A (ตัวใหญ่: A, ตัวเล็ก: a) คืออักษรและสระตัวแรกในอักษรละติน มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า เอ ในขณะที่หลายภาษาเช่น ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี เรียกตามชื่อเดิมของอักษรนี้คือ อา /a/, /a?/ รูปพหูพจน์เขียนเป็น A's, As, as, หรือ a's อักษร A มีพัฒนาการมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณโดยมีหลักฐานในอักษรภาพไฮโรกลิฟฟิก และมีการหยิบยืมไปใช้โดยวัฒนธรรมอื่นจนกระทั่งปัจจุบัน โดยยังคงไว้ซึ่งจุดเด่นนั่นคือ A เป็นตัวอักษรแรกของชุดตัวอักษรในภาษาเสมอ ใช้แทนเสียงสระ อา เอ หรือ แอ ที่ประกอบกับเสียงพยัญชนะ หรือใช้แทนเสียงสระอย่างเดียวก็ได้ นอกจากนั้นอักษร A ก็มีการเติมเครื่องหมายและถูกดัดแปลงไปหลายรูปแบบเพื่อการนำไปใช้เป็นอักขรวิธีในภาษาหนึ่ง ๆ
ในช่วงประมาณ 1600 ปีก่อนคริสตกาล อักษร A ของอักษรฟินิเชียได้พัฒนาเป็นรูปแบบเชิงเส้น ซึ่งเป็นพื้นฐานของรูปแบบการเขียน A ในเวลาต่อมา ชื่อของอักษรนี้มีชื่อเหมือนกับ "อะลิฟ" ในอักษรอาหรับ หรือ "อะเลฟ" ในอักษรฮีบรู
เมื่อถึงยุคกรีซโบราณ ชาวกรีกก็ได้รับเอาอักษรฟินิเชียมาดัดแปลง และเนื่องจากชาวกรีกไม่มีการใช้เสียงกัก เส้นเสียง (glottal stop) อ /?/ เหมือนภาษาฟินิเชียหรือภาษากลุ่มเซมิติกอื่น ๆ ดังนั้นชาวกรีกจึงใช้อักษรนี้แทนเสียงสระ อา /a/ และเรียกชื่อใหม่เป็นแอลฟา (alpha) ในจารึกเริ่มแรกหลังจากยุคมืดของกรีซ (Greek Dark Ages) จนถึงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล อักษร A เขียนโดยตะแคงด้านหนึ่งราบลงไปกับเส้นบรรทัดคล้ายอักษรฟินิเชีย แต่ในภายหลังอักษรกรีกได้พัฒนาให้คล้ายกับอักษรในปัจจุบัน
ชาวอีทรัสคันได้นำอักษรกรีกไปใช้ในดินแดนคาบสมุทรอิตาลีและยังคงไว้ซึ่งรูปอักษร ต่อมาชาวโรมันนำเอาอักษรอีทรัสคันไปเขียนภาษาละติน ส่งผลให้อักษรนี้ยังคงมีใช้อยู่ในอักษรละตินสมัยใหม่และใช้เขียนภาษาต่าง ๆ ในปัจจุบันรวมทั้งภาษาอังกฤษ
อักษรนี้มีอักษรตัวเล็กสองแบบ แบบหนึ่งประกอบด้วยห่วงคล้ายวงกลมและเส้นตั้งหนึ่งขีด (?) เรียกว่า "ละตินแอลฟา" มักพบในการเขียนด้วยลายมือ ในขณะที่สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ใช้อีกแบบหนึ่งซึ่งประกอบด้วยห่วงคล้ายวงกลมและเส้นโค้งที่คลุมด้านบน (a) อักษรทั้งสองแบบต่างก็พัฒนามาจากอักษรตัวใหญ่ตัวเดียวกัน โดยเชื่อมขาข้างซ้ายเข้ากับเส้นขวางตรงกลางให้เป็นห่วงอันเดียว (ดูภาพ Unicial A) แบบอักษรจำนวนมากได้ทำให้ขาข้างขวาตั้งตรง ซึ่งอักษรบางแบบก็ทำให้เซริฟที่อยู่บนขาข้างขวากลายเป็นเส้นโค้งไป ทำให้รูปแบบนี้ใช้สำหรับการพิมพ์ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งก็ใช้สำหรับการเขียนด้วยลายมือ
อักษร A ถูกใช้แทนเสียงสระซึ่งแตกต่างกันออกไปในแต่ละภาษา อาทิ เสียงสระ อา /a/, อา-ออ /?/ (ปากกว้างกว่า อา) , เอ /e?/, หรือ แอ /?/ และเพื่อแยกแยะเสียงเหล่านี้ บางภาษาได้กำหนดให้เติมเครื่องหมายเสริมสัทอักษร (diacritics) ลงไปบนอักษร เช่น ? ? ? เป็นต้น ส่วนในสัทอักษรสากลก็มีสัญลักษณ์จำนวนหนึ่งที่มาจากอักษร A ในรูปแบบต่าง ๆ แทนเสียงสระที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา
อักษร A เป็นอักษรที่ถูกใช้บ่อยเป็นอันดับสามในภาษาอังกฤษ และเป็นอันดับสองในภาษาสเปนและภาษาฝรั่งเศส ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจำนวนอักษร A ในหนังสือภาษาอังกฤษคิดเป็น 8.2% ของตัวอักษรทั้งหมด ในขณะที่ภาษาสเปนและภาษาฝรั่งเศสเท่ากับ 6.2% และ 4% ตามลำดับ
วัฒนธรรมของการใช้อักษร A มักจะถูกตีความว่าเป็นอันดับแรกสุด หรือดีที่สุด เช่นการให้เกรดในสถานศึกษา เกรด A หมายถึงได้คะแนนดีที่สุด เป็นต้น มักใช้จัดลำดับความสำคัญซึ่ง A หมายถึงสำคัญที่สุด ดังเช่นการจัดลำดับหัวข้อโดยใช้อักษรละติน หัวข้อ (A) จะขึ้นต้นก่อนเสมอตามลำดับตัวอักษร การศึกษาในปี พ.ศ. 2553 ของสมาคมจิตวิทยาอังกฤษ ได้ข้อสรุปว่า การที่นักเรียนเห็นตัวอักษร A ก่อนหน้าการสอบจะเป็นการเพิ่มผลการสอบของนักเรียนได้
รหัสแอสกีของ A และ a คือ 65 (0x41) และ 97 (0x61) ตามลำดับ รหัสเอบซีดิกคือ 193 (0xC1) กับ 129 (0x81) ตามลำดับ ส่วนรหัสยูนิโคดสามารถแจกแจงได้ดังนี้
? ตามมาตรฐานยูนิโคด อักษรนี้ไม่มีรูปอักษรตัวใหญ่ แต่ฟังก์ชันการแปลงเป็นอักษรตัวใหญ่ในภาษาจาวา ได้แปลงอักษรนี้ ? ไปเป็น A? ซึ่งประกอบขึ้นจากอักขระสองตัว นอกจากนั้นสัญลักษณ์ครึ่งวงกลมก็ถูกย้ายให้ค่อนไปทางขวาในยูนิโคดรุ่น 5.1.0 หลังจากที่เคยปรับให้อยู่ตรงกลางมาตั้งแต่รุ่น 3.0