จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (3 มีนาคม พ.ศ. 2426-13 มิถุนายน พ.ศ. 2463) ทรงเป็นต้นราชสกุล "จักรพงษ์" เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 40 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง และทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย หลังจากสำเร็จการศึกษา ทรงรับราชการทหารเป็นเสนาธิการทหารบก โดยทรงริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนเสนาธิการ ทรงเป็นผู้วางรากฐานการบินในเมืองไทย จนได้รับพระสมัญญานามว่า "พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย"
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งขึ้น มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศจากนายพลเอกเป็นจอมพล และทรงเป็นผู้ที่จัดส่งทหารอาสาเขาทำการรบในสงครามครั้งนั้น ต่อมาสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จทิวงคตด้วยพระโรคพระปับผาสะ ขณะเสด็จไปประทับพักผ่อนพระวรกายที่สิงคโปร์ พระชนม์เพียง 37 พรรษา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2463
จอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 40 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ (เป็นพระยศ ณ ตอนนั้น ปัจจุบันเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง) มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2425
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เมื่อครั้งมีพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถและยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาวิชาหนังสือไทยกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และขุนบำนาญวรวัฒน์ (สิงโต) ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวังแล้ว จึงทรงศึกษาต่อที่นี้ทั้งวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยมีครูสอนภาษาอังกฤษคือ นายวุลสเลย์ ลูวีส และนายเยคอล พิลด์เยมส์ เมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้ 9 พรรษา ได้ทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพิษณุโลกประชานารถ เมื่อมีพระชนมายุได้ 14 พรรษา ได้เสด็จไปทรงศึกษาในประเทศอังกฤษเพื่อเล่าเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีของคนอังกฤษและชาวยุโรปชั้นสูง ในปี พ.ศ. 2439
ในปี พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ก็ได้เสด็จไปเยี่ยมพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพระสหายของพระองค์ พระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 ครั้งยังทรงเป็นมกุฎราชกุมารได้เคยเสด็จเมืองไทยเมื่อวันที่ 20-24 มีนาคม พ.ศ. 2433 และทางราชสำนักไทยได้ถวายการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ จนพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 ทรงพอพระทัยอย่างสูงสุด ต่อมาได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียแล้ว สมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสฯ จึงได้ทรงชักชวนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ส่งพระราชโอรสไปศึกษาที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งพระองค์ยินดีที่จะอุปการะเสมือนพระญาติวงศ์แห่งพระราชวงศ์โรมานอฟด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งขณะนั้นทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษอยู่แล้ว ให้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียต่อไป
สมเด็จเจ้าฟ้าชายจักรพงษภูวนารถ หรือ “ทูลกระหม่อมเล็ก” ทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารที่โรงเรียนนายร้อยมหาดเล็ก Corps de Pages ประเทศรัสเซีย เมื่อพระชนมพรรษา 16 ปี ในการไปศึกษาของพระองค์ในประเทศรัสเซียคราวนั้น มีผู้ตามเสด็จไปร่วมเรียนด้วยคือ นายพุ่ม สาคร นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงที่สอบชิงทุนได้เป็นครั้งแรก นายพุ่ม สาคร โดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้นายพุ่มฯ เข้ารับการศึกษาร่วมกับพระราชโอรสด้วย ทั้งนี้ก็ด้วยพระบรมราโชบายเพื่อต้องการให้พระราชโอรสได้มีคู่แข่ง ก่อให้เกิดขัติยะมานะพยายามเล่าเรียนอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยพระเจ้าซาร์นิโคลัสฯ ได้รับสั่งให้พลตรี เคาน์ต เค็ลแลร์ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็ก และนายร้อยเอกวัลเดมาร์ฆรูลอฟฟ์ นายทหารม้ารักษาพระองค์ เป็นผู้ดูแลแทนพระองค์อย่างกวดขัน
ครั้นในปี พ.ศ. 2442 พระองค์ได้เสด็จกลับมาเยี่ยมประเทศไทยเป็นครั้งแรก ต่อมาพระองค์เสด็จกลับไปศึกษาต่อยังประเทศรัสเซียในปี พ.ศ. 2443 จนถึงปี พ.ศ. 2445 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของพระองค์ แล้วด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ผลการสอบของพระองค์ในโรงเรียนนายร้อยฯ ปรากฏว่าพระองค์ทรงสอบไล่ได้ที่ 1 นายพุ่มสอบได้เป็นที่ 2 ยิ่งกว่านั้นผลการสอบของพระองค์ในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กในราชสำนักกรุงรุสเซีย ทรงทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของโรงเรียน ดังนั้นพระนามของพระองค์จึงได้ถูกจารึกไว้บนแผ่นศิลาอ่อนของโรงเรียน ในเวลาต่อมา ทั้งพระองค์ฯ และนายพุ่มได้รับการบรรจุเป็นนายทหารม้าประจำกรมทหารม้าฮุสซาร์ของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ในปีนั้นเอง
เมื่อทรงสำเร็จการศึกษา ได้เสด็จกลับมาเยี่ยมประเทศไทยอีกครั้งในปี พ.ศ. 2446 พร้อมกันนั้นพระองค์ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายร้อยเอก และในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้เสด็จกลับเพื่อการศึกษาชั้นสูงต่อไป เข้าประจำโรงเรียนนายทหารฝ่ายเสนาธิการเป็นเวลา 2 ปี พร้อมกับนายพุ่ม พระสหายจนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2448 ปรากฏว่าพระองค์ฯ ทรงสอบได้เป็นที่ 1 อีกครั้ง และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงพอพระทัยยิ่ง ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็น นายพันเอกพิเศษในกองทัพบกรัสเซียและเป็นนายทหารพิเศษในกรมทหารม้าฮุสซาร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิ อีกทั้งยังพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เซนต์อันเดรย์ ชั้นสายสะพาย ซึ่งเป็นตราสูงสุดของประเทศรัสเซียสมัยนั้น รวมทั้งตราเซนต์วลาดิเมียร์อีกด้วย
เมื่อเสด็จกลับประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ยศนายพันเอก และได้ทรงเริ่มจัดการงานต่างๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเยี่ยงอารยประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถจากนายพันเอกเป็นนายพลตรี และต่อมาพระองค์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้รั้งหน้าที่เสนาธิการทหารบก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เป็นเสนาธิการทหารบก อันเป็นตำแหน่งสำคัญในการรบทั้งในยามปกติและในยามสงคราม กับรั้งตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบกอีกตำแหน่งหนึ่ง และทรงจัดการวาง แนวทางหลักสูตรการศึกษาโรงเรียนเสนาธิการและการคัดเลือกนายทหารที่มีคุณสมบัติอันเหมาะสมเข้ารับการศึกษา
พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยทหารบก อีกตำแหน่งหนึ่ง พระภารกิจของพระองค์มีมากมายที่ต้องทรงปฏิบัติราชการทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังต้องทรงแบ่งเวลาสำหรับแต่งและแปลตำราวิชาการทหารสำหรับทำการสอบนักเรียนนายร้อย ด้วยพระวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง กับทั้งได้ทรงจัดระเบียบแบบแผนโรงเรียนนายร้อยขึ้นใหม่ โดยให้มีนักเรียนนายร้อยชั้นปฐม และนักเรียนนายร้อยชั้นมัธยมขึ้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถได้เสด็จสวรรคตในวันที่ 23 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารพระเชษฐาของพระองค์ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แล้ว ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ เป็นนายพลโท
ในปี พ.ศ. 2454 ขณะที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมนั้นเอง ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญคือข่าวการเตรียมการก่อการกบฏของ "คณะ ร.ศ. 130" โดยฝ่ายกบฏได้กำหนดจะใช้กำลังทหารในพระนครบางส่วนเข้าทำการยึดอำนาจในวันที่ 1 เมษายน อันเป็นวันขึ้นศกใหม่ ร.ศ. 131 (พ.ศ. 2455) ซึ่งกลุ่มทหารผู้ก่อการในครั้งนั้นล้วนเป็นลูกศิษย์ของพระองค์แทบทั้งสิ้น ดังนั้นพระองค์จึงได้วางแผนและทำการจับกุมในตอนเช้าตรู่ของวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 (นับตามเวลาประเทศสยามในสมัยนั้นที่ถือเอาวันที่ 1 เม.ษ.ของทุกปีเป็นวันปีใหม่ แต่ถ้านับตามเวลาสากลคือ 27 ก.พ. พ.ศ. 2455 หรือ ค.ศ. 1912) และทรงรับหน้าที่เป็นประธานอำนวยการพิจารณาโทษพวกนี้อย่างเคร่งครัด เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระองค์ขอลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม แต่รัชกาลที่ 6 ทรงยับยั้งไว้ ทรงให้เหตุผลว่าทรงเชื่อถือในพระราชอนุชา
ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นการจับกุมกบฏในปีนั้นแล้ว สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ก็ได้เสด็จไปกรุงลอนดอนเป็นผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร นอกจากนั้นในระหว่างประทับอยู่ในยุโรป พระองค์ยังได้ปฏิบติหน้าที่ราชการในการเชิญเจ้านายพระราชวงศ์ของเจ้าต่างประเทศในยุโรป เพื่อเสด็จมาในงานสมโภชพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2454 ครั้นวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ก็ได้ทรงรับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้เลื่อนพระอิสริยยศจากกรมขุนฯ เป็นกรมหลวงฯ
เมื่องานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ เสด็จออกไปช่วยงานนี้ต่างพระองค์เป็นอย่างดีเยี่ยม ทั้งได้เสด็จเยี่ยมราชสำนักต่างประเทศอีกหลายแห่งและได้ทรงมอบให้ตรวจงานต่าง ๆ อีกหลายแห่ง อันจะเป็นประโยชน์แก่ราชการของประเทศไทย จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้เลื่อนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวง มีพระนามตามจารึกพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ นริศราชมหามกุฎวงศ์ จุฬาลงกรณ์นริจทร์ สยามพิชิตินวรางกูล สมบูรณพิสุทธิชาติ วิมโลภาสอุภัยปักษ์ อรรควรรัตนขัตตยราชกุมาร กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ สิงหนาม ได้ทรงศักดินา 50,000 ตามพระราชกำหนดอย่างสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าต่างกรมในบรมราชตระกูลอันสูงศักดิ์ จงเจริญพระชนมายุ วรรณะ พละ ปฏิญาณ คุณสารสมบัติสรรพสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล วิบูลศุภผล สากลเกียรติยศอิสริยศักดิ์มโหฬารทุกประการ” และต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนพระยศจากพลโทเป็นพลเอก ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน
พ.ศ. 2454 ขณะทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ทรงเห็นความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องจัดหาอากาศยานไว้ป้องกันประเทศ จึงทรงดำริจัดตั้งกิจการการบินขึ้นเป็นแผนกหนึ่งของกองทัพบก ทรงจัดให้มีการคัดเลือกนายทหาร 3 นายไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นกระทรวงกลาโหมได้สั่งซื้อเครื่องบินจากประเทศฝรั่งเศสมาด้วย จำนวน 8 เครื่อง จัดตั้งเป็นแผนกการบินที่สนามราชกรีฑาสโมสร (สนามม้าสระปทุม) อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพลโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน
ต่อมา จอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงย้ายที่ตั้งแผนกการบินมาที่อำเภอดอนเมืองตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2457 และทรงยกฐานะแผนกการบิน เป็นกองบินทหารบก ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2457
ในปี พ.ศ. 2457 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งอุบัติขึ้นในทวีปยุโรป พระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการณ์ไกล เพราะทรงศึกษาสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของประเทศคู่สงครามอย่างใกล้ชิด และในที่สุดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับจักรวรรดิเยอรมนี หน้าที่ของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ส่วนราชการในตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ซึ่งต้องกระทำการสงครามร่วมกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร เช่น การจัดกำลังทหารอาสาที่จะไปราชการสงครามยังทวีปยุโรป พระองค์ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปเป็นตามที่พระองค์ทรงวางแผนการไว้เป็นอย่างดียิ่ง ได้ทำการจับกุมชาวเยอรมันและชนชาติที่เข้ากับเยอรมันและยึดทรัพย์สินเชลยศึกในพระนครก็เป็นไปโดยเรียบร้อย การส่งกำลังทหารไปทำราชการสงครามในคราวนั้นได้จัดเป็น 2 กอง คือกองบินทหารบก กองรถยนต์ทหารบกและหน่วยแพทย์อีก 1 หน่วย มีกำลังพลทั้งสิ้น 2,287 นายและในเดือนธันวาคมปีนั้นเอง ก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศจากพลเอกสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถเป็นจอมพล แต่แทนที่พระองค์จะทรงดีพระทัยเช่นบุคคลทั้งหลายกลับปรากฏว่าไม่สู้จะเต็มพระทัยเลย เพราะพระองค์ทรงเห็นไปอีกทัศนะหนึ่งว่า ยศอันสูงสุดนั้นได้รับโดยมิได้ออกไปทำการรบ ณ สมรภูมิใดเลย จะเป็นการง่ายเกินไปสำหรับการพระราชทานอิสริยยศจอมพล
หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระองค์ทรงทำนุบำรุงส่งเสริมกิจการบิน ทั้งในกิจการทหารและกิจการพลเรือน ในปี พ.ศ. 2462 โปรดให้ทดลองใช้เครื่องบินนำถุงไปรษณีย์จากดอนเมืองไปจังหวัดจันทบุรี และในเวลาต่อมาได้ใช้กิจการบินทำการส่งเวชภัณฑ์และลำเลียง ผู้เจ็บป่วยทางอากาศ นับว่าพระองค์ทรงวางรากฐานแนวทางเสริมสร้างกำลังทางอากาศของประเทศไทยอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้มาเป็นกองทัพอากาศในปัจจุบัน
ชีวิตในส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถนั้น หลังจากที่หม่อมคัทรินพระชายาได้เสด็จไปพักผ่อนเพื่อรักษาสุขภาพที่ประเทศญี่ปุ่นและแคนาดา หลังจากกลับมาพระองค์ก็ได้ทรงหย่าขาดจากกัน และในเวลาต่อมาพระองค์ก็ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจะทำการสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาสต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรับพระบรมราชานุญาต จึงทรงร่วมชีวิตกันเองโดยมิได้มีพิธีสมรส ด้วยเหตุเพราะขัดกับข้อบังคับสำหรับทหารบกที่พระองค์ทรงเป็นผู้ร่างเองว่า ต้องมีการพิธีเสกสมรส จึงจะอยู่กับคู่สมรสได้ ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงลาออกจากราชการทหาร แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับใบลาแล้ว ก็มิได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาออก และยังทรงขอแก้ไขข้อบังคับทหารข้อนั้นเป็นการผ่อนปรน แต่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ก็ทรงยืนยันกราบถวายบังคมทูลลาออกเช่นเดิม และในปีนั้นเองสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนี พระพันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462
ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงในต้นปี พ.ศ. 2463 แล้วพระองค์จึงขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอลาพักผ่อน ครั้นเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว พระองค์ทรงแต่งตั้งให้พลตรีพระยาภักดีภูธร (ชื่น ภักดีกุล) เจ้ากรมแผนที่ทหารบกเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเสนาธิการทหารบกแทนพระองค์ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2463
จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระองค์ตกลงพระทัยว่าจะเสด็จประพาสทะเลทางฝั่งแหลมมลายู ในครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงพาหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส พระชายา, พระโอรสคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และนายพันเอกพระยาสุรเสนา ปลัดกรมเสนาธิการทหารบก ตามเสด็จไปด้วย แต่ขณะที่เสด็จไปทางเรือไปตามแนวฝั่งทะเลตะวันตก เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2463 ได้เพียงวันเดียว ก็มีพระอาการประชวรไข้ไปตลอดทาง กลายเป็นพระปับผาสะเป็นพิษ (เป็นโรคปอดบวม) ขณะที่เรือถึงเมืองสิงคโปร์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2463 พระอาการกำเริบหนักขึ้น ครั้นความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พันโทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชาและพันเอกพระศักดาพลรักษ์รีบออกไปสิงคโปร์โดยรถไฟพิเศษ เพื่อจัดการรักษาพยาบาลร่วมมือกันกับนายแพทย์ในเมืองสิงคโปร์ ซึ่งได้ถวายพระโอสถประคับประคองเต็มความสามารถอยู่แล้ว พระอาการมีแต่ทรงกับทรุดตลอดมา และเสด็จทิวงคตเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2463 เวลา 13 นาฬิกา 50 นาที พระอาการกำเริบหนักเหลือกำลังที่พระองค์จะทนทานได้เสด็จทิวงคตในเวลานั้น
การเสด็จทิวงคตของจอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ได้นำความโศกเศร้าอาลัยต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าราชการฝ่ายทหารอย่างสุดซึ้ง ดังปรากฏข้อความในคำนำหนังสือที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์แจกในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ มีความตอนหนึ่งว่า
....นอกจากเธอเป็นน้องที่ข้าพเจ้ารักมากที่สุด เธอยังได้เป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยราชการอย่างดีที่สุดหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้มีอายุมากกว่าเธอ ข้าพเจ้าจึงได้เคยหวังอยู่ว่าจะได้อาศัยกำลังของเธอต่อไปจนตลอดชีวิตของข้าพเจ้า ฉะนั้นเมื่อเธอได้มาสิ้นชีวิตลงโดยด่วนในเมื่อมีอายุยังน้อย ข้าพเจ้าจะมีความเศร้าโศกอาลัยปานใด ขอท่านผู้ที่ได้เคยเสียพี่น้องและศุภมิตรผู้สนิทชิดใจจงตรองเองเถิด ข้าพเจ้ากล่าวโดยย่อ ๆ แต่เพียงว่าข้าพเจ้ารู้สึกตรงกับความที่สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงไว้ใน เตลงพ่ายว่า “ถนัดดั่งพาหาเหี้ยน หั่นให้ไกลองค์”
เมื่อจอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสด็จทิวงคต สิริพระชนมายุได้ 37 พรรษา 3 เดือน 10 วัน พระองค์ได้รับการสถาปนาพระอิศริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช พระราชทานเศวตฉัตร 5 ชั้น ประดับเหนือพระโกศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จมาพระราชทานเพลิงพระศพพระอนุชาฯ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2463 พระอังคารของพระองค์ได้บรรจุไว้ที่อนุสรณ์สถานเสาวภาประดิษฐาน ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามตราบเท่าทุกวันนี้
จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ มีพระปรีชาสามารถ ทั้งทางด้านการศึกษา และทางด้านรับราชการในบ้านเมืองและพระองค์ได้ทรงกระทำคุณประโยชน์ในการสร้างความเจริญของกองทัพไทย และส่วนราชการอื่น ๆ หลายแห่ง
เมื่อทรงรับตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ได้ทรงช่วย จอมพล พระเจ้าพี่ยาเธอฯ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการในขณะนั้น ดำริวางการงานต่าง ๆ ไว้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้นแป็นอันมาก ต่อมาเมื่องทรงรบตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนทหารบกและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ได้ทรงวางระเบียบการศึกษา ขยายรูปโครงออกให้กว้างขวางทันสมัย
ในขณะที่ทรงรับตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ได้ทรงปรับปรุงงานเสนาธิการให้กว้างขวางเพิ่มขึ้น โดยทรงริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนเสนาธิการ เพื่อให้การศึกษาแก่นายทหารที่จะทำหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการบรรจุตามงานในหน้าที่เสนาธิการ ทรงวางแนวทางหลักสูตรการศึกษาโรงเรียนเสนาธิการ และการคัดเลือกนายทหารที่มีคุณสมบัติอันเหมาะสมเข้ารับการศึกษา นอกจากนี้ยังทรงเรียบเรียงตำรา เรื่อง “พงษาวดารยุทธศิลปะ” และเอกสารอื่น ๆ ที่ใช้เป็นตำราศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการยุคต้นอีกจำนวนมาก ซึ่งยังคงใช้แนวทางในการพัฒนาของโรงเรียนเสนาธิการสืบจนถึงปัจจุบัน
จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ทรงทำนุบำรุงส่งเสริมกิจการบิน ทั้งในกิจการทหารและกิจการพลเรือน ทรงวางรากฐานแนวทางเสริมสร้างกำลังทางอากาศของประเทศไทยอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้มาเป็นกองทัพอากาศในปัจจุบัน กองทัพอากาศไทยได้ยกย่องถวายพระเกียรติพระองค์ไว้ว่าเป็น "พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย"
เมื่อ พ.ศ. 2460 ทรงจัดส่งทหารอาสาไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในปีต่อมาได้ทรงก่อตั้งกองบินทหารบก ซึ่งต่อมา ได้ขยับขยายเป็นกองทัพอากาศ และทรงริเริ่มก่อสร้างค่ายจักรพงษ์ที่จังหวัดปราจีนบุรี
ทางด้านส่วนราชการอื่น พระองค์ยังได้เป็นผู้กำกับการก่อสร้างสถานที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสภากาชาดไทย ทรงมีส่วนริเริ่มในการก่อตั้งสภากาชาดไทย และทรงดำรงตำแหน่ง อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดไทย พระองค์แรก ทรงดำริวางระเบียบการ และสร้างความเจริญให้แก่สภากาชาดโดยรอบด้าน อันเป็นประโยชน์ในการเกื้อกูลประชาชนซึ่งเจ็บไข้ได้อย่างดีต่อไป
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ทรงเสกสมรสกับพระชายาชาวรัสเซียชื่อ เอกาเทรินา (คัทริน) อิวานอฟนา เดนิตสกายา เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449 ได้ทรงสมรสที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล โดยที่ไม่ได้ทรงกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบแต่ประการใด กับได้ทรงพาหม่อมคัทริน กลับเมืองไทยในปีเดียวกันนั้นเอง ในชั้นแรกทรงให้หม่อมคัทริน พักอยู่ที่เมืองสิงคโปร์เป็นการชั่วคราวก่อน ส่วนพระองค์ฯ ได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ แต่พระองค์เดียว โดยเสด็จประทับอยู่ที่วังปารุสกวัน ครั้นต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2449 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนยศเป็นนายพันเอก และดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ในไม่นานก็มีข่าวลือมายังกรุงเทพฯ ว่ามีมาดามเดอพิษณุโลกอยู่ที่สิงคโปร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนารถทราบ ทรงกริ้วเป็นที่สุด โดยที่พระโอรสพระองค์นี้ทรงเป็นที่สนิทเสน่หาของสมเด็จพระราชบิดา และพระราชมารดาเป็นอย่างยิ่ง กลับทรงไปมีพระชายาเป็นชาวต่างชาติ ย่อมเป็นที่แสลงพระราชหฤทัย อันเนื่องด้วยพระราชประเพณีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อข่าวเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว พระองค์ฯ ก็จัดให้หม่อมคัทริน เดินทางมายังกรุงเทพฯ
ครั้นในปลายปี พ.ศ. 2450 นั้นเอง หม่อมคัทรินพระชายาของพระองค์ได้ประสูติโอรสเป็นชายพระองค์แรกและพระองค์เดียวคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ประสูติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 ซึ่งนับเป็นพระราชนัดดาพระองค์แรกในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เมื่อขณะประสูติพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นหม่อมเจ้า ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 พระโอรสของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ พระองค์นี้ได้นำความปลาบปลื้มปีติยินดีให้กับสมเด็จพระบรมราชินีนารถยิ่งนัก ในปี พ.ศ. 2462 พระองค์ก็ได้ทรงหย่าขาดจากหม่อมคัทริน ขณะที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระโอรสมีพระชันษาได้ 12 ปี ได้อยู่กับพระบิดา
ต่อมาพระองค์ก็ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจะทำการสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส รพีพัฒน์พระธิดาในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ต่อสมเด็จพระบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่จะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบชัด พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรับพระบรมราชานุญาต จึงทรงร่วมชีวิตกันเองโดยมิได้มีพิธีสมรส
นอกจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์พระโอรสแล้วยังทรงถือลูกเลี้ยงของท่านหลายองค์ องค์ที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นลูกเลี้ยงที่นานที่สุด คือหม่อมเจ้าทองฑีฆายุ ทองใหญ่ หรือท่านทองรอด (เป็นพระโอรสของกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม) ท่านทองรอดได้เล่าเรียนที่รัสเซีย ได้เป็นนายทหารม้า เข้าประจำกรมทหารม้ารักษาพระองค์หุ้มเกราะ และได้หม่อมชาวรัสเซียที่มีนามเดิมว่า ลุดมิลา
ส่วนลูกเลี้ยงองค์ถัดไปคือ หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ โอรสของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้ไปเรียนแพทย์ที่รัสเซีย ต่อจากนั้นก็มีหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุลและหม่อมเจ้าไตรทิพเทพสุต เทวกุล โอรสของกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และหม่อมเจ้าอีกพระองค์ที่โปรดเลี้ยงดูคือ หม่อมเจ้านิวัทธวงศ์ เกษมสันต์ โอรสกรมหลวงพรหม แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลูกเลี้ยง จากในหนังสือเกิดวังปารุสก์ประพันธ์โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้กล่าวว่า "พ่อทรงเลี้ยงดู หม่อมเจ้านิวัทธวงศ์ โอรสกรมหลวงพรหมฯ แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลูกเลี้ยงเพราะ ข้าพเจ้ามิได้ถูกสอนให้เรียกว่าพี่ แต่เรียกว่า ท่านนิวัทธ เสมอมา" ซึ่งลูกเลี้ยงของพระองค์เคยเป็นนักเรียนที่รัสเซียทุกพระองค์ นอกจากหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ พระองค์เดียวที่เรียนที่เยอรมนี
สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถได้ทรงปฏิบัติภารกิจสำคัญน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงมีการสร้างพระอนุสาวรีย์ขึ้น และพระอนุสรณ์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระองค์ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น
อันเนื่องด้วยจอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงมีดำริ ให้จัดตั้งแผนกการบินขึ้นและได้ทรงทำนุบำรุงส่งเสริมจนกิจการบิน ในปี พ.ศ. 2456 ต่อมากองทัพอากาศจึงได้สร้างพระอนุสาวรีย์เป็นพระรูปปั้นประทับยืนเต็มพระองค์ ประดิษฐานไว้ที่หน้ากรมการบินพลเรือน (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) ทำพิธีเปิดพระอนุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2500
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระอนุสาวรีย์จอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ที่ค่ายจักรพงษ์ ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ณ วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2515
พระองค์เป็นผู้ทรงก่อตั้งวางรากฐานโรงเรียนนี้มาแต่เริ่มแรก และเมื่อครั้งได้สร้าง “ อาคารประภาสโยธิน ” ซึ่งเป็นอาคารถาวรของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก จึงได้ถือโอกาสสร้าง และอัญเชิญอนุสาวรีย์พระองค์ มาประดิษฐานคู่กับอาคารหลังนี้ และได้จัดพิธีเฉลิมฉลองพร้อมกับอาคารประภาสโยธิน เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2513 ซึ่งเป็นปีที่ 60 ของการสถาปนาโรงเรียนเสนาธิการทหารบก นับตั้งแต่นั้นมา ในวันที่ 3 เมษายน ของทุกปี บรรดาศิษย์เก่าของสถาบันจะพากันมาวางพวงมาลาถวายสักการะแด่พระอนุสาวรีย์ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
ตึกจักรพงษ์ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2466 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยเงินบริจาคของพระบรมวงศานุวงศ์ พ่อค้า ข้าราชการและประชาชน เพื่อให้เป็นอนุสรณ์เชิดชูเกียรติคุณของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ซึ่งได้เสด็จทิวงคต โดยมีนายฮี ลี สถาปนิกที่ปรึกษาของกรมเกียกกายทหารบก เป็นผู้ออกแบบ และนายยี อี กอลโล นายช่างในกองก่อสร้างกรมสุขาภิบาล เป็นวิศวกร ได้ทำพิธีเปิดตึกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2466
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ประทานเงินจำนวน 20,000 บาท ในปี พ.ศ. 2473 ก่อสร้างตึกจักรพงษ์สำหรับเป็นที่ทำการของสโมสรนิสิต เป็นอนุสรณ์แด่พระบิดาคือจอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถผู้ประทานแนวคิดองค์กรบริหารของนิสิต ตึกจักรพงษ์ ตั้งอยู่ระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเปิดเป็นหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2517 ผู้บัญชาการทหารบก (ในขณะนั้น) พลเอกกฤษณ์ สีวะราได้มอบอาคารเรียน อุปกรณ์ ที่ดิน และ ทรัพย์สินให้กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนอาชีวศึกษาบุตรข้าราชการกองทัพบกสังกัดกรมอาชีวศึกษา และเพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงกองทัพบก กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ขอพระราชทานนาม " จอมพลสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ " ซึ่งเป็นเสนาธิการกองทัพบกเป็นชื่อแทน " โรงเรียนอาชีวศึกษาบุตรข้าราชการกองทัพบก" โดยใช้ชื่อว่า "วิทยาลัยจักรพงษภูวนารถ" ซึ่งทางวิทยาเขตจะจัดให้วันที่ 13 มิถุนายน เป็นวัน "จักรพงษ์" โดยจะมีพิธีวางพวงมาลาบริเวณหน้าพระอนุสาวรีย์ และพิธีถวายตัว ซึ่งเป็นประเพณีที่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของทุกสาขาวิชา จะต้องเข้าร่วมพิธี เพื่อก้าวเข้ามาเป็น "ลูกเจ้าฟ้าฯ" อย่างเต็มตัว
หากเป็นพระนามจะเขียนดังนี้ จอมพลสมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ ข้อสังเกตถ้าเป็นการเขียนพระนาม จะต้องใส่ทัณฑฆาต บน ษ.ฤๅษี ที่คำว่า พงษ์ และคำว่า นาถ จะไม่มี ร.เรือ ซึ่งต่างจากชื่อวิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ คือ ไม่ต้องใส่ทัณฑฆาต บน ษ.ฤๅษี และคำว่า นารถ จะต้องมี ร.เรือ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนจักรพงษ์ขึ้น ซึ่งตั้งมาจากพระนามของพระองค์ อยู่ในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเริ่มตั้งแต่ถนนเจ้าฟ้าถึงสะพานนรรัตน์สถาน (สะพานข้ามคลองรอบกรุง) เป็นเส้นแบ่งเขตการปกครองระหว่างแขวงชนะสงครามกับแขวงตลาดยอด และถนนจักรพงษ์อีกแห่ง อยู่ในโรงพยาบาลศิริราช โดยเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จนิวัติกรุงเทพชั่วคราว ระหว่างทรงศึกษาวิชาทหารที่รัสเซีย ได้เสด็จมาโรงพยาบาลศิริราช และทรงเห็นว่าถนนไม่เรียบร้อย เดินลำบาก จึงประทานเงินสร้างถนนจากท่าน้ำยาวไปกลางโรงพยาบาลจนถึงตึกแพทยาลัย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา อธิบดีกรมพยาบาลขณะนั้น จึงตั้งชื่อถนนว่า "ถนนจักรพงษ์"
จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ?จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ?จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ?จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ?จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ? จอมพล (หญิง) สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ?จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (หม่อมราชวงศ์อรุณ ฉัตรกุล) ? จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) ?จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ? จอมพลผิน ชุณหะวัณ ? จอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล ? จอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ?จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ? จอมพลอากาศ เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ? จอมพลถนอม กิตติขจร ? จอมพลประภาส จารุเสถียร ? จอมพลเกรียงไกร อัตตะนันทน์
กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน • กรมพระจันทบุรีนฤนาถ • กรมพระยาชัยนาทนเรนทร • กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ • กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส • กรมขุนเทพทวาราวดี • กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช • กรมหลวงนครราชสีมา • กรมพระนครสวรรค์วรพินิต • กรมหลวงปราจิณกิติบดี • กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม • กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ • กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย • กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ • กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ • กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ • กรมหลวงสงขลานครินทร์ • กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี • กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร • กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา
กรมพระเทพนารีรัตน์ • กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ • กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร • กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร • กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา • กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี • กรมขุนสุพรรณภาควดี • กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี
กรมพระยาเทพสุดาวดี • กรมพระยาเดชาดิศร • กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร • กรมพระยาบำราบปรปักษ์ • กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ • กรมพระยาวชิรญาณวโรรส • กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช • กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ • กรมพระยาดำรงราชานุภาพ • กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ • กรมพระยาชัยนาทนเรนทร
กรมพระศรีสุดารักษ์ • กรมพระปรมานุชิตชิโนรส • กรมพระรามอิศเรศ • กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ • กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ • กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ • กรมพระจักรพรรดิพงษ์ • กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ • กรมพระสมมตอมรพันธ์ • กรมพระเทพนารีรัตน์ • กรมพระจันทบุรีนฤนาถ • กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ • กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ • กรมพระนครสวรรค์วรพินิต • กรมพระสุทธาสินีนาฏ • กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน
กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ • กรมหลวงธิเบศรบดินทร์ • กรมหลวงนรินทรรณเรศร์ • กรมหลวงจักรเจษฎา • กรมหลวงอิศรสุนทร () • กรมหลวงเทพหริรักษ์ • กรมหลวงศรีสุนทรเทพ • กรมหลวงเสนานุรักษ์ • กรมหลวงพิทักษ์มนตรี • กรมหลวงเทพยวดี • กรมหลวงเทพพลภักดิ์ • กรมหลวงรักษ์รณเรศ • กรมหลวงเสนีบริรักษ์ • กรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิสุขวัฒนวิไชย • กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ • กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์ • กรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา • กรมหลวงวงศาธิราชสนิท • กรมหลวงนรินทรเทวี • กรมหลวงวรศักดาพิศาล • กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ • กรมหลวงพิชิตปรีชากร • กรมหลวงวรเสรฐสุดา • กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ • กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม • กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร • กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ์ • กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ • กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร • กรมหลวงปราจิณกิติบดี • กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช • กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ • กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ • กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ • กรมหลวงอดิศรอุดมเดช • กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ • กรมหลวงนครราชสีมา • กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ • กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา () • กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ • กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ • กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี • กรมหลวงสงขลานครินทร์ • กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร • กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ • กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
กรมขุนสุนทรภูเบศร์ • กรมขุนกษัตรานุชิต • กรมขุนอิศรานุรักษ์ • กรมขุนศรีสุนทร • กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ • กรมขุนกัลยาสุนทร • กรมขุนสถิตย์สถาพร • กรมขุนนรานุชิต • กรมขุนธิเบศวร์บวร • กรมขุนพินิตประชานาถ () • กรมขุนวรจักรธรานุภาพ • กรมขุนราชสีหวิกรม • กรมขุนรามินทรสุดา • กรมขุนอนัคฆนารี • กรมขุนเทพนารี • กรมขุนภูวนัยนฤเบนทราธิบาล • กรมขุนเจริญผลพูลสวัสดิ์ • กรมขุนขัตติยกัลยา • กรมขุนเทพทวาราวดี () • กรมขุนอรรควรราชกัลยา • กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ • กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา • กรมขุนสุพรรณภาควดี • กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย • กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ • กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี • กรมขุนสิริธัชสังกาศ • กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ • กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา • กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี
กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ • กรมหมื่นพิทักษ์เทวา • กรมหมื่นศักดิพลเสพ • กรมหมื่นนราเทเวศร์ • กรมหมื่นนเรศร์โยธี • กรมหมื่นเสนีเทพ • กรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ () • กรมหมื่นอินทรพิพิธ • กรมหมื่นจิตรภักดี • กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ • กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ • กรมหมื่นสุนทรธิบดี • กรมหมื่นนรินทรเทพ • กรมหมื่นศรีสุเทพ • กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ • กรมหมื่นเสพสุนทร • กรมหมื่นอมรมนตรี • กรมหมื่นนเรนทร์บริรักษ์ • กรมหมื่นไกรสรวิชิต • กรมหมื่นสนิทนเรนทร์ • กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ • กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ • กรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์ • กรมหมื่นถาวรวรยศ • กรมหมื่นอลงกฎกิจปรีชา • กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ • กรมหมื่นเชษฐาธิเบนทร์ • กรมหมื่นภูมินทรภักดี • กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส • กรมหมื่นมนตรีรักษา • กรมหมื่นเทวานุรักษ์ • กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร • กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ • กรมหมื่นอุดมรัตนราษี กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย • กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ • กรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดช • กรมหมื่นอมเรศรัศมี • กรมหมื่นอานุภาพพิศาลศักดิ • กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ • กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ • กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ • กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ • กรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์ • กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ • กรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์ • กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร • กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย • กรมหมื่นปราบปรปักษ์ • กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ • กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา • กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ • กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป • กรมหมื่นวรวัฒน์สุภากร • กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม • กรมหมื่นอนุพงษ์จักรพรรดิ์ • กรมหมื่นชาญไชยบวรยศ • กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี • กรมหมื่นกวีสุพจน์ปรีชา • กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ • กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส • กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ • กรมหมื่นภาณุพงศ์พิริยเดช • กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย • กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร • กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต • กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ • กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ • กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ