กฎของเมอร์ฟี (อังกฤษ: Murphy's Law) เป็นภาษิตที่มีการกล่าวถึงการอย่างกว้างขวางว่า "ทุกสิ่งที่สามารถผิดพลาด จะผิดพลาด" (Anything that can go wrong, will go wrong)
ภาษิตดังกล่าวยังใช้ในความหมายประชดประชันว่า เหตุการณ์ทั้งหลายมักไม่เป็นไปดังหวังหรือเกิดผิดพลาด หรือหากเจาะจงกว่านั้น อาจเป็นการสะท้อนแนวคิดคณิตศาสตร์ที่ว่า ภายใต้เวลานานระดับหนึ่ง เหตุการณ์ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากยิ่งจะมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างแน่นอน (เนื่องจากความน่าจะเป็นมีค่ามากกว่า 0) แม้ว่า ส่วนใหญ่มักใช้กับเหตุการณ์แง่ร้ายมากกว่าแง่ดี
มีเหตุการณ์มากมายในจักรวาลที่มนุษย์เห็นว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผล อันเป็นสิ่งที่มนุษย์สนใจมายาวนานแล้ว พบเครื่องแสดงแนวคิดดังกล่าวก่อนหน้ากฎของเมอร์ฟี่ได้ไม่ยาก เช่น หนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในนอร์วอล์ก รัฐโอไฮโอ ใน ค.ศ. 1841 ตีพิมพ์กลอนบทหนึ่ง ซึ่งเป็นการล้อเลียนกลอนในหนังสือ Lalla-Rookh ของทอมัส มัวร์):
ฉันไม่เคยกินขนมปังแผ่นโดยเฉพาะที่ใหญ่และกว้างซึ่งไม่ได้ตกลงบนพื้นและหันเอาด้านทาเนยลงเสมอ
จากการศึกษาใหม่ในของเขตดังกล่าว มักได้มาจากสมาชิกสมาคมภาษาถิ่นอเมริกัน (American Dialect Society) สมาชิกสมาคมคนหนึ่งชื่อ สตีเฟน โกเรนสัน พบอีกรูปแบบหนึ่งของกฎดังกล่าว แต่ขณะนั้นยังไม่พบใช้กันหรือชื่อเรียกทั่วไป ดังที่ปรากฏในการประชุมสมาคมวิศวกรรม ค.ศ. 1877 ซึ่งรายงานโดยอัลเฟรด ฮอลต์:
ค้นพบแล้วว่าเหตุผิดพลาดทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้นได้ในทะเลมักเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้นนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเจ้าของมักมองความปลอดภัยไปในทางวิทยาศาสตร์มากกว่า... ความฉุกเฉินอันเกินขึ้นนั้นมักเด่นขึ้นจากความเรียบง่ายของมัน ไม่อาจละเลยปัจจัยของมนุษย์ได้ในการวางแผนเครื่องกลไก หากการพิจารณาถือเป็นการบรรลุได้ เครื่องจักรนั้นก็จำเป็นต้องมีวิศวกรเอาใจใส่มันอย่างดี
สมาชิกสมาคมอีกคนหนึ่ง บิล มัลลินส์ (Bill Mullins) พบอีกรูปแบบหนึ่งของกฎที่มีชื่อเสียงกว่าแบบแรกอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นพังเพยที่พาดพิงการแสดงมายากล โดยนักมายากลชาวอังกฤษ เนวิลล์ มัสคีลีน (Nevil Maskelyne) ซึ่งเขียนไว้ใน ค.ศ. 1908 ว่า:
มันเป็นประสบการณ์สำหรับมนุษย์ทั่วไปที่จะพบว่า ในทุกโอกาส อย่างเช่น การแสดงปรากฏการณ์มายากลครั้งแรกในที่สาธารณะ หากสิ่งใดมีโอกาสผิดพลาด มันจะผิดพลาด เราต้องพยายามหาเหตุผลต่อความร้ายกาจจากสถานการณ์นี้ หรือความเลวทรามของสิ่งไม่มีชีวิตนี้ และแม้ว่าเหตุจากความตื่นเต้นนั้นจะมาจากความหิว ความวิตกกังวล หรืออาจมิใช่ก็ตาม ความจริงก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เช่นเดิม
กฎของเมอร์ฟีสมัยใหม่เกิดขึ้นก่อน ค.ศ. 1952 ในหนังสือปีนเขา ซึ่งเขียนขึ้นโดย แจ็ค แซ็ค ผู้ซึ่งอธิบายว่ากฎดังกล่าวเป็น "กฎการปีนเขานับตั้งแต่สมัยโบราณ" ว่า:
เฟรด อาร์. ชาพีโร บรรณาธิการของ The Yale Book of Quotations ยังได้ปรากฏภาษิตนี้ในปี ค.ศ. 1952 ซึ่งได้ถูกเรียกว่า "กฎของเมอร์ฟี" ในหนังสือของแอน โรล์ (Anne Roe) ซึ่งอ้างคำพูดจากนักฟิสิกส์คนหนึ่งว่า:
รอบตัวเรามีเหตุการณ์อันน่ายินดีอย่างไม่ปกติอยู่เสมอ อย่างเช่น มีนักฟิสิกส์ผู้หนึ่งได้มาแนะนำให้รู้จักกับ "กฎ" ที่ผมชื่นชอบมาก ซึ่งเขาอธิบายว่ามันเป็น "กฎของเมอร์ฟี หรือกฎข้อที่สี่ของเทอร์โมไดนามิกส์ (ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก่อนหน้านั้นผมเคยได้ยินมาแค่สาม) และมีใจความว่า "ถ้าทุกสิ่งผิดได้ จะเกิดขึ้น" (If anything can go wrong, it will.)
ทว่าชื่อ กฎของเมอร์ฟี นั้นมิได้เป็นชื่อเดียวที่ใช้กัน พบว่าจาก Astounding Science Fiction ของจอร์จ สไตน์ (George Harry Stine) ได้ให้ชื่อว่า "กฎของรีลลี" (Reilly's Law) ซึ่งกล่าวถึงความพยายามทางวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมใด ๆ หากสิ่งใดมีโอกาสผิด มันจะผิด" หรือประธานคณะกรรมการพลังงานปรมาณู ลูอิส สแตรส (Lewis Strauss) ได้ยกคำพูดลงใน Chicago Daily Tribune เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 โดยระบุว่า "ผมหวังว่ากฎนี้จะชื่อว่ากฎของสแตรส ซึ่งมีใจความว่า: หากอะไรแย่ ๆ มีโอกาสเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้น"
จากหนังสือ A History of Murphy's Law โดยผู้ประพันธ์ นิค ที. สปาร์ค ซึ่งกล่าวว่าเนื่องมีส่วนร่วมจำนวนมาก ทำให้การสืบหาตัวผู้เริ่มใช้คำว่า "กฎของเมอร์ฟี" จึงแทบเป็นไปไม่ได้ โดยชื่อดังกล่าวสันนิษฐานว่ามาจากความพยายามในการใช้อุปกรณ์ใหม่โดยเอ็ดเวิร์ด เมอร์ฟี ซึ่งเป็นคำที่เมอร์ฟีแต่งขึ้นจากปฏิกิริยาที่เมอร์ฟีแสดงออกมาเมื่อสิ่งประดิษฐ์ของเขาผิด และสื่อเปลี่ยนมาสู่รูปแบบปัจจุบันในอีกหลายเดือนต่อมา