนราชการในกระทรวงวังออกเหลือ 7 กรม ได้แก่
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2478 ได้มีพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2478 โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้เอง ได้เปลี่ยนฐานะของกระทรวงวังลงเป็นทบวง มีฐานะเป็นกรม เทียบเท่าทบวง มีชื่อว่า "สำนักพระราชวัง" และให้อยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีโดยตรง มีเลขาธิการพระราชวัง (ระดับ 11 เทียบเท่าปลัดกระทรวง) รับผิดชอบในการบริหารราชการ สำหรับกรมในสังกัดก็ยุบลงเป็นกองบ้าง แผนกบ้าง เว้นบางกรมไปสังกัดกระทรวงอื่น เช่น
นอกจากนี้ยังได้โอนราชการในหน้าที่ต่าง ๆ อีกหลายหน้าที่ไปสังกัดกรมอื่น เช่น โอนงานในหน้าที่การช่างที่เรียกว่า "กรมวังนอก" ตลอดจนงานที่เกี่ยวกับนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ อันได้แก่กอง พิณพาทย์หลวง กองดุริยางค์หลวง โขนหลวงและละครหลวง ไปสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงธรรมการ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการ)
เมื่อได้ยุบกระทรวงวังเป็นสำนักพระราชวังแล้ว ได้มีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการตามความจำเป็นและเหมาะสมแก่การปฏิบัติภารกิจหลายครั้ง ในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 ยังทรงพระเยาว์และประทับอยู่ในต่างประเทศ ได้มีการพิจารณาเห็นว่าภารกิจของสำนักพระราชวังมีน้อย ก็ปรับปรุงหนักไปทางตัดทอน ครั้นต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงบรรลุพระราชนิติภาวะ และเสด็จฯ นิวัติมาประทับในราชอาณาจักร ได้ทรงบริหารราชการในฐานะพระประมุขแล้ว รัฐบาลก็เห็นความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพให้มากขึ้น เพื่อเพียงพอที่จะสนองรองรับพระราชกรณียกิจได้
ตามพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการในสำนักพระราชวังและสำนักราชเลขานุการในพระองค์ พุทธศักราช 2478 ฉบับลงวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2478 ได้กำหนดให้มีกองในสังกัด 4 กอง ได้แก่ 1. สำนักงานเลขานุการ (4 แผนก)
หลังจากการปรับปรุงฐานะเป็นสำนักพระราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2478 ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพระราชวัง ได้แก่