กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือ กบฏ 18 ศพ หรือ กบฏ พ.ศ. 2481 เป็นเหตุการณ์กบฏอีกครั้งหนึ่งในประเทศไทย หลังจากการเปลี่ยนแปลงปกครอง พ.ศ. 2475
กบฏพระยาทรงสุรเดช เป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 (พ.ศ. 2482 ในปัจจุบัน เนื่องจากในสมัยนั้นการเปลี่ยนพุทธศักราชยังใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่) เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างตัวของ หลวงพิบูลสงคราม กับพระยาทรงสุรเดช ตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, การสนับสนุนพระยามโนปกรณ์นิติธาดา, กรณีกบฏบวรเดช และเหตุการณ์พยายามลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามติดต่อกันหลายครั้งก่อนหน้านั้น คือ การลอบยิง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 โดย นายพุ่ม ทับสายทอง ขณะที่เป็นประธานพิธีการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ, ครั้งที่ 2 ที่บ้านพักของตนเอง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 โดย นายลี บุญตา คนรับใช้ที่สนิท ขณะที่หลวงพิบูลสงครามกำลังจะแต่งกายไปร่วมงานเลี้ยง และวางยาพิษ 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปีเดียวกัน ขณะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับครอบครัว
เมื่อหลวงพิบูลสงคราม ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี สืบต่อจากพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 พระยาทรงสุรเดช ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำนักศึกษาไปฝึกภาคสนามที่จังหวัดราชบุรี ได้ถูกคำสั่งให้พ้นจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก็คือเขมรโดยทันที พร้อมด้วยร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ ท.ส. ประจำตัว
ได้มีการกวาดล้างโดย หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จับตายนายทหารคนสนิทของพระยาทรงสุรเดช 3 คน จับกุมผู้ที่ต้องสงสัย จำนวน 51 คน เมื่อเวลาเช้ามืดของวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 ประกอบด้วย
ต่อมามีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 20 กว่าคน เช่น นายเลียง ไชยกาล, นายมังกร สามเสน และนายทหารจากโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่
หลวงพิบูลสงครามได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะ มีหลวงพรหมโยธี เป็นประธาน ศาลพิเศษนี้ได้ตัดสินว่า มีการเตรียมการยึดอำนาจโดย พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้นำ และตัดสินลงโทษประหารชีวิตนักโทษ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 จำนวน 21 คน คือ
ศาลพิเศษตัดสินปล่อยตัวพ้นข้อหาจำนวน 7 คน จำคุกตลอดชีวิตจำนวน 25 คน โทษประหารชีวิตจำนวน 21 คน แต่ให้เว้นการประหาร คงเหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต 3 คน เนื่องจากเคยประกอบคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ คือ
นักโทษการเมืองหมดถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำบางขวาง โดยนักโทษประหารชีวิต ถูกทยอยนำตัวออกมาประหารด้วยการยิงเป้าวันละ 4 คน ในเวลาเช้ามืด ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม พ.ศ. 2482 จนครบจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ กบฏ 18 ศพ จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ถูกลงโทษทั้งหมด มีผู้ใดกระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะถูกตัดสินโดยศาลพิเศษ ที่บรรดาผู้พิพากษาคือผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้ง และไม่มีทนายจำเลยตามหลักยุติธรรม กบฏพระยาทรงสุรเดช คือการกบฏที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดกับหลวงพิบูลสงคราม 3 ครั้งดังกล่าวข้างต้น จึงมีความชัดเจนว่าอุบัติการนี้สร้างขึ้นเพื่อหาเรื่องกำจัดบุคคลที่หลวงพิบูลสงครามเห็นว่าน่าจะเป็นศัตรูของตนเท่านั้น
นักโทษการเมืองที่เหลือได้รับอภัยโทษ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2487 เมื่อนายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อจากหลวงพิบูลสงครามที่หมดอำนาจลงก่อนจะสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนพระยาทรงสุรเดชถึงแก่กรรมอย่างยากไร้ในเขมร ก่อนหน้านั้นไม่นาน
เหตุการณ์ของกบฏครั้งนี้และการลงโทษประหารชีวิต ได้มีความคิดที่จะนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อ พ.ศ. 2531 ในชื่อเรื่อง "2482 นักโทษประหาร" กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิท โดยมีการวางตัวนักแสดงไว้แล้วมากมาย ได้แก่ ฉัตรชัย เปล่งพานิช (หลวงพิบูลสงคราม), สปัน เสลาคุณ (คุณหญิงละเอียด พิบูลย์สงคราม), ศรัณยู วงศ์กระจ่าง (ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์), สันติสุข พรหมศิริ (ร.ท.ณเณร ตาละลักษณ์ ), นพพล โกมารชุน (หลวงวิจิตรวาทการ), เกรียงไกร อุณหะนันทน์ (พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา), สหัสชัย ชุมรุม (หลวงอดุลเดชจรัส), ส.อาสนจินดา (พระยาเทพหัสดิน), ตฤณ เศรษฐโชค (ร.ท.เผ่าพงศ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา), จรัล มโนเพชร (ร.ท.แสง วัณณะศิริ), สินจัย หงษ์ไทย, จินตหรา สุขพัฒน์, ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, วัชระ สิทธิกุล แต่ทว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มิได้มีการสร้างต่อแต่อย่างใด